A density of soul: กำเนิดทายาทราชินีแวมไพร์...และค่าของวิญญาณที่ใครมิอาจตัดสิน
เธอเคยบอกฉันเกี่ยวกับสิ่งที่เธอเรียกว่าแสงสว่างกลางความมืด
เกี่ยวกับการที่ชีวิตเราไม่ได้ดีหรือเลว แต่เป็นส่วนผสมของทั้งสองอย่าง
และบางครั้งเรื่องดีๆก็โผล่ขึ้นมาท่ามกลางสถานการณ์เลวร้าย แต่มันก็ยังไม่ทำให้เรื่องร้ายเหล่านั้นหายไป
มันปกป้องเราไม่ได้หรอก เพราะมันก็แค่แสงสว่างเท่านั้น
แต่สิ่งที่เธอไม่ได้บอกฉันก็คือบางครั้งคนบางคนก็เป็นแสงสว่างนั้นได้
ยังมีบางคนในโลกนี้ที่ควรได้รับการปกป้องไว้แม้ว่าคนอื่นๆจะตัดสินว่าเขาเหล่านั้นส่องแสงที่ประหลาดอัปลักษณ์ลงบนสิ่งที่ไม่สมควรก็ตาม
เธอได้เป็น...และจะเป็นแสงสว่างกลางความมืดของฉันตลอดไป ฉันรักเธอ
เมเรดิธ
ฉันยอมถูกประณามหยามเหยียดจากชาวโลกเพราะอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยเหตุผลแรกและเหตุผลเดียวคือผู้เขียนเป็นทายาทอสูรผีดูดเลือดของเจ้าแม่แอนน์ ไรซ์แห่ง Interview with the vampire แค่เห็นนามสกุลก็ไม่ต้องอ่านหลังปก จะออกมาเป็นตำราอาหารก็ช่าง มีชื่อไรซ์แปะอยู่คงมีสูตรเด็ดแบบเลือดๆบ้างแหล่ะน่า...
แต่เทพเจ้าแวมไพร์มีจริง นักเขียนเป็นอาชีพที่สืบทอดกันทางดีเอ็นเอ พออ่าน A density of soul จบ ฉันก็มีอีกหนึ่งไรซ์เพิ่มขึ้นในดวงใจค่ะ ดีจัง ไม่ต้องจำชื่อนักเขียนโปรดเพิ่ม จริงอยู่ว่าคนมากกว่าครึ่งคงซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะชื่อแม่เป็นเจ๊ดัน แต่ Christopher Rice ก็พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ลูกคนดัง แต่เป็นนักเขียนหนุ่มที่มีฝีมือคนหนึ่ง
รีวิวนี้อาจจะยาวไปหน่อย ก็หนังสือเล่มโปรดทั้งที
เรื่องย่อหลังปก (พยายามแปลให้เมโลดราม่าสุดชีวิต ช่วยขำกันหน่อย พี่น้องเอ๊ยย)
ชีวิตของกลุ่มเพื่อนสนิทสี่คนในเมืองนิวออร์ลีนส์ได้เปลี่ยนไปคนละทิศละทางเมื่อพวกเขาเข้าเรียนไฮสคูล.. เมเรดิธ แบรนดอน สตีเฟ่น และเกร็กซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนซี้ที่แทบไม่เคยแยกจากกันกลับเปลี่ยนแปลงไปด้วยแรงริษยา ตัณหาซ่อนเร้น และความโกรธคลั่ง จนในที่สุดโศกนาฏกรรมที่พรากสองชีวิตไปอย่างทารุณก็ทำลายทุกสิ่งที่พวกเขาเคยมีร่วมกันไปอย่างไม่มีวันหวนคืน
ห้าปีหลังจากนั้นกลุ่มคนทั้งสี่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเมื่อหนึ่งในโศกนาฏกรรมนั้นกลายเป็นการฆาตกรรม.. ความลับที่ถูกเก็บงำไว้จึงถูกเปิดเผย และความโหดร้ายของชีวิตไฮสคูลก็ผันแปรเป็นความรุนแรงที่พร้อมจะทำลายเมืองทั้งเมืองลงได้
---------------------------
อ่านหลังปกแล้วอาจจะดูดราม่ามากๆ ไม่รู้ตอนนี้ช่องเจ็ดซื้อลิขสิทธิ์ไปแล้วยัง แต่ก็อย่างที่เกริ่นไว้ตอนแรกว่าเรื่องนี้มีดีกว่าแค่นามสกุลตัวใหญ่ๆหน้าปกและคำโปรยเน่าๆหลังปก ไรซ์คนลูก.. เกือบเผลอ ฉันเรียกว่าน้องคริสโตเฟอร์ดีกว่าจะได้พ้นเงาแม่ซะที..
ดูเหมือนน้องคริสโตเฟอร์จะตั้งใจให้หนังสือเล่มแรกนี้เป็นอัตชีวประวัติของตัวเองกลายๆ เพราะเนื้อเรื่องเกือบทั้งหมดดำเนินอยู่ในโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัย แถมยังเป็นเมืองนิวออร์ลีนส์ที่เขาเติบโตมา ที่สำคัญน้องคริสโตเฟอร์ก็เพิ่งจะ come out มาหมาดๆเสียด้วย
รีวิวเรื่องนี้มีเนื้อหา Alternative love (ชายรักชาย) นะคะ บอกไว้ก่อนสำหรับคนที่ไม่ชอบ
Consider yourself warned. If you flame me, I will flame you back so bad, youd wish you hadnt learned how to type!
++SPOILER WARINING!!++ MIDDLE TO SEMI-HIGH LEVEL
หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันต้องกัดฟันกรอดๆและบางตอนก็โกรธจนแทบอยากร้องไห้ไปกับชะตากรรมของสตีเฟ่นผู้เป็นพระเอกของเรื่อง ถึงสตีเฟ่นจะเป็นตัวละครที่คงทำให้ใครหลายๆคน (Including yours truly - -) หมั่นไส้ไม่น้อย แต่ก็ทำใจให้เกลียดไม่ลงเพราะคนอะไรจะโชคร้ายโดนกลั่นแกล้งทั้งแบบเด็กๆรังแกกันจนถึงการกระทำที่ต่ำช้าป่าเถื่อนที่สุดเท่าที่คนเขียนจะขีดชีวิตให้คาแรกเตอร์หนึ่งได้
ความผิดของสตีเฟ่นมีแค่อย่างเดียวคือการที่เขาชอบผู้ชายด้วยกันเท่านั้น
ผู้เขียนบรรยายภาพชีวิตไฮสคูลได้โหดร้ายมาก ตั้งแต่สตีเฟ่นเข้าเรียนปีแรกก็โดนแกล้งอย่างเบาะๆเช่นถูกเอากระดาษเขียนด่ามาแปะหลัง (เด็กฝรั่งก็เล่นมุกนี้) และการกลั่นแกล้งก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนฉันอ่านไปก็จิตตกไป ที่โหดร้ายที่สุดคือการที่ เพื่อน สมัยเด็กนิ่งดูดาย ไม่เข้ามาช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังมีส่วนในการรังแกอีก ไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กไทยมีการกลั่นแกล้งในโรงเรียนรึเปล่า แต่จำได้ว่าตอนอยู่มัธยมแล้วเพื่อนผู้ชายแกล้งกันพวกผู้หญิงก็จะเข้าไปห้าม ไม่มีปล่อยให้ใครโดนแกล้งเป็นหมาหัวเน่าอยู่คนเดียว เฮ้อ หรือว่าสมัยเราจะแก่ไปแล้ว แค่ต่อยๆกันก็แล้วก็จบเรื่อง เคยอ่านข่าวว่าเดี๋ยวนี้แกล้งกันทาง social networking อย่าง my space จนเด็กถึงกับฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ในเรื่องยังมีประเด็น Hate crime ต่อชาวเกย์ อ่านแล้วโมโหกรอดๆ (จขบ.นี่อินและขี้โมโหจริงๆ)
แต่ขอหน่อยเถอะ...ด้วยความหมั่นไส้นายสตีเฟ่น
ขึ้นเรื่องมาก็หล่อกว่าใครเพื่อน ผมบลอนด์ยาว ตาสีฟ้า รูปร่างผอมเพรียว...จะไม่ให้หมั่นไส้ได้ยังไงยะ (เนอะ อออ.)
ที่สำคัญยังได้หนุ่มหล่อนักฟุตบอลไปครองอีก เอา excerpt ติดเรทมาเป็นตัวอย่าง...ที่จริงมีตอนที่เขียนดีกว่านี้ ซึ้งกว่านี้ โหดกว่านี้ อีกหลายบท แต่คนแปลอยากแปลตอนนี้ด้วยความชอบส่วนบุคคล! ห้ามเถียง! โฮะๆๆ ที่ชอบน้องคริสโตเฟอร์ก็เพราะสำนวนห้วนๆสั้นๆ understatement นี่แหล่ะค่ะ
--------------------------------
แปลจากตอน The falling impossible
เจฟฟ์จอดรถฮอนด้าริมฟุตบาท ไฟหน้ารถส่องให้เห็นโขดหินที่ทอดยาวลงไปในแม่น้ำด้านล่าง ทั้งคู่นั่งลงบนฝากระโปรงรถและจ้องมองไปที่สายน้ำ
เห็นได้ชัดว่าสตีเฟ่นไม่เคยดื่มเบียร์มาก่อนเพราะเขาค่อยๆจิบราวกับกำลังดื่มจากแก้วไวน์อย่างนั้น เจฟฟ์ต้องกลั้นหัวเราะเพราะรู้ดีว่าสตีเฟ่นจะหาว่าเขาเยาะเย้ย
ฉันเคยเป็นเพื่อนกับพวกนั้น จู่ๆสตีเฟ่นก็พูดขึ้น
ใคร?
เมเรดิธ แบรนดอน เกร็ก...
เจฟฟ์ได้แต่พยักหน้า
เจฟฟ์รู้สึกได้ว่าเบียร์ทำให้สตีเฟ่นเริ่มเมา แบรนดอนกลัวนาย เขาพูดเสียงเกือบกระซิบ
สตีเฟ่นหันขวับมามองด้วยสายตาดุดัน สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มแสยะอย่างเสียดสี
เชื่อฉันสิ... เจฟฟ์กล่าวต่อ นายไม่มีทางเกลียดใครได้มากขนาดนั้นหรอกนอกซะจากว่านายจะกลัวเขา
เจฟฟ์ได้ยินเสียงกระป๋องเบียร์ถูกเขวี้ยงทิ้งและจากนั้นไม่นานเขาก็รู้สึกตัวว่าสตีเฟ่นกำลังเดินลงไปตามฟุตบาท บางอย่างในหัวเจฟฟ์บอกว่า ไม่ว่าสตีเฟ่นกำลังจะไปที่ไหน อย่าปล่อยให้เขาไปเด็ดขาด เจฟฟ์กำลังก้มลงหยิบกระป๋องเบียร์ที่ตกอยู่กับพื้นตอนที่เขาเห็นว่าสตีเฟ่นได้หยุดเดินห่างจากตัวรถไปไม่กี่เมตร สตีเฟ่นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดครึ้มยามราตรี... และแล้วเจฟฟ์ก็เห็นสิ่งเดียวกัน
สิ่งแรกที่เขาคิดคือเป็นไปไม่ได้
แสงสะท้อนจากเสาไฟฟ้าที่อยู่ไกลออกไปส่องให้เห็นเกล็ดสีขาวลอยล่องในอากาศ แลดูเหมือนฝูงผีเสื้อกลางคืน เจฟฟ์ยื่นมือออกไปและรู้สึกได้ถึงความชื้นกลางฝ่ามือ
หิมะ สตีเฟ่นพูดขึ้นพลางอ้าแขนออกและเงยหน้าขึ้น เขาหลับตาแน่นและหัวเราะออกมา
ในเสี้ยวขณะนั้นเจฟฟ์เชื่อจริงๆว่าสตีเฟ่นคือคนที่ทำให้หิมะตก ไม่ใช่สิ เขาคือเทวทูตที่โอบกอดด้วยหิมะ... ร่างสูงโปร่งที่อ้อมแขนโอบรับสิ่งเหลือเชื่อที่ตกลงจากฟากฟ้า
Warning: PG13...โอย คนแปลจะเป็นลม... เพื่อเห็นแก่หนุ่มๆที่หลงเข้ามาอ่าน เดี๋ยวเลือดสาดจันทร์สยองและคุณผู้ชายท่านอื่นจะเป็นลมตามไปด้วย ตอนที่เหลือไฮไลท์อ่านเอาแล้วกันนะคะจะได้ไม่ประเจิดประเจ้อ^^
เจฟฟ์ค่อยๆเอื้อมมือรวบเอวสตีเฟ่นจากด้านหลัง เขาไม่ได้กอดสตีเฟ่นจนกระทั่งสตีเฟ่นเงยหน้าขึ้นช้าๆและลืมตา สายตาทั้งคู่พร่ามัวด้วยหิมะ เจฟฟ์รู้สึกว่าสตีเฟ่นเกร็งไปขณะหนึ่งก่อนที่เขาจะเอนหลังลงให้ร่างของเจฟฟ์รับน้ำหนักตัวไว้
เจฟฟ์แนบปากลงที่ต้นคอสตีเฟ่นพร้อมลมหายใจร้อนผ่าว เขาไม่ขยับตัวขณะที่สตีเฟ่นเคลื่อนศีรษะมาด้านหลังจนพิงอยู่กับไหล่ของเขา
ริมฝีปากล่างของเขาสัมผัสกับปากของสตีเฟ่น เกือบครึ่งนาทีผ่านไปกว่าที่สตีเฟ่นจะอ้าปาก... และชั่วขณะใหญ่ๆที่ทั้งคู่แลกเปลี่ยนลมหายใจกัน
เด็กหนุ่มทั้งสองรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าการได้สูญหายไปในตัวอีกคนหนึ่งและได้เป็นอิสระจากตัวเองนั้นเป็นเช่นไร
โฮะๆๆ หัวเราะสะใจ เพื่อนบล็อกนักแปลคนไหนรับงานติดเรทมา ส่งให้อปอช.แปลได้นะคะ รับรองจะใส่สีตีไข่ให้อย่างดี ประมาณว่า... เธอเงื้อมือจะตบหน้าท่านชี้ค แต่เขาก็คว้ามือเรียวบางของเธอไว้ (ทำไมนางเอกต้องมือเรียวบางทุกคนฟร่ะ อป.พิมพ์ด้วยอุ้งตีนแมว) เธอเห็นประกายปรารถนาในสายตาเขา ท่านชี้ครวบร่างบางมากอดไว้ (เออ ทุกอย่างของนางเอกมันต้องบาง) ก่อนที่จะบดขยี้ริมฝีปากของเขาลงบนปากบางนั้น (บาง บางเข้าไป) ทั้งคู่ล้มตัวลงบนเตียง... กา กา กา... พระอาทิตย์ขึ้น ตื่นมาเป็นตอนเช้า
Create Date : 27 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2552 8:43:18 น. |
|
40 comments
|
Counter : 1571 Pageviews. |
|
|
(คิดในใจเสียงดัง)
อออ.อ่านแล้ว... ไหน...ไม่เห็นมีอะไรเลย