ความทรงจำ @หมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา



เริ่ม เดินทางวันที่ 18 มีนาคม

นัดกลุ่มผู้ร่วมเดิน ทางตอนห้าโมงเย็น
ด้วยสภาพการ จราจรที่ติดขัด
ทำให้ใช้ เวลาเดิน ทางยาวนาน
คิดสารพัด วิธีมากมายที่จะไปให้ทัน
รถทัวร์สาย ใต้ที่จอง ไว้เที่ยวหนึ่งทุ่มตรง
ในที่สุดรถ ทัวร์ก็รอผู้โดยสารกลุ่มน้อยๆกลุ่มนี้
โดยยืดระยะ เวลาออก เดินทางไปอีก 20 นาที
หาได้มีความ สำนึกในกลุ่มพวกเราไม่
ยังแถมด้วย การแวะ ซื้อไก่ KFC
หน้าสถานีขน ส่งสายใต้ก่อนเดินขึ้นรถทัวร์
โดยไม่ได้ แคร์สายตา ผู้คนบนรถทัวร์
ที่จ้อง มองกลุ่มเราตอนขึ้นรถเลยแม้แต่นิด
และแล้วการ เดินทาง ก็เริ่มขึ้นตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง
เจอ เหตุการณ์รถติด ระหว่างทางสายใต้เล็กน้อย
แต่ก็ถึงจุดมุ่งหมายสถานีขน ส่งคุระบุรีในเวลาที่กำหนด




วันที่ 19 มีนาคม

และแล้ว..ก็มาถึงอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา
ด้วยความที่งัวเงียหรือเพิ่งตื่น ทำให้ตอนลงรถทัวร์
ไป ขึ้นรถที่มารับผิดคัน...แต่ทุกอย่างแก้ไขได้
บริษัทฯเดินเรือ บาราคูด้า ใ้ห้บริการเป็นอย่างดี
ทั้งๆที่กลุ่มเราซื้อเพียงแค่ตั๋วเดินเรือข้ามฟาก
ไม่ได้ซื้อทัวร์...เค้าบริการนำรถ มารับถึงสถานีขนส่ง
(อัน ที่จริงบริษัทฯ ก็ตั้งอยู่ใกล้ชิดติดกับขนส่งนั่นเอง)
บาราคูด้า ได้พาเราขึ้นรถรับส่งนักเรียน(รถบัส)
ไปส่งยังท่าเรือคุระบุรีเพื่อนั่งเรือชื่อว่า คามาลัน
เป็นเรือใหญ่ขนาดจุคนได้ 160 คน ติดแอร์เย็นเจี๊ยบ
โดย เดินทางใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง (น้องๆสปีดโบ๊ต)
อยู่บนเรือนั่งดู โก๊ะตี๋ คอนเสิร์ตที่คนเรือได้เปิดให้ดู
แต่เจ้ากรรม เค้าเปิดให้เราดูแล้วหายไปเลย
ปล่อยให้ โก๊ะตี๋ เล่นซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่แผ่นที่ 1
คอยว่าเค้าจะมาเปลี่ยนแผ่นที่ 2 ให้ดูหรือไม่
แต่ก็ไม่มีวี่แวว คิดเสียว่าเดี๋ยวก็ถึงเกาะสุรินทร์แล้ว
ซักครู่หนึ่ง จนท.มาประกาศเรียกชื่อเป็นกลุ่มๆ
ลงเรือเล็กต่อไปยังเกาะสุรินทร์ อ่าวช่องขาด
เพื่อให้คอยรอรับสัมภาระที่หอบหิ้ว มาจากกรุงเทพ
เมื่อ ได้สัมภาระแล้ว จนท.เรือ ก็พาเราเดินทางต่อ
โดยเรือหางยาวไปยังอ่าวไม้งาม อีกฟากหนึ่งของเกาะ
และ สุดท้ายก็มาถึงยังหาดที่จองเต้นท์ไว้กับอุทยานฯ
เดินทางเท้าต่อไปอีกประมาณ 200 เมตร
พอมาถึงกลุ่มเราก็ไปติดต่อ จนท.อุทยานฯ ทันที
ยื่น เอกสารการจองผ่านInternetในเว็บไซด์อุทยานฯ
ซึ่งได้ระบุหมายเลขเต้นท์และโซนที่ พักไว้เรียบร้อย
แต่ มาถึงสถานที่จริง ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
จนท.บอกว่า ไม่สามารถกำหนดได้ตรงตามเอกสาร
พาพวกเราไปพักเต้นท์ แถวที่ 2 โซน 3 แทน
บอกว่าโซน 1 หน้าหาด มีผู้มาติดต่อพักเต็มแล้ว
มองซ้ายมองขวา ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง
เพราะไม่ไกลห้องน้ำมากนัก สะดวกในการทำธุระ
กลุ่ม เราเก็บสัมภาระไว้ในเต้นท์เรียบร้อยแล้ว
จึงรีบไปติดต่อเรื่องอาหารที่โรง อาหาร ทันที
โรง อาหารผู้คนมากมาย ทั้งฝรั่งและคนไทย
กลุ่มเราใช้เวลากินข้าวเที่ยงไม่นานนัก
หลังจากนั้น ก็ลงเรือเพื่อไปดำน้ำดูปะการัง
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ดำน้ำดูปะการังที่เกาะสุรินทร์
ถูกมากมาย เพียงคนละ 80 บาท(ครึ่งวัน) เท่านั้น
สวยงามตาม ท้องทะเล กลับมาถึงที่พักก็เย็นพอดี
อาบน้ำ กินข้าวเย็น ถ่ายรูปลั้นลา..บริเวณหน้าหาด
กลางคืนคงหนีไม่พ้น กิจกรรมบวกเลขคิดเงิน
หมดไป 1 วัน กับยามค่ำคืนแรกของกลุ่มเรา
ซึ่งก็พอดีกับเวลาปิดไฟบนเกาะของ อุทยาน
อากาศคืนแรก ออกแนวน่ากลัวเชียว
มี เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังมาเป็นระยะ
ลมกระหน่ำเหมือนจะมีพายุเข้า
แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น (วิตกจริตไปเอง)
เหตุการณ์สงบปกติ นอนหลับฝันดีไปอีก 1 คืน
ถึงแม้ว่าที่นอนที่เช่ามา..จะบอบบาง ไปหน่อย



วันที่ 20 มีนาคม

เสียงนาฬิกาปลุกสนั่นหวั่นไหว เวลา 07.00 น.
ตื่น มาด้วยความงัวเงียและเมืี่อยเนื้อเมื่ีอยตัวเล็กน้อย
ทำธุระปะปังเรื่อง ส่วนตัวกว่าจะเรียบร้อยก็เกือบชั่วโมง
กลุ่มเรากว่าจะได้กินข้าวตอนเช้า ก็ราวๆแปดโมงกว่า
โรงอาหารแน่นขนัด ใครซื้อทัวร์หรือสั่งอาหารเป็นชุด
ก็ จะสะดวกสบายเพราะเค้าได้จัดที่ทานข้าวไว้ให้แล้ว
ไม่ต้องรอคิวหาโต๊ะว่าง เหมือนพวกขาจรทั่วไปอย่างเรา
สงสัยจังเลยว่าโรงอาหารทำไมมีโต๊ะกินข้าว น้อยเหลือเกิน
ตอนนั้นลืมคิดไปว่าถ้ารอนาน ก็น่าจะเช่าเสื่อของอุทยานฯ
นั่ง กินหน้าชายหาด ได้บรรยากาศไปอีกแบบ(ถ้าไม่อายใคร)
ครึ่งวันแรก เดินทางเท้า 200 เมตร เพื่อไปขึ้นเรือหางยาว
มีเรือจอดเรียงตามคิวหมาย เลขที่ทางอุทยานฯได้จัดเตรียมไว้
แทบทุกลำเรือ คนขับเรือส่วนใหญ่คือชาวบ้านมอแกนนั่งเอง
เค้าเป็นคนสงบเรียบร้อยไม่พูด มาก ถามคำตอบคำตามประสา
มีหน้าที่ขับเรือและจอดเรือ คอยบอกว่าให้ดำน้ำไปทางไหน
ถ้าถามเค้าว่ามีอะไรบริเวณนี้ เค้าก็จะตอบว่ามีปลาและปะการัง
เป็นคำตอบเดียวที่ได้ยินจากคนเรือ นอกนั้นเค้าก็จะนิ่งเงียบเฉย
จุดแรกของการดำน้ำเช้านี้คือ อ่าวเต่า ปลาและปะการังสวยงาม
แสงแดดจัดที่ส่องลงทำให้เห็นท้องทะเลชัดเจนใสแจ๋ว
แต่ แล้วก็ต้องงานเข้า เพราะดันมีแมงกะพรุนมากมาย
มาว่ายน้ำเล่นกลับกลุ่มพวก เราเป็นฝูง หลากหลายขนาด
พวกเรา แตกกระเจิง ต่างคนต่างแหวกว่ายหนีอลหม่าน
ด้วยความที่มีมากมายกระจายเต็มบริเวณจุดดำ น้ำแห่งนี้
ทุกคนจึงใช้บริการเป่านกหวีดเรียกเรือให้มารับโดยเร็วที่สุด
เป็น การดำน้ำที่เร็วที่สุดใช้เวลาไม่ถึง10นาทีก็ขึ้นเรือ
ขึ้นเรือมาได้ ก็จะมีแต่เสียงบ่นระงมว่าโดนแมงกระพรุนแสบๆคัน
คนเรือบอกว่าจังหวะเช้า นี้ คลื่นทะเลพัดแมงกระพรุนมาแถวนี้พอดี
(นึกในใจว่าถ้าเค้ารู้แล้ว จะจอดให้เราลงไปดำน้ำเพื่ออะไร)
คนเรือก็พาพวกเราไปดำน้ำยังจุดอื่นๆ ของรอบครึ่งวันนี้
กลับถึงที่พักก็ประมาณ 11 โมงเช้า ความหิวเริ่มทำงานทันที
กินข้าวเที่ยงกันแล้วก็มีเวลาเหลือ จะทำอะไรกันดีหละตอนนี้
อาบน้ำคงไม่จำเป็นเพราะรอบบ่าย 2 โมงต้องไปดำน้ำกันอีก
คงไม่มีอะไรเท่ากับการไปกระโดดน้ำเล่นหน้าชายหาด
กระโดด กันน้ำกระจาย ถ่ายรูปกันเล่นอย่างสนุกสนาน
พอหายเหนื่อยก็ถึงเวลาขึ้น เรือไปดำน้ำดูปะการังรอบบ่ายกันต่อ
แสงแดดจัดได้ที่ ครีมกันแดด บานาน่าโบ๊ท SPF50 ก็เอาไม่อยู่
ประโึคมทั้งหน้าและตัวเต็มที่ หวังว่าจะโดนแดดแล้วผิวจะไม่ดำ
แต่ป่าวเลย อะไรก็เอาไม่อยู่ ถ้าคนจะดำ (หรือดำอยู่แล้ว)
ช่วงเวลานี้ ลงจากเรือได้เมื่อไหร่ หน้าจะซุกอยู่ในน้ำตลอดเวลา
จะเงยหน้าขึ้นมาเป็นระยะๆ แขนขา ก็จะพยายามให้อยู่ใต้น้ำเสมอ
ใ้ช้หลักคิดง่ายๆ ถ้าอยู่ในน้ำจะโดนแดดน้อยที่สุด และดำน้อยที่สุด
บ่ายนี้ดำน้ำดูปะการัง กันอย่างสนุกสนาน จนไม่ค่อยอยากจะขึ้นเรือ
เหมือนว่าเวลาดำน้ำ ทำไมเวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
แต่เวลานั่งเรือ รู้สึกว่านั่งนานจนเมืี่อยก้นกบแล้วก็ยังไม่ถึงซักที
จบทริปดำน้ำ รอบบ่ายนี้ เรือทุกลำจะส่งบริเวณหน้าหาด
ทุกคนก็เดินลุยน้ำและมีโขดหิน เป็นระยะ100เมตร
ต้องใส่รองเท้าแตะเดินลุยน้ำค่อนเข่าและหลบโขดหินที่ กระจายรอบๆ
เป็นการออกกำลังขาอย่างมาก มือก็ถือของขาก็ลุยน้ำ ได้อรรถรสจริงๆ
มาถึงที่พัก ก็วิ่งแย่งเข้าห้องน้ำ ใครมาก่อนได้อาบก่อนมาช้าก็รอคิวไป
ตกเย็นก็หิวโซเพราะใช้พลังงานมาก รอให้ครัวเปิดตอนเวลาหกโมงเย็น
ก็ไปกระโดดโลดเต้นบนชายหาด เพื่อถ่ายรูปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก
กระโดดไปมากันเข่าสึก ทรายทรุด กระโดดกันหลายเทคกว่าจะลงตัว
สนุกสนานไปตามประสาคนไม่มีอะไรจะทำช่วงเวลา รอกินข้าวเย็น
หลังจากกินข้าวเย็นกันแล้ว พวกเราก็รวมตัวกันทำกิจกรรมในเต้นท์
งงเหมือนกันว่าเข้าไปได้ยังงัยตั้ง หกคนในเต้นท์ขนาดเล็กแบบนั้น
อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราจะเข้าไปเล่น บวกเลขคิดเงินนั่นเอง
นั่งเล่นกันอยู่ในนั้นประมาณเกือบสองชั่วโมง ก็ต้องเลิกรากันไป
พอออกมาจากเต้นท์ได้ เหมือนได้หายใจเต็มปอดและสดชื่นขึ้น
อากาศข้างนอกช่างแตกต่างจากข้างใน จริงๆ เหมือนสวรรค์กับนรก
หรือเพราะว่าเป็นวัน "เสาร์ห้า" จึงไม่มีแต่ลมและเสียงคลื่นกระทบฝั่ง
อากาศร้อนอบอ้าว ออกไปเล่นชายหาด เพื่อแสวงหาอากาศเย็นๆ
เดินไปมาหน้าชายหาด มองดูผู้คนที่นั่งเล่น นอนเล่น บนชายหาด
ทำไมอากาศคืนนี้มันช่างแตกต่างจากเมื่อคืนก่อนอย่างมาก
สี่ ทุ่มกว่าจึงเดินกลับไปยังเต้นท์ของตัวเอง และใช้พัดลมขนาดพกมือ
ช่วยลด ความร้อนที่อบอ้าว ถึงแม้จะเป็นเีพียงลมแผ่วเบาแบบลมหายใจ
แต่ก็ช่วยให้ อากาศในเต้นท์ดีขึ้น เปิดทิ้งไว้จนถ่านหมด หลับไปไม่รู้ตัว




วันที่ 21 มีนาคม

ตื่นเพราะเสียงนาฬิกามือถือปลุกเหมือนเดิมเวลาเจ็ดโมงเช้า
ออกไปทำธุระปะปังส่วนตัวและกลับมาเก็บของสัมภาระเตรียมไว้
เพราะวันนี้ตอนบ่ายต้องไปขึ้นเรือที่จะมารับเดินทางกลับกรุงเทพฯ
เพื่อไม่ให้ฉุกละหุก ก็ต้องเตรียมจัดเ็ก็บให้เรียบร้อยไว้ก่อน
กลุ่มเรากินข้าวเช้าเวลาแปดโมง วันนี้ที่โรงอาหารคนบางตา
เพราะส่วนใหญ่ก็ทะยอยเดินทางกลับวันนี้เหมือนกับกลุ่มเรา
หลังจากนั้นพวกเราก็ไปดำน้ำครึ่งวันเช้ากันต่อ โดยไปขึ้นเรือที่จุดเดิม
ถือว่าเป็นทริปดำน้ำรอบสุดท้ายของการมาที่หมู่เกาะสุรินทร์ครั้งนี้
โชคดีหน่อยที่รอบสุดท้ายมีผู้ติดตามเรือมากับกลุ่มเราด้วย
จึงให้ข้อมูลได้เยอะขึ้นและพากลุ่มเราลงไปดำน้ำดูปะการังด้วยกัน
พวกเราก็จับเชือกและห่วงยาง ดำน้ำตามเค้าไปยาวเป็นหางว่าว
คนนี้จะคอยบอกและชี้สิ่งต่างๆที่พบเห็นและบอกพวกเราเป็นระยะ
ช่างเป็นช่วงเวลาสั้นๆจริงๆ พอไม่นาน คนเรือก็จะเรียกกลับขึ้นเรือ
เพื่อพาเราไปดำน้ำดูปะการัง ที่บริเวณอื่นๆของรอบครึ่งวันนี้
จุดสุดท้าย กลุ่มเราว่ายไปว่ายมา ไม่ยอมขึ้นเรือกันง่ายๆ
แต่ในที่สุดก็มาถึงเวลา พวกเราทุกคนต้องจำยอมขึ้นเรือโดยดี
เรือมาส่งพวกเรายังจุดเดิม ลงเรือได้ วิ่งร้อยเมตร เหยียบสปีดเต็มที่
เพื่อไปให้ถึงห้องน้ำเร็วที่สุด ถ้าไปช้าก็จะรอคิวอาบน้ำนานมาก
เป็นไปตามคาด ได้คิวแรกอาบน้ำทำธุระปะปังส่วนตัวเสร็จแล้ว
ก็แพคสัมภาระเก็บไว้ในเต้นท์ ออกไปทานข้าวเที่ยงที่โรงอาหาร
เวลาบ่ายโมงตรง เจ้าหน้าที่บาราคูด้ามารับพวกเราไปขึ้นเรือหางยาว
เพื่อจะนั่งไปขึ้นเรือใหญ่ "คามาลัน" ที่จอดรออยู่ไกลๆ
ขึ้นเรือคามาลัน รอบนี้เค้าเปิด คาราบาวเบญจเพส คอนเสิร์ตให้ดู
แต่ก็ยังคงเหมือนเดิม ปล่อยให้คาราบาว เล่นแผ่นเดิมซ้ำไปซ้ำมา
ไม่นานนักก็มาถึงท่าเรือคุระบุรี มีรถบัสมารอรับผู้โดยสารอยู่ก่อนแล้ว
บาราคูด้าได้บริการกลุ่มเราพานั่งรถสองแถวชมเมืองคุระบุรี
และพาไปส่งร้านส้ำตำในเมืองซึ่งห่างจากขนส่งคุระบุรีไม่ไกลมากนัก
สั่งอาหารกันมากมายก่ายกอง ชดเชยที่บนเกาะไม่ได้กินอาหารอิสาน
กินเสร็จแล้วก็เรียกรถของบาราคูด้ามารับ ช่างสะดวกสบายอะไรเช่นนี้
หลังจากนี้กลุ่มเราก็ไปที่สถานีขนส่งคุระบุรี รอขึ้นรถทัวร์กลับกรุงเทพฯ
โดยมีเจ้าหน้าที่ ของบาราคูด้ามารอส่งขึ้นรถทุกคน รวมถึงกลุ่มเราด้วย
ระหว่างทางรถทัวร์ จะมีหน่วยตรวจคนเข้าเมืองขึ้นมาเช็คบนรถเป็นระยะๆ
บนรถทัวร์ เค้าเปิดหนังเรื่อง Ninja Assassin ที่มี เรน (เกาหลี) แสดง
เรื่องนี้เลือดสาดจอ ดูไปปิดตาไป ได้รสชาติจริงๆและเผลอหลับไปในที่สุด





Create Date : 22 พฤษภาคม 2555
Last Update : 23 พฤษภาคม 2555 14:18:39 น.
Counter : 678 Pageviews.

2 comments
  
แวะมาเยี่ยมชมด้วยครับ
โดย: **mp5** วันที่: 22 พฤษภาคม 2555 เวลา:20:42:52 น.
  
โดย: Kavanich96 วันที่: 23 พฤษภาคม 2555 เวลา:11:01:47 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Aoy_Sugarcane
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Twitter : Sugarcane__Aoy

Instagram : aoy_sugarcane
พฤษภาคม 2555

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
24
25
26
27
28
29
30
31