www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Dear Frankie , คำลวง ความรัก ครอบครัว



...คำโกหกเป็นเหมือนเวทมนต์แสนประหลาด เพราะเมื่อเริ่มต้นด้วยคำโกหกที่ 1 มันย่อมตามมาด้วย คำโกหกที่ 2 ที่ 3 ไปไม่มีที่สิ้นสุด และ มันก็เหมือนบ่วงรัดคอคนเอื้อนเอ่ยคำโกหกนี้ให้แน่นขึ้นทุกที กว่าที่คนๆนั้นจะรู้ตัวว่าไม่มีทางที่จะโกหกได้อีก ก็ต่อเมื่อบ่วงนั้นรัดคอจนไม่สามารถส่งเสียงกล่าวคำโกหกใดๆออกมาได้ นั่นคือ เมื่อความจริงรอบตัวมันบีบแคบจนไม่มีช่องว่างให้หนีอีกต่อไป

...Frankie เด็กชายวัย 10 ขวบ เติบโตมากับแม่และ ยาย ที่เมืองริมน้ำกลาสโกว์ ความทรงจำที่เกี่ยวพ่อมาจากคำบอกเล่าของแม่ แม่บอกว่าพ่อออกเดินทางไปกับเรือ HMS ACCR

Frankie พูดไม่ได้และไม่ได้ยิน เขาจึงไม่สามารถที่จะสื่อสารด้วยการโทรศัพท์ ไม่สามารถรับรู้ข่าวสารได้นอกจากการมองและเขียน เขาตัดสินใจเขียนจดหมายโต้ตอบกับพ่อ และ พ่อก็เขียนตอบกลับมาทุกครั้ง

แล้ววันหนึ่งเรือ HMS ACCR กำลังจะมาเทียบท่าเมืองที่เขาอยู่ เพื่อนร่วมชั้นท้าพนันว่าพ่อเขาจะไม่มาหา เขาไปเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง เมื่อแม่รู้ ทางเลือกของแม่มี 2 ทาง คือย้ายข้าวของออกจากเมืองนี้ หนีไปเมืองอื่นเหมือนที่เคยทำๆมา หรือ เปิดเผยความจริงว่า จดหมายทุกฉบับที่พ่อโต้ตอบกลับมาหลายปีนั้น คนที่เขียนตอบคือ เธอเอง

ในที่สุดเธอเลือกทางสายที่ 3 คือ เลือกจ้างใครคนหนึ่งให้มารับบท พ่อชั่วคราว ให้กับ Frankie มันมีความหมายว่า เธอเองก็ไม่อยากจะหนีอีกต่อไป และในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่พร้อมจะเผชิญหน้า กับสิ่งที่เรียกว่า ความจริง

แม่ของ Lizzie บอกให้เธอย้ายครอบครัวหนีไปอีก เมื่อรู้ว่าอีกฝ่าย (พ่อของFrankieตัวจริง) กำลังตามหาตัวเธอ แม่ของ Lizzie อาจจะไม่ได้โกหก แต่ การย้ายครอบครัวของแม่ Lizzie และ การโกหกของ Lizzie ไม่ได้ต่างกันเลย เพราะมันมาจากจุดเดียวกัน นั่นคือทั้งคู่ต่างกำลังวิ่งหนี ความจริงที่เจ็บปวด ไม่ให้มันตามทัน แต่คนเราจะวิ่งหนีความจริงได้ไกลแค่ไหนกัน ?

หรือการไม่บอกความจริงและการโกหกที่มีนั้น มันเพื่อปกป้องตัวพ่อแม่เองด้วยเช่นกัน?

...แท้ที่จริงแล้วคำโกหก มันไม่ได้ทำเพื่อปกป้องลูกเท่านั้น Lizzie เองคงไม่รู้ตัวว่า เธอสร้างมันขึ้นมาเป็นเกราะปกป้องตัวเองด้วยเช่นกัน เธอยอมรับในหนังครั้งหนึ่งว่า เธอสามารถที่จะหยุดตอบจดหมายของลูกได้หลายครั้ง หลายครั้งที่ลูกของเธอหยุดเขียนจดหมายถึงพ่อไปหลายสัปดาห์ แต่เธอเองกลับไม่สามารถจะหยุดการโกหกคำโตนี้ได้ เธอเองกลับเขียนจดหมายในชื่อพ่อส่งไปหา เพราะจดหมาย เป็นหนทางเดียวที่เธอจะได้พูดคุยกับลูก เธอมีความสุขที่ยังได้เห็นลูกพูดคุยผ่านตัวอักษร ไม่ใช่แค่ดูเขานิ่งเงียบไปวันๆหรือใช้ภาษาใบ้วันละไม่กี่หน นั่นทำให้ การโกหกจึงดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

จะโทษ Lizzie ก็ไม่ได้หรอก เพราะคนเรามักไม่รู้ตัวว่า ความจริง ทำให้เจ็บปวด คนเราจึงหนีความจริงวิ่งเข้าพึ่ง ความลวง แท้จริงแล้ว คำโกหกหรือคำลวงนั้น เป็นแค่ ยาแก้ปวดชั่วคราว ที่ทำให้แผลนั้นไม่เจ็บ แต่ไม่ใช่ยาที่ใช้รักษาแผล เราหลอกลวงตัวเองไปนานเท่าไหร่ เราก็อาจจะไม่เจ็บไประยะหนึ่ง แต่แผลนั้นจะเริ่มอักเสบกินลึกเข้าไปทุกที และ เมื่อเราคุ้นเคยกับ ความไม่เจ็บชั่วคราว เราก็ไม่กล้าที่จะเผชิญความจริง เราไม่ได้กลัวความจริง แต่ เรากลัวความเจ็บปวดจากความจริง เป็นเหตุผลว่าทำไม เวทมนตร์ของการโกหก จึงไม่เคยจบสิ้นไป

....การโกหก เป็นเพียงวิธีการหนึ่ง ที่ Lizzie ใช้เพื่อหนีความจริง หนีความเจ็บปวด และ ใช้เพื่อปกป้องลูก แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราก็จะเห็นว่า การโกหก ไม่สามารถช่วยเธอให้หนีความจริงและความเจ็บปวดได้ สิ่งที่จะช่วยเธอ คือ การประจันหน้ากับความจริง ยอมเจ็บปวด ให้แผลนั้นมันได้เยียวยา

เพราะชีวิตที่ต้องอยู่กับอดีต กับ ความขมขื่น และการโกหกเหมือนที่ผ่านๆมานั้น มันคือการใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานเหมือนที่แม่ของเธอบอกว่า การที่ Lizzie พร่ำบอกว่าพ่อของ Frankie ตายไปแล้วนั้น จริงๆแล้วเขายังใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ตัว Lizzie เองต่างหากคือคนที่ตายไปแล้ว การที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะไว้ใจใคร ไม่สามารถเริ่มต้นใช้ชีวิตได้ ชีวิตแบบนี้มันจะต่างจากความตายอย่างไร ?

Lizzie บอกกับชายหนุ่มที่เธอจ้างมาเป็นพ่อว่า เธอคงเป็นแม่ที่ไม่ดี เพราะเธอโกหกลูกไม่เว้นแต่ละวัน เขาตอบกับเธอว่า เขาไม่เห็นเป็นเช่นนั้น เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือ เธอเป็นแม่ที่ปกป้องลูกไม่เว้นแต่ละวันต่างหาก

คำโกหก และ การปกป้องลูกด้วยความรัก มันไปด้วยกันอย่างนั้นหรือ หากอย่างนั้น การโกหกก็ควรทำ เพื่อให้ลูกมีความสุขอย่างนั้นหรือ?

...หนังหมิ่นเหม่ต่อการให้ การโกหก เป็นสิ่งที่สมควรและชอบธรรม แต่หนังก็สามารถที่จะหาทางออกให้กับตัวเองประเด็นนี้ได้ดี คนดูจะได้เห็นว่าตัว Lizzie เองไม่ได้มีความสุขกับการโกหกนี้เลย กุยโด้ใน Life is beautiful ก็เช่นกัน รอยยิ้มของกุยโด้นั้นมันแฝงความรู้สึกขมขื่นที่เก็บกักไว้ไม่อยากให้คนรอบตัวทุกข์ใจ Lizzie เองก็ทุกข์ใจไม่เว้นวันเมื่อเธอต้องหาคำโกหกใหม่ๆมาหลอกลูกตลอดเวลา

คำโกหกที่พ่อของลูกใน Life is beautiful กับ คำโกหกของแม่ ใน Dear Frankie ไม่ได้มีเพื่อการหลอกลวง แต่ มันเป็นการปกป้องคนที่ตัวเองรัก พ่อใน Life is beautiful ใช้คำโกหกเพื่อปกป้องลูกจากความจริงของสงครามที่โหดร้าย คำโกหกของแม่ใน Dear Frankie ป้องกันลูกจากความจริงของครอบครัวที่เลวร้าย แต่ผลสุดท้ายเด็กทั้งสองคนนั้นก็หนีความจริงไม่พ้น เมื่อลูกชาย ใน Life is beautiful พบว่าพ่อไม่เดินออกมาจากตรอกที่หายเข้าไป รู้ว่าสงครามไม่ใช่ความสนุกสวยงามที่พ่อบอกไว้ และ ลูกชายใน Dear Frankie รู้ว่าพ่อของเขาเป็นอย่างไร แต่เมื่อทั้งคู่รู้ความจริงก็ใช่ว่าทั้งคู่จะย่ำแย่หรือเจ็บปวด อย่างที่พ่อและแม่กังวล เด็กสองคนนั้นก็ยังใช้ชีวิตได้ต่อไปด้วยความจริงที่เขารับรู้

...พ่อแม่มักไม่กล้าบอกความจริงให้กับเด็กรับรู้ งานวิจัยในอังกฤษเคยศึกษาพบว่า เด็กที่ป่วยระยะสุดท้าย พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่กล้าบอกความจริงให้เด็กรับรู้ แต่เด็กเหล่านั้นส่วนใหญ่กลับรู้อยู่แล้วด้วยตัวเอง จากการสังเกตตัวเองและคนรอบๆข้าง ความทุกข์ของพ่อแม่ คือ การต้องบอกความจริง แต่ ความทุกข์ของเด็ก คือ การที่ไม่สามารถจะพูดความจริง ไม่สามารถระบายให้ใครรับฟัง

เมื่อโยงมาสู่สถาบันครอบครัว ยิ่งเป็นปัญหาครอบครัว พ่อแม่มักเข้าใจว่า เด็กๆจะไม่พร้อมถ้าต้องเผชิญกับความจริง พ่อแม่หลายคู่เข้าใจผิดๆว่า สิ่งที่เด็กต้องการคือ คนเป็นพ่อแม่ แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่เด็กต้องการ คือ ความเป็นพ่อแม่ ต่างหาก จะมีประโยชน์อันใด หากอยู่กันพร้อมหน้าแต่ขาดสายใยความรักความผูกพันธ์ การแยกกันอยู่แต่ยังมีความเป็นพ่อแม่ ให้กับเด็ก มีคุณค่ามากกว่าการอยู่กันครบแต่ขาดความเป็นพ่อแม่มากนัก


...Emily Mortimer แสดงเป็นแม่ที่ยังจมอยู่ห้วงลึกของความเศร้าได้ดี เธอไม่ได้ฟูมฟายมากมาย ฉากที่เธอโกรธที่ลูกๆมารื้อตู้เสื้อผ้า เป็นฉากที่เธอแสดงอารมณ์โกรธที่กดเก็บช้ำใจได้ดีเหลือเกิน ฉากนี้เองที่ช่วยเสริมให้คนดูได้รู้จักเธอมากขึ้น เมี่อตู้ที่ปิดความจริงไว้ถูกเปิดออกมา มันยังบาดเธอให้เจ็บปวดขนาดนี้ แล้ว จะไม่ให้เธอกลัวการเปิดใจยอมรับความจริงได้อย่างไร

... Gerard Butler ในบทชายแปลกหน้า ทำให้ Frankie และคนดูได้รับรู้ไปพร้อมๆกันว่า ความเป็นพ่อ กับ คนเป็นพ่อ อาจไม่จำเป็นต้องมาด้วยกัน

ความผูกพันแน่นแฟ้นที่ค่อยๆก่อจากคนที่ไม่ใช่พ่อ แต่ให้ความเป็นพ่อแก่ Frankie ความเอาใจใส่ที่มีให้ในเวลาเพียง 2 วัน ไปดูเขาเล่นกีฬา พาไปกินไอติม นั่งเล่นขว้างหิน ฯลฯ กิจกรรมธรรมดาๆที่แสนจะมีคุณค่าสำหรับเด็กผู้ชายอย่าง Frankie เด็กที่มีแม่ที่แสนดีแต่เขาไม่เคยมีพ่อเลยตั้งแต่จำความได้

... Shona Auerbach ทิ่เพิ่งมีงานกำกับชิ้นนี้เป็นชิ้นที่ 2 สร้างความประทับใจให้กับคนดู ด้วยการเล่าเรื่องที่ละเมียดละไม ไม่ผลีผลามรีบร้อนใส่ฉากกระชากน้ำตา ไม่หวือหวาเร่งเร้า หนังไปอย่างเรื่อยๆเรียบเข้ากับบรรยากาศตัวเมืองในหนังที่เงียบสงบ ฉากเต้นรำในร้านอาหารเป็นฉากหวานๆฉากหนึ่งที่ไม่เลี่ยน และเป็นความรักแบบหนุ่มสาวที่แทรกเข้ามาในเรื่องราวความรักพ่อ-แม่-ลูกได้อย่างอบอุ่น

...Jack McElhone แสดงเป็น Frankie เด็กหูหนวกเป็นใบ้ได้ดี สีหน้างงงัน ไม่สามารถรับรู้โลกภายนอก ยิ่งเราได้รู้ ความจริง จากจดหมายฉบับสุดท้าย มันก็ทำให้รู้สึกซาบซึ้งยิ่งขึ้น มันเหมือนกับ sixth sense ที่การรู้ความจริงตอนท้ายทำให้เราอยากย้อนกลับดูไปใหม่ โดยเฉพาะการแสดงของเขาในบท Frankie เขาทำให้เราเชื่อว่าเขามีความสุขจริงๆกับพ่อที่เขาได้มา และ เขาเองก็ไม่ตีโพยตีพายกับความจริงใดๆที่เขารับรู้

.... การดำเนินเรื่องในช่วงแรกของหนังเอื่อยเฉื่อยชวนให้ง่วงอยู่บ้าง จะว่าไปแล้วหนังดำเนินเรื่องในระดับนี้ไปเรื่อยๆ สิ่งที่คนดูรู้สึกไม่ได้เกิดจากตัวหนังเร่งเร้า แต่เกิดจากความรู้สึกที่ค่อยๆตกตะกอนตามเนื้อเรื่องที่เราติดตาม แม้แต่เมื่อถึงจุดไคลแมกซ์หรือตอนท้ายๆ ความรู้สึกมันก็ไม่ได้เอ่อล้นท่วมท้น แต่มันเป็นความรู้สึกดีๆอยู่ข้างในไม่มากไม่น้อยเกิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังแต่ละอย่างเป็นเหตุการณ์ธรรมดาๆไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่มันยิ่งใหญ่และมีค่าสำหรับ Frankie และนี่คือข้อเด่นของหนัง เพราะหนังทำให้เราเชื่อตามความรู้สึก Frankie ได้จริงๆ

สิ่งที่ชอบ

1.ความรัก การโกหก การปกป้อง...หนังไม่ได้ชูการโกหกเพราะรักให้เป็นสิ่งถูกต้อง และ หนังก็ไม่ได้ปักป้ายประณามการกระทำของแม่ ว่าเป็นสิ่งที่ผิดเช่นกัน หนังแสดงให้เห็นอย่างเป็นกลาง และ ให้เราเข้าใจสถานการณ์กับความรู้สึกของตัวละคร สามารถเห็นใจในสิ่งที่ตัวละครทำ ทำให้เราไม่ได้เห็นดีงามกับการโกหกและไม่รู้สึกว่าแม่ทำสิ่งที่ผิด

2. ความละเมียดละไม .... หนังค่อยๆดำเนินเรื่องช้าๆ ไม่ผลีผลามวู่วาม ไม่โฉ่งฉ่าง หนังถ่ายทอดความรู้สึกของแม่และลูกได้ดี

3. ตอนจบ ... จบแบบง่ายๆ จริงใจดี ไม่ได้สร้างความสมหวังเกินเหตุให้คนดูฉีกยิ้มปากถึงหู หรือ หักหลังให้ต้องน้ำตาไหลพรากๆ หนังไม่สรุปเรื่องราวให้กับคนดู และ ทิ้งช่องว่างเล็กน้อยตอนท้ายให้คนดูได้คิดต่อ แต่ก็ทำให้เราพอรับรู้แล้วว่าเส้นทางข้างหน้าของแม่และลูก ไม่ต้องพึ่งคำโกหกหรือการหนีความจริงให้เหนื่อยอีกต่อไป

4. ฉากรักพระ-นาง ... น้อยแต่รู้สึกดี (หลักๆมีแค่ ฉากในร้านอาหาร กับ ฉากหน้าประตู) ไม่ไปเบียดธีมของแม่-ลูกหรือพ่อ-ลูก เป็นการใส่เข้ามาไม่มากที่เหมาะเจาะลงตัวมากๆ

สิ่งที่ไม่ชอบ

1. การแบ่งเวลา ...หนังเล่าเรื่อยๆไปนิดในช่วงแรกๆ พอถึงช่วงของพ่อ-ลูก ผมรู้สึกว่าหนังน่าจะใช้เวลาช่วงนี้ให้มากขึ้น น่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ของคู่พ่อ-ลูกให้มากกว่านี้อีกหน่อย เชื่อได้ว่าหนังจะดึงอารมณ์คนดูตอนท้ายๆได้มากกว่านี้ รู้สึกว่า หนังใช้เวลาไปกับช่วงแรกมากไป

สรุป ... เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกดีๆกับความรัก ของ พ่อ-แม่-ลูก ขณะดูอาจต้องใช้สมาธิบ้างเพราะหนังไม่ได้เล่าเรื่องให้กระชับรัดกุม ไม่ได้เน้นการบีบคั้นอารมณ์ จึงอาจทำให้คนดูไม่คุ้นเผลอหลับหรือเบื่อได้ สัปดาห์ที่ไม่มีหนังเรื่องไหนน่าสนใจ การเลือกดู Dear Frankie ที่โรง House วันเสาร์ที่ผ่านมาตอนบ่ายสอง เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด




ความเห็นของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป

ติดตามบทความใหม่ๆ หรือ บทความน่าสนใจ หรือ เริ่มต้นอ่านBlogนี้มีข้อสงสัย คลิกไปเริ่มต้นที่ --> หน้าแรก


รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง




 

Create Date : 22 กันยายน 2548
22 comments
Last Update : 22 กันยายน 2548 15:37:28 น.
Counter : 2132 Pageviews.

 

เทียบกับ Life is beautiful แล้ว เรื่องนี้มีความดีเป็นกี่เปอร์เซนต์ของเรื่องนั้น? สักครึ่งหนึ่งได้ไหม.... คือ เราชอบ Life มาก....ถึงมากที่สุดน่ะ

 

โดย: TulipOnLine 22 กันยายน 2548 2:24:29 น.  

 

อยากดูค่ะ

 

โดย: rebel 22 กันยายน 2548 6:12:51 น.  

 

สวัสดีค่ะ
เขียนได้ดีมากเลยค่ะ
เห็นด้วยว่าการโกหกคำที่ 1 จะนำไปสู่การโกหกที่ไม่สิ้นสุดได้ ตราบนานเท่าที่คนๆนั้นยังรู้สึกว่าความเป็นจริงเป็นสิ่งน่ากลัว
หนังเรื่องนี้สื่อในเรื่องการโกหกเพราะรัก
สื่อให้เห็นความทุกข์เรื้อรังจากการโกหก
สื่อให้รู้ว่าการโกหกไม่ใช่ทางออกที่ดี
และสื่อให้รู้สึกได้ว่าวันที่มีความสุขที่สุดคือวันที่ได้อยู่กับความเป็นจริงที่หนีมานาน

โดยส่วนตัว
ถ้าเทียบกับ life is beautiful เรื่องความสนุกและการดึงอารมณ์ร่วม ให้คะแนน life มากกว่า เรื่องเนื้อหาเรื่องนี้ให้ข้อคิดเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ให้คะแนนมากกว่า life ค่ะ

 

โดย: 1993 IP: 202.28.181.9 22 กันยายน 2548 14:44:45 น.  

 

Good Movie

 

โดย: Zantha 22 กันยายน 2548 15:10:49 น.  

 

อยากดูจังเลย
ตั้งใจจะดูมาตั้งแต่เดือนก่อน
แต่เดือนนี้ดันติดโน่นติดนี่
เฮ้อ...

 

โดย: ชมทะเล 22 กันยายน 2548 15:45:00 น.  

 

ดูแล้วชอบเรื่องนี้มากกว่าlife is beautiful นะ

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอาจเป็นเพราะประทับใจเรื่องนี้มากกว่ามั้งคะ

เรื่องที่เป็นรูปในกล่องคอมเมนนี่เข้าเมื่อไรอะคะ
คอปไบรท์ใช่ป่ะ

 

โดย: นางสาวแสนดี..sandy 22 กันยายน 2548 16:48:35 น.  

 

ไม่รู้สิค่ะ หนังสองเรื่อง กับ การโกหก จะบอกไงดี อืมม ไม่ชอบการโกหก น่ะค่ะ


ส่วนตัว คิดว่า การโกหกนั่นล่ะที่สร้างบาดแผล ความจริงต่างหากที่จะเยียวยา

 

โดย: ปีกที่ไม่อาจจะโบยบิน (WhaT iT'S W๐l2tH ) 22 กันยายน 2548 18:03:50 น.  

 

พี่ดู transporter รึยังคะ อยากให้ review เรื่องนี้จัง เพราะเคยดูภาคแรกแล้วชอบมาก เป็นงแรงบันดาลใจในวิธีขับรถแบบที่ขับตอนนี้เลยค่ะ (แบบท้าทายตำรวจ)

 

โดย: baked 22 กันยายน 2548 23:22:22 น.  

 

^
^
ตัวอย่างน่าดูนะครับ แต่คงไม่ได้ดู (เก็บตังค์หงะ ชักร่อยหรอกับหนังไปทุกที ยิ่งเดือนนี้หนังน่าดูเพียบ) คงได้เขียนถึงตอนที่ออกมาเป็นแผ่นแล้ว โปรแกรมถัดไปที่จะไปดูเป็น Cinderella men ครับ

 

โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" 23 กันยายน 2548 0:07:49 น.  

 

นางสาวแสนดี..sandy ... ถูกต้องคร้าบบบ ในกรอบนี่คือ corpse bride มีกำหนดเข้า 13 ตุลา

TulipOnLine .. ถ้าให้เทียบ ผมรู้สึกเหมือนคุณ 1993

 

โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" 23 กันยายน 2548 0:12:00 น.  

 

ชอบประโยคนี้ของคุณปีกที่ไม่อาจจะโบยบิน
"การโกหกนั่นแหละที่จะสร้างบาดแผล ความจริงต่างหากที่จะเยียวยา"

 

โดย: 1993 IP: 58.10.56.30 24 กันยายน 2548 20:25:36 น.  

 

อยากดูค่ะ

 

โดย: nam IP: 61.19.203.235 24 กันยายน 2548 20:30:59 น.  

 

อยากดูแต่ไม่ได้ดู น่าจะมีฉายที่โรงอื่นด้วยนะ นอกจาก House น่ะ

 

โดย: KS IP: 203.156.25.138 25 กันยายน 2548 17:20:58 น.  

 

ตอนที่ได้ข่าวหนังเรื่องนี้ทีแรกก็อยากดู พอมาอ่านบล็อกนี้ก็ยิ่งอยากดูขึ้นไปใหญ่

 

โดย: ปรีดา (Aka Prita ) 26 กันยายน 2548 0:23:14 น.  

 

อ่านเนื้อเรื่องแล้วน่าดูมาก..บางครั้งการโกหกเพื่อให้คนที่เรารักมีความสุขใถ้ไม่ทำร้ายใคร..ก็เป็นความผิดที่น่าให้อภัยนะ

 

โดย: angelmon IP: 202.139.214.89 26 กันยายน 2548 14:08:01 น.  

 

อยากดูมาก ๆ อ่ะ แต่ทำไมมีฉายแต่ที่ house ไกลจังเลย ลิโด้น่าจะเอามาฉายด้วยเนอะ จะได้ไปดูแน่ ๆ

 

โดย: gagabaga IP: 202.57.158.140 27 กันยายน 2548 22:56:39 น.  

 

อ่ายแล้วอยากดูมาก ๆ เลย

 

โดย: buaying846 IP: 129.215.16.12 3 ตุลาคม 2548 21:22:08 น.  

 

อยากดูอ่ะ

 

โดย: pai IP: 202.5.88.149 17 ตุลาคม 2548 0:49:01 น.  

 

น่ารักดี

 

โดย: ชา IP: 203.147.0.44 17 ตุลาคม 2548 12:16:10 น.  

 

สำนวนการเขียนยังน่าทึ่งเหมือนเดิม
ขอบคุณครับสำหรับบทความดีๆ

 

โดย: สยาม IP: 61.90.219.118 20 เมษายน 2549 1:16:22 น.  

 

ชอบมาก มีกลิ่นไอ และบรรยากาศหนังที่สะอาด บริสุทธิ์ น้อง Frankie แสดงดีจริงๆ

 

โดย: ปอย IP: 161.200.255.164 22 พฤษภาคม 2549 16:25:45 น.  

 

เพิ่งได้ดูหนังเรื่องนี้วันนี้เองครับ
ช้าไปหน่อยแต่หนังดีมากเลย
อยากได้แผ่นเก็บไว้ให้ลูกดูจัง
ใครพอช่วยผมได้บ้างครับ T T
owennat@hotmail.com

 

โดย: ณัฐ IP: 125.24.212.246 2 พฤศจิกายน 2550 22:11:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
กันยายน 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
22 กันยายน 2548
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.