www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull , งานคืนสู่เหย้า ของ เรา และ คนทำหนัง





... เกือบยี่สิบปีก่อน พ่อพาผมเข้าไปรอต่อคิวซื้อตั๋วหนังเรื่องหนึ่งซึ่งคนดูเยอะมาก จนเหลือแค่ที่นั่งเสริมเป็นเก้าอี้พับ และยังมีตั๋วผีขาย เชื่อว่า ประสบการณ์แบบนี้มันคงไม่มีเหลืออีกแล้วในยุคที่มัลติเพลกซ์ผุดเบ่งบานทั่วเมือง การไปดูหนังกับพ่อที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพ่อลูกผจญภัยเป็นความทรงจำที่ดีที่ยังคงหลงเหลือถึงปัจจุบัน และ หนังเรื่องนั้นของผมคือ Indiana jones and the last crusade

พอโตขึ้นมาหน่อย ผมก็ตระเวนล่าสองภาคก่อนๆมาดูจนครบ แต่ก็ยังประทับใจใน ภาคสามมากที่สุด เพราะรู้สึกว่ามันสนุกที่สุดแม้ ทุกๆสำนักวิจารณ์จะบอกว่า ภาคนี้ด้อยกว่าสองภาคแรกก็ตาม เช่นเดียวกับ ตอน Star wars ที่ผมสนุกกับภาค 3 มากที่สุด ทั้งๆที่เป็นภาคที่อ่อนที่สุดอีกเช่นกัน

เหตุผลที่พอจะอธิบายได้คือ หนังภาคสาม ของทั้งสองไตรภาค อาจไม่สุขุมคัมภีรภาพ แต่ ความโฉ่งฉ่างเอะอะมะเทิ่งของมันทำให้เราสนุกได้มากกว่าที่จะมาวิเคราะห์ถึงความดีไม่ดีในแง่ของความเป็นภาพยนตร์ เช่นเดียวกับ ปัจจัยที่เป็นรักแรกพบ หรือ ประสบการณ์ฝังใจ มีส่วนสำคัญที่ทำให้เรานั้นรักสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบหัวปักหัวปำ แม้จะได้เจอสิ่งที่ดีกว่า บางครั้งก็มักรู้สึกเสมอๆว่า ยังไม่สามารถทัดเทียม ความประทับใจครั้งแรก





...ถึง Indy จะไม่ใช่เรื่องแรกของหนังตระกูล << ผจญภัย / ไขปริศนา / ล่าสมบัติ >> แต่ความสำเร็จที่เกิดจากการร่วมมือของสามทหารเสือ( จอร์จ ลูคัส / สปีลเบิร์ก / แฮริสัน ฟอร์ด) ทำให้ไตรภาคของอินดี้แทบจะเป็น หนังต้นแบบที่ว่าด้วยพล็อตประเภท

"พระเอกเป็นอาจารย์หรืออาชีพที่ดู nerdๆ แต่อีกด้านกลับเป็นนักผจญภัยที่อาศัยความรู้ของตัวเองไปประยุกต์เพื่อตามหาขุมสมบัติ โดยต้องผ่านปริศนาหลากหลายที่มากั้นกลาง พร้อมๆกับศัตรูที่จ้องจะฮุบสมบัตินั้นเช่นกัน และ ที่มาที่ไปของสมบัติจะถูกผูกโยงไว้กับ ข้าวของหรือปูมหลังทางประวัติศาสตร์ อาทิ ลีโอนาโด้ ดาวินชี่ , จอกศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ"

และ ทุกๆภาคของอินดี้ ก็ล้วนเดินตามพล็อตข้างต้นคู่ไปกับ สูตรดำเนินเรื่องหลักๆ เหมือนกัน (ฉากเปิดตัวเป็นฉากแอคชั่นเอาตัวรอด , พระเอกมะงุ่มมะงาหราแต่รอดตาย , เจองูที่ตัวเองกลัว , ศัตรูแอ็คท่าเก่งก่อนจะแพ้พระเอกแบบโง่ๆ ฯลฯ) ต่างแค่ว่า แม็คกัฟฟิน หรือ ของปริศนา ที่เกี่ยวกับสมบัตินั้นจะเป็นอะไร และ บทหนังจะผูกเรื่องให้การเดินทางของอินดี้พานพบอะไรบ้าง

แต่ในยุคสมัยคอหนังที่อยู่ในช่วงวัย เด็กฮิปฮอป เด็กอีโมร็อค เด็กแว๊นท์ ฯลฯ ล้วนมีประสบการณ์ติดตามากับ หนังอย่าง National treasure ,The Mummy , The Davin ci code ฯลฯ เป็นครั้งแรก หลายคนเมื่อรู้ว่า อินดี้ มีการสร้างภาคสี่ อาจจะตั้งคำถามว่า Indy who ? จนทำให้ผมเชื่อว่า การสร้าง Indy 4 ให้ชนะใจคนดูในยุคสมัยที่ผ่านตาหนังในตระกูล << ผจญภัย / ไขปริศนา / ล่าสมบัติ >> ที่สุดแสนจะโมเดิร์นมาเยอะแล้วเป็นเรื่องยาก

เพราะหากจะทำซีจี สร้างเอฟเฟคต์ให้หวือหวา เพื่อทัดเทียมกับหนังรุ่นใหม่ มันก็จะไม่ต่อเนื่องกับสามภาคก่อนหรือ หากอยากจะสร้างความซับซ้อนให้มากมาย มันก็จะไม่ใช่สไตล์ของหนัง อินเดียน่า โจนส์ และ ถ้าอยากจะใส่ความทันสมัยไฮเทคเพื่อให้ตื่นเต้น ก็อย่าลืมว่า ช่วงเวลาของอินเดียน่า โจนส์ เกิดขึ้นเมื่อสี่ห้าสิบปีก่อนที่ไม่ได้มีแม้แต่อินเตอร์เน็ต



… ครั้นจะให้ภาคใหม่มาครองใจแฟนๆรุ่นเก่าก็ยากไม่แพ้กัน เพราะถึงแม้เราจะหยิบสามภาคก่อนมาให้หลานๆนั่งดูตอนนี้ มันจะเชยเฉื่อย แต่อย่าลืมว่า เมื่อสิบยี่สิบปีก่อน Indiana Jones คือหนังสร้างปรากฎการณ์ที่สร้างความประทับใจติดแน่นรุ่นคุณลุงคุณพ่อยุคนั้นจนยากสลัดหลุด

ทั้งที่จริงแล้ว ถ้าตัดปัจจัยของ ‘ความคลาสสิค’ ทิ้งไป ตัด ‘ความประทับใจฝังลึก’ ออก แล้วหยิบอินเดียน่า โจนส์ทั้งสี่ภาคมาดูต่อๆกันเป็นครั้งแรก ภาคที่สี่นี้อาจไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุด แต่มีความสนุกลำดับต้นๆอย่างแน่นอน




...หากมองว่าเป็น หนังเดี่ยวๆไม่ใช่ภาคต่อของใคร Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ไม่ใช่หนังสร้างปรากฏการณ์ พล็อตกะโหลกแก้วที่เป็นของเล่นชิ้นใหม่ที่ต้องใช้ไขปริศนาก็ไม่ได้แหวกแนวกว่าเดิมๆ (จอกศักดิ์สิทธิ์ในภาค 3 ยังดูน่าสนใจเสียมากกว่า)

แต่เมื่อมองในฐานะหนังภาคต่อของไตรภาคอันสุดแสนคลาสสิค หนังเรื่องนี้ทำหน้าที่ตอนต่อที่ดี สามารถสร้างความต่อเนื่องจากสามภาคก่อนได้แบบสุดแสนจะเนียนตา ลองนึกภาพ Star wars Episode 1-2-3 ที่ทำออกมาดีเหลือเกิน นักแสดงที่รับช่วงต่อก็ดูถ่ายทอดความเหมือนในคาแรคเตอร์ได้ดี แต่ถ้ามานั่งเรียงดูต่อเนื่องกับ Episode 4-5-6 เราก็จะรู้สึกสะดุดเหมือนเป็นหนังคนละชุดที่สร้างต่างจากยุคสมัย ในขณะที่ Indy4 ยังดูต่อเนื่องกับสามภาคต้นได้ในลักษณะที่รู้สึกว่า เป็นหนังชุดเดียวกันที่มีงานสร้างกับเทคนิคที่ดีกว่าเดิม

ซึ่งการสร้างหนังภาคต่อต่างช่วงเวลานานถึงยี่สิบปีแบบนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ สามทหารเสือก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยมสำหรับ การเก็บกลิ่นอายความเป็นอินดี้มาได้ครบครัน และ ใช้เทคโนโลยีทางภาพยนตร์สมัยใหม่ให้เข้ากับสไตล์เก่าๆได้อย่างเข้ากัน สมกับที่สปีลเบิร์กให้สัมภาษณ์ว่า ให้Janusz Kaminski ตากล้องคนใหม่ในหนังอินดี้ ได้ศึกษางานเก่าๆเพื่อให้ออกมาใกล้เคียงที่สุด




....ไตรภาคที่ผ่านมาถือว่าปิดฉากอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ส่วนภาคนี้ให้บรรยากาศสบายๆสนุกๆเป็นเหมือน งานคืนสู่เหย้า ของทั้งคนดู , ผู้สร้าง และ นักแสดง เสียมากกว่า ขนาดนักแสดงนำหญิงก็ยังกลับไปชวนนางเอกของภาคแรกกลับมาเล่นต่อทั้งๆที่เธอห่างหายจากจอไปนาน แต่ละคนมาสนุกสนานกันอย่างเป็นกันเอง (ยกเว้นน้องไชยา ที่ดูเหมือนจะเกร็งๆกว่าเพื่อน)

และ งานชิ้นนี้ ก็เป็นงานที่ สปีลเบิร์ก หาโอกาสสนุกสนานกับสิ่งที่ตัวเองหลงรักอีกครั้ง เหมือน ‘หนังสปีลเบิร์ก’ ในอดีตที่เขาถนัด หลังจากไปหมกมุ่นในโลกของผู้ใหญ่ที่ดำมืดเช่น Munich มาหลายเรื่อง สังเกตจากการยำของโปรดทั้งหลายของเขาเข้า ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น

-ความเป็นหนังครอบครัว

-พล็อตมนุษย์ต่างดาว เช่น E.T. , AI. , War of the Worlds , Close Encounters of the Third Kind

-ธีมพ่อ-ลูกที่สอดแทรกในหนังหลายต่อหลายเรื่อง เช่น indy 3 , Catch Me If You Can , The Terminal

ฯลฯ




... เสียดายอยู่หน่อยตรงที่บทหนังเรื่องนี้ไม่ได้ดีเด่นถึงขนาดที่รู้สึกว่า คุ้มค่า ต่อการกลับมาทำภาคสี่เหมือนที่สปีลเบิร์กคุยไว้ ไม่อยากเชื่อว่าบทที่ออกมาเป็นบทที่ดีที่สุดถึงขนาดที่โยนบทของคนเขียนบทหลายๆคนรวมทั้งของ แฟรงค์ ดาราบอนต์ ออกไป

จุดที่หลายคนมองว่าเป็นปัญหาเรื่องความเว่อร์ ส่วนตัวแล้วยอมรับได้กับ ความเว่อร์แบบไม่ปรานีปราศรัย เช่นให้ อินดี้ หลบเข้าตู้เย็นเพื่อป้องกันระเบิดนิวเคลียร์ หรือ ฝูงลิงกระโดดเข้าหาฝ่ายตัวร้าย เพราะนั่นก็เป็นเหมือนเสน่ห์ที่มีประจำในหนังของอินดี้ สำหรับ ความเว่อร์ๆฮาๆ

แต่จุดด้อยแท้จริงของบทหนังที่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับภาคก่อนๆจะเห็นคือ การดำเนินเรื่องที่ไม่กระชับรัดกุม , ประเด็นหลายๆอย่างที่หนังหยิบมาเล่นเช่น พ่อ-ลูก ก็ขาดลูกเล่นขาดความเฉียบคมเหมือนตอนภาคสาม อีกทั้งการเลือก กะโหลกแก้ว มาเป็นแกนหลักของเรื่อง ดูยังธรรมดาไปนิด แต่เมื่อหนังโยงไปกับ มนุษย์ต่างดาว ก็ดูเหมือนจะน่าสนใจขึ้นมาในทันที ในขณะเดียวกัน การหันเหความเป็นหนังผจญภัย ไปสู่ พล็อตของเอเลี่ยนประเภท x – file ก็ฉายแววว่าโอกาสที่หนังออกมามั่วซั่วมีอยู่สูง


โชคดีที่หนังประคองทิศทางเรื่องราวได้ไม่เลอะเทอะมากนัก และ สปีลเบิร์กก็ยังโชว์ความเป็นนักเล่าเรื่องที่เก่ง เมื่อเขาสามารถตบคนดูเข้ามาสู่การเดินทางได้ แม้หลายตอนจะมีหลักวิชาการประวัติศาสตร์โบราณคดีที่เกือบหลับ เช่นเดียวกับ บางช่วงที่หนังเกือบๆจะหลุดจากหนัง อินดี้ ไปเป็น หนังไซไฟ หรือ หลายๆตอนที่ยืดเยื้อจนคนดูเริ่มเบื่อๆล้าๆ


จุดด้อยอีกจุดที่เห็นชัดคือ หนังใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเคาะสนิมให้เข้าที่เข้าทาง ช่วงเปิดเรื่องตามที่ผ่านๆมา ถือว่าเป็นสูตรเปิดตัวที่ต้องตื่นเต้นระทึกใจ แต่ในภาคนี้ไม่ได้มากขนาดนั้น ถ้าไม่นับฉากโชว์ระเบิดลูกเห็ดก็แทบจะชวนง่วงอยู่ ตัวที่ทำให้หนังลดความตื่นเต้นลงก็ตรงที่ดูเหมือนภาคนี้จะมีการเล็คเชอร์ภาคประวัติศาสตร์โบราณคดีอยู่มาก และ ส่วนมากที่เล็คเช่อร์ ไม่ใช่เนื้อหาส่วนที่คนดูมีความรู้พื้นหลังเหมือนกับใน The Davin ci code จนทำให้มันรู้สึกน่าเบื่อแทน




... นักแสดงในภาคนี้ไม่มีใครน่าสนใจเท่าเด็กใหม่สองคน หนึ่งคือ น้องไชยา หรือ ไชอา ลาเบิร์ฟ ดูทะมัดทะแมงเข้าทีกับบท มัตต์ หนุ่มปริศนาที่อาจจะเป็นลูกของอินเดียน่า และ ถ้าฉายแววรุ่งก็คาดการณ์กันว่าเขามีโอกาสจะได้เปิดตำนานบทถัดไป แต่ผมไม่รู้สึกประทับใจอะไรมากนัก ทั้งๆที่ น้องไชยา เป็นนักแสดงรุ่นใหม่ที่มีฝีมือ และก็ทำให้เห็นถึงความตั้งใจสูง แต่มันเหมือนยังไม่มีออร่าจับสำหรับบท นักผจญภัยแบบนี้ ดูเป็นความพยายามมากกว่าจะเป็นจริงๆเหมือน รุ่นคุณพ่อ แฮริสัน ฟอร์ด ที่ไม่ต้องพยายามอะไรมาก ก็ทำให้เราเชื่อได้

การกลับมาสะบัดแส้ในวัยขนาดนี้ แฮริสัน ฟอร์ด ไม่ทำให้คนดูต้องผิดหวัง เกือบยี่สิบปีผ่านไปอาจเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่เมื่อต้องหวนกลับไปสวยมบทเดิมๆ เขาก็สร้างความต่อเนื่องให้กับคาแรคเตอร์นี้ได้อย่างสมจริง และ โชว์ความหนุ่มกว่าวัย โชว์พลังดาราของจริง ให้คนรุ่นใหม่ได้ประจักษ์แก่สายตา (หลังจากที่ทำท่าเหมือนจะปิดฉากอาชีพอย่างไม่น่าประทับใจ จากการคว่ำมาหลายเรื่องติดๆกัน ทั้ง Hollywood Homicide และ Fiewall)




อีกหนึ่งความน่าสนใจคือ การเลือกวายร้ายให้เป็น เคต บลานเช็ตต์ ที่เป็นตัวเลือกที่เข้าท่า เขียนถึงเธออีกกี่ครั้งผมก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า เธอคือนักแสดงที่ทำให้คนดูอย่างผมตกหลุมรักแรกพบเพราะฝีมือการแสดงราวกิ้งก่าเปลี่ยนสี ผมหน้าม้าสำเนียงรัสเซียดูป่วยๆจิตนิดหน่อย ดูแล้วให้อารมณ์กวนโอ๊ยดีแท้ๆ แค่เห็นชายตากวนประสาทในฉากช่วงต้นก็กินขาดทุกนักแสดงในเรื่อง เสียดาย ถ้าหนังให้โอกาสเธอได้ปล่อยของมากกว่านี้ โอกาสเข้าชิงรางวัลปีหน้าไม่หนีไปไหน


สรุป ... มุกเก่าๆ สูตรเก่าๆ ไม่ฮือฮา ไม่หวือหวา ไม่แปลกใหม่ แต่ ในฐานะคนรุ่นที่โตมากับ มากับ คริสโตเฟอร์ รีฟ เป็น ซูเปอร์แมน รุ่นเดียวกับที่รู้จัก แรมโบ้ มากกว่า เจสัน บอร์น รุ่นเดียวกับที่ ฮือฮากับ อีที มากกว่า Cloverfield


คนรุ่นนี้แค่เห็น ผ้าคลุมสีแดงโบยบินใน Superman returns ก็ขนลุกแล้ว เช่นเดียวกับแค่เห็น เงาของชายใส่หมวกพร้อมแส้ ก็ตื่นเต้นทั้งๆที่หนังยังไม่ไปถึงไหน และ ผมก็พึงพอใจกับหนังภาคสี่นี้มาก



เพราะสิ่งที่ผมคาดหวัง กับ งานคืนสู่เหย้า ไม่เหมือน งานรับน้องใหม่ นั่นคือ ผมไม่ได้คาดหวังจะได้ตื่นตาตื่นใจมากเท่ากับ การได้พบเพื่อนเก่าๆและได้บรรยากาศความสุขแบบวันเก่าๆกลับคืนมา ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ตอบโจทย์นี้ได้อย่างดี


คอหนังสามภาคก่อนที่เคยดูแล้วทิ้งช่วงไปสิบเก้าปี อาจรู้สึกว่า มันไม่สนุกเท่าก่อน แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ มนต์ขลังของหนังยังคงกรุ่นกลิ่นไอโชวให้มีความสุขขณะนั่งดู และ มนต์ขลังนี้เองที่นักผจญภัยรุ่นใหม่ๆยังต้องสะสมวิชาเพื่อเทียบความเก๋าของลุงอินดี้อีกเยอะ

ขอสรุปจากประโยคที่เขียนไว้ข้างต้นคือ ถ้าตัดปัจจัยของ ‘ความคลาสสิค’ ทิ้งไป ตัด ‘ความประทับใจฝังลึก’ ออก แล้วหยิบอินเดียน่า โจนส์ทั้งสี่ภาคมาดูต่อๆกันเป็นครั้งแรก ภาคที่สี่นี้อาจไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุด แต่มีความสนุกลำดับต้นๆอย่างแน่นอน



Link บทความที่อ้างอิงถึงใน blog

The Da Vinci Code , ศรัทธาที่บิดเบือน

National Treasure: Book of Secrets , สนุกดี (แต่เคยมี สนุกกว่า)

War of the Worlds , เมื่อสปีลเบิร์กเลิกรักมนุษย์ต่างดาว

Star Wars: Episode III Revenge of the Sith , การปิดตำนานและการเริ่มต้นอย่างสมบูรณ์

Rambo 4 (+3+2+1) , เปิดตำนานจาก 'พี่โบ้' สู่ 'ลุงโบ้' (โอ้มายก๊อด ลุงบึกตายยาก)

สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง ได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน









ขอฝาก พ็อกเก็ตบุ้คสองเล่มที่ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนังเพราะ "หนังสือรัก" เป็นการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม ส่วน องศาที่ 361 หนังสือเล่มล่าสุดที่จะช่วยให้คุณค้นหามุมเล็กๆในตัวเองที่จะมีความสุขในชีวิตได้มากขึ้น โดยไม่ต้องมองหาจากผู้อื่น


เพื่อนๆที่หาซื้อตามร้านไม่ได้ "หนังสือรัก"เข้าไปสั่งได้จากเว็บของสนพ.เลยจ้าที่ //www.bynatureonline.com/store/bookstore.php ส่วน องศาที่ 361 สั่งได้จากเว็บของซีเอ็ดครับผม




ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2551
11 comments
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 11:59:45 น.
Counter : 10430 Pageviews.

 

ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ

 

โดย: mr robot IP: 210.246.69.77 27 พฤษภาคม 2551 12:11:04 น.  

 

..

อิอิ เห็นตรงกันครับพี่หมอ ^^

ในกระทู้หน้ารวม หลายคนผิดหวัง แต่ผมชอบมาก ได้เจอเพื่อนเก่าที่คิดถึง ^^

..

 

โดย: POGGHI 27 พฤษภาคม 2551 12:51:29 น.  

 

ใช่เลย....
เหมือนได้เจอเพื่อนเก่า
ไม่หวือหวา แต่ก็ไม่ผิดหวังเนาะ

 

โดย: golf IP: 58.8.60.84 27 พฤษภาคม 2551 13:44:47 น.  

 

ดูสนุกตอนกลางเรื่องถึงตอนท้ายๆครับ
เห็นด้วยว่าบทอ่อนไปหน่อยครับ

 

โดย: บิกวอร์ IP: 125.26.81.123 27 พฤษภาคม 2551 14:12:57 น.  

 

ผมอ่านรีวิวของลุง Ebert มาน่ะครับ เค้าว่า "ระหว่างนั่งดูอินดี้ในโรง ให้ความรู้สึกเหมือนกับอินดี้ตัวจริงมานั่งดูพร้อมๆกับคุณเลย และจะมีฮีโร่ในจอสักกี่คนกัน ที่จะลงมาดูหนังของเค้าเองข้างๆกับคุณ"

ผมว่านี้เป็นอะไรที่สรุปประสบการณ์ในการดูเรื่องนี้ได้ดีเลยน่ะครับ เพราะอินดี้ 4 นี้เปรียบเสมือน โฮมมูฟวี่ของพ่อมดฮอลลิวู้ด ที่ชักชวนให้เราเข้าไปร่วมสังสรรค์ด้วย จากการรับชมในโรงภาพยนตร์นั้นเอง

 

โดย: BloodyMonday 27 พฤษภาคม 2551 15:42:01 น.  

 

ดูเธอเปลี่ยนไป

 

โดย: tod IP: 202.69.140.130 27 พฤษภาคม 2551 16:49:53 น.  

 

เห็นว่าในงานเปิดตัวที่เมืองนอก
ไม่ได้รับเสียงปรบมือเท่าไหร่
คงเป็นเพราะคนคาดหวังไว้เยอะ

ตอนนี้อยากดูเรื่องนี้แหละค่ะ
อยากที่ จขบ บอก
แค่คิดถึงเพื่อนเก่าๆ อยากเจอเพื่อนก็เท่านั้นเอง

 

โดย: หัวใจสีชมพู 28 พฤษภาคม 2551 9:56:31 น.  

 

+ ความสนุกน่ะได้อยู่ บรรยากาศเก่าๆ ก็โอเช ... แต่สิ่งที่ผมรู้สึกขาดไปนิดนึง คืออารมณ์อะไรสักอย่างที่ผมจำได้ว่าเวลาดูหนังชุดอินดี้จบมันมักจะปรากฏขึ้นมาในความรู้สึกอ่ะครับ อาจเป็นที่บทหนังก็ได้มั้ง

+ ชอบ เคทท์ เช่นกันครับ เธอแปลงโฉม, เปลี่ยนสำเนียง, ทำสีหน้าแววตาเหี้ยม ซะจนผมแทบจะจำเธอไม่ได้เอาซะเลย ... ถ้าเธอสามารถใช้พลังจิตในหนังได้ (นิดนึง) เพื่อเป็นลูกเล่น มันจะทำให้ดูสนุกขึ้นอีกมั้ยนะ ไหนๆ ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางนี้แล้ว
+ ลุงฟอร์ด มาดเท่ห์โดยไม่ต้องพยายามเลยครับ (ถึงแม้จะหง่อมไปนิด) แค่เห็นเงา-หมวก-แส้ กับธีมประจำตัวที่ลอยมาก็เต็มตื้นแล้วอ่า ... ส่วนพ่อหนุ่มไชอา คงต้องบ่มเพาะบารมีอีกพักใหญ่ๆ กว่าจะมีพลังในตัวพอที่จะประคองหนังไปได้ ถ้าเค้าจะต้องกลายเป็นตัวเอกในภาคถัดไป (ถ้ามี) อ่ะเนาะครับ

 

โดย: บลูยอชท์ 30 พฤษภาคม 2551 10:30:09 น.  

 

ไม่เคยดูซักภาค แต่สำหรับผมก็ถือว่าโอเคเลยนะครับ ถึงจะไม่สุดๆ แต่ก็เพลินจนรู้สึกว่าหนังจบไวเหมือนกัน ทั้งๆที่หนังยาว

 

โดย: YoiChi_KunG 2 มิถุนายน 2551 15:48:52 น.  

 

สนุกแบบคลาสสิคดีครับ ชอบครับภาคนี้ดูแล้วได้อารมณ์ภาคเก่าๆ ครบครัรนครับ

 

โดย: lkunl IP: 58.8.211.210 9 มิถุนายน 2551 12:07:04 น.  

 

เพิ่งดูจบ รู้สึกว่าไม่น่าสร้างภาค 4 เลย
3 ภาคแรกมันกลายเป็นตำนานไปแล้ว
ภาค 4 อินดี้มีครอบครัวมันยังไงๆอยู่
แถมพล็อตหนังทะลุออกแนวต่างดาวอีกต่างหาก

 

โดย: tangook IP: 117.47.212.62 26 ตุลาคม 2551 13:47:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2551
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
27 พฤษภาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.