www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

คุณคือ นางมารร้าย หรือ อสูรกายบ้างาน (The Devil Wears Prada , Click)



โรคเสพติดงาน(Workaholism) กำลังแพร่ไปทั่วในยุคสมัยปัจจุบันราวกับโรคระบาด คำว่า เสพติด ในกรณีของติดเหล้าติดยา จำเป็นต้องมีข้อบ่งชี้ว่า หากหยุดเหล้าหรือหยุดยาจะมีอาการถอนเหล้า (withdrawal) เช่นหงุดหงิด กระวนกระวาย เหมือนชีวิตขาดอะไรไป และ อดไม่ได้ที่จะต้องไปหามาเติมเต็ม หรือ จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆเพื่อให้ได้ผลเท่าเดิม (tolerance) และ ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตจมไปอยู่กับการใช้หรือแสวงหาเหล้ายา

ลองแทนที่ คำว่า งาน แทนคำว่า เหล้า ในย่อหน้าข้างต้น หากพบว่า มีอาการใกล้เคียงกัน เราก็อาจจะเข้าข่ายกลายเป็น โรคติดงาน มากขึ้นไปทุกที และ คนที่บ้างานมากๆเช่นนี้เมื่อมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน ยุคที่รถเมล์วิ่งกันเร็วปรู๊ดปร๊าด ยุคสมัยที่อะไรๆต้องรีบต้องเร่งให้เข้ากับคอนเซ็ปท์โลกดิจิตอล จึงทำให้ หลายคนกลายเป็นคนที่ มีบุคลิกลักษณะที่เรียกว่า type A – personality

Type A personality คือ คนที่มีลักษณะชอบการแข่งขัน บ้างาน กระหายความสำเร็จ ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ใจร้อน อารมณ์เกรี้ยวกราดรุนแรง ในอดีตว่ากันว่า คนกลุ่มนี้ จะมีอายุไม่ยืนยาวนัก เพราะจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่ชีวิตเช่นนี้จะเสี่ยงตายแบบผ่อนส่ง เพราะแค่บางวันที่ผมต้องเร่งทำงานส่ง ต้องรีบๆลนๆวิ่งขึ้นบันไดกลัวทำงานสาย หงุดหงิดเจ้าอารมณ์เวลาถูกขัดใจบ่อยๆ ฯลฯ เพียงเท่านี้ ผมก็สัมผัสได้ถึง ชีพจรและหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น ปวดหัวปวดท้อง และ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว อันเป็น สัญญาณเตือนภัยให้รู้ว่า สภาวะทางกายกำลังค่อยๆถูกทำลายจากการใช้ชีวิตของตัวเอง

แม้ล่าสุดจะพบว่า ความเกี่ยวพันของโรคหัวใจตีบ กับ บุคลิกแบบนี้จะไม่มีความเชื่อมโยงโดยตรง คงมีเพียงแค่ลักษณะจำเพาะบางอย่างเช่น การมีอารมณ์ดุร้ายไม่เป็นมิตร(hostility)และโกรธเกรี้ยวกราด(anger) ที่อาจส่งผลทำให้ หลอดเลือดหัวใจตีบ ก็ตาม

การมีชีวิตเช่นนี้ หากจะโชคดีไม่ตายก่อนวัยอันควรด้วยโรคทางกาย จะอย่างไรก็ไม่อาจหนีพ้น การตายอย่างรวดเร็วด้านทางสังคมและจิตวิญญาณ และ เดือนที่ผ่านมาก็มีคนสองคนจากหนังสองเรื่อง ที่ถอดแบบ บุคลิกลักษณะเช่นนี้มาเป็นตัวอย่างให้ได้เห็นว่า พวกเขาตายทางจิตวิญญาณได้อย่างไร


รายแรก นางมารร้าย มิแรนด้า พรีสท์ลี่ เดินตัวปลิวจากหน้ากระดาษมาสู่จอภาพยนตร์โดย ป้าเมอรีล สตรีพ ซึ่งคุณป้าก็ถอดแบบมาจากต้นฉบับหนังสือ ชื่อ นางมารสวมปราด้า (The Devil Wears Prada) งานเขียนชิ้นแรกของ ลอเร็น ไวส์เบอร์เก้น ที่ว่ากันว่า เธออาศัยประสบการณ์ส่วนตัวมาเล่าเรื่องขณะเป็นเด็กฝึกงานที่วารสาร Vogue และแน่นอนตัวละคร มิแรนด้า ก็มาจากหัวหน้าของเธอในเวลานั้นมีชื่อว่า แอนนา วินทัวร์

มิแรนด้า เป็นบก.ของสำนักพิมพ์ Runway ชื่อเสียงของเธอขึ้นชื่อไปทั่วว่า ผลงานที่ผ่านตาเธอนั้น ต้องเนี้ยบและสมบูรณ์แบบ ในเวลาเดียวกัน ชื่อเสียของเธอก็แพร่กระจายในการเป็นนางร้ายที่เอาแต่ใจ ไม่เห็นหัวลูกน้อง และ จอมบงการ พาลพาไปถึง ชีวิตครอบครัวที่ดีไม่ได้แม้ครึ่งหนึ่งของงาน

มิแรนด้า แม้จะมีผู้คนมากมายรายล้อม แต่ทุกคนนั้นล้วนทิ้งระยะห่างจากหัวใจเธอ เพราะหากไม่ใช่เรื่องงานเธอเองก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจใคร และ ก็ไม่ได้มีใครคิดจะมาห่วงใยเธอ

เธออาจสนุกกับงานที่ทำ แต่ มันคือความสุขแค่เปลือกที่ต้องให้วัตถุภายนอกมาชดเชยชีวิตตัวเอง หากวันใดงานหมดลงหรือไม่มีงาน ชีวิตของคนอย่าง มิแรนด้า อาจต้องพบความล้มละลายทางชีวิต เมื่อพบเห็น บาดแผลในใจทั้งหลายจากชีวิตส่วนตัวที่กลบไว้ไม่เคยเยียวยา

...รายที่สองที่เดินออกมาจากโรงหนัง ก็เป็นอสูรกายบ้างานไม่แพ้นางมารร้ายอย่าง มิแรนด้า เขาคือ ไมเคิล นิวแมน (รับบทโดย อดัม แซนเลอร์) จากเรื่อง Click

พระเอกของเราได้รีโมทวิเศษที่สามารถเสกให้ทุกอย่างในชีวิตควบคุมเหมือนนั่งดูทีวี นั่นคือ อยากจะกด pause ภาพประทับใจ , อยากจะกด rew ย้อนไปดูความทรงจำในอดีต หรือ อยากจะกด FF เพื่อให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปไวไว ล้วนทำได้สารพัดดั่งใจนึก

และสิ่งที่ ไมเคิล ทำ คือ กดทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตที่ไม่เกี่ยวกับงานให้ผ่านไปไวไว เป้าหมายปลายทางที่เร่งไปยังข้างหน้า คือ ตำแหน่งหุ้นส่วนในบริษัท นั่นหมายถึง เขากดผ่านช่วงเวลานั่งกินอาหารพร้อมครอบครัว, ช่วงเวลากุ๊กกิ๊กกับแฟน , ช่วงเวลาสนทนากับพ่อแม่ ฯลฯ ช่วงเวลาเหล่านั้นล้วนไร้ค่าและไร้ความหมายสำหรับไมเคิล

เคราะห์หามยามร้าย รีโมทนี้ดันอัจฉริยะกว่าที่ใครจะคาดคิด เพราะมันจดจำการใช้งานจนสามารถทำงานเป็นอัตโนมัติ นั่นคือ พระเอกของเราไม่ต้องกด รีโมทตัวดีนี้มันก็ช่วยให้ชีวิตของเขาผ่านข้ามช่วงเวลาเหล่านั้น จนชีวิตของเขาไม่มีโอกาสแม้แต่การจะได้บอกลาคนใกล้ตัวที่ค่อยๆจากไป เวลาในปัจจุบันของไมเคิล เหลือแค่งานๆ และ งาน ถึงเขาจะอยากฉวยเวลาที่ผ่านไปนั้นกลับคืนมาก็ไม่สามารถจะทำได้ เพราะเวลาเดินไปแต่ข้างหน้าไม่เคยถอยหลังรอใคร

... ตัวละครทั้งสองคนจากหนังทั้งสองเรื่อง (The Devil Wears Prada , Click) ล้วนต้องสูญเสียคนใกล้ตัว และ ก็คงเป็นเช่นใครหลายคนที่ทุ่มให้กับงานชนิดลืมวันลืมคืนจนลืมครอบครัว พาลพาคิดไปว่า คนใกล้ตัวไม่เคยเข้าใจทั้งที่ตัวเองทำเพื่อคนรอบข้าง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนรอบข้างของพวกเขาไม่เคยต้องการสิ่งเหล่านี้เลย

บางครั้งคนเราก็หลงลืมไปว่า ความสุขแท้จริงนั้นมันเกิดจากภายใน เพราะเรามัวแต่เร่งเวลาทุ่มเทไปให้กับ ความสุขจากเปลือกรอบนอกตัว


ป.ล.อ่านบทความรีวิว The Devil Wears Prada ฉบับหนังโรงเต็มๆได้ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=10-2006&date=08&group=1&blog=1

หมายเหตุ : บทความเรื่องนี้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ food update ฉบับ october 16-31 , 2006




ขอฝาก"หนังสือรัก" พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรกของ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ไว้กับผู้อ่านด้วยเน้อ

หนังสือเกี่ยวกับอะไร ? มีที่มาอย่างไร ? ชวนไปอ่านเบื้องหลังของหนังสือได้ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=13&month=10-2006&date=19&blog=1


(วางขายที่บูธ W19 โซนเอเทรียม และ J11 เพลนนารี่ฮอลล์)
เฉพาะงานนี้ ลด 20% จ้า


....หากเปรียบ ความรักและความสัมพันธ์ เป็น "ต้นไม้" ต้นไม้ต้นนี้ไม่สามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง และถึงแม้ว่ามันจะเติบโตขึ้นเป็นต้นใหญ่เพียงใด หากขาดซึ่งการเอาใจใส่ดูแล ขาดคนรดน้ำดูแล ก็ย่อมต้องตายลงไปในที่สุด หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหมือน "คู่มือ" ที่จะช่วยให้คุณได้รู้จักและเข้าใจต้นไม้ของคุณมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้ง เสนอวิธีหรือเสนอปุ๋ยที่จะช่วยดูแล ต้นไม้ของคุณ ให้เติบโตผลิดอกออกผลร่มรื่นงดงาม รวมทั้ง ฟื้นฟูสภาพที่แห้งเหี่ยวให้กลับคืนมาสดชื่นอีกครั้ง



ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

เริ่มต้นอ่านครั้งแรก ชวนคลิก ชวนคุยกันที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง



ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2549
9 comments
Last Update : 26 ตุลาคม 2549 1:17:01 น.
Counter : 3067 Pageviews.

 

แวะมาอ่านเหมือนเคยๆๆ

 

โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) 26 ตุลาคม 2549 8:06:28 น.  

 

กลับมาเปิดอ่านบล็อกได้อ่านรีวิวดีๆ เหมือนเคยค่ะ ... แล้วก็สองเรื่องนี้ก็ดูแล้ว เป็นเรื่องสบายๆทั้งสองเรื่องเลย แต่แฝงแง่คิดไว้ได้เยอะมากๆ เลยนะค่ะ

 

โดย: JewNid 26 ตุลาคม 2549 9:43:59 น.  

 

แวะมาอ่านหลังจากหายไปพักสมอง

 

โดย: DiamondTom 26 ตุลาคม 2549 9:54:30 น.  

 

เก็บอ่านให้หมดดดด... ค่ะ

 

โดย: Mocha Macchiato 26 ตุลาคม 2549 22:43:18 น.  

 

ปรัชญาในการเลือกที่ทำงานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ... บางคนอาจเลือกที่ที่เสนอเงินเดือนให้สูงสุด, บางคนต้องการสวัสดิการดีๆ และมีความมั่นคงเมื่อเกษียณ, บางคนต้องการอยู่บริษัทใหญ่ที่น่าจะมีโอกาสก้าวหน้าทางธุรกิจสูง, บางคนต้องการอยู่บริษัทเล็กๆ เพื่อจะได้แสดงฝีมือได้เต็มที่ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับการเมืองภายในบริษัทมากนัก
... แต่สำหรับผม กลับไม่ใช่ข้อข้างบนเหล่านั้น ประเด็นสำคัญที่สุดที่ผมจะเลือกที่ทำงาน ... ก็คือที่ที่อยู่แล้วสบายใจที่สุด, เกิดความเครียดจากการทำงานน้อยที่สุด, มีหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานที่ดี, นโยบายโอเค ... เพราะผมคิดว่าถ้าทำงานภายใต้ความเครียดความกดดัน (ซึ่งบางคนอาจมองว่าดี ที่จะได้ push ตัวเองให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ) อยู่ตลอดเวลาเนี่ย ... มันมักจะมีโอกาสสะสม และรุกล้ำเข้ามาในชีวิตส่วนตัวของเราสูง ซึ่งไม่เป็นผลดีเลยต่อสุขภายจิตของตัวเอง และอาจส่งผลลามไปถึงสุขภาพกายในภายหลังอีกด้วย (ค่ายา ค่ารักษาพยาบาลอาจไม่คุ้มกับเงินเดือนสูงๆ ที่ได้มาก็ได้)

... ส่วนประเด็นจาก Click หลักใหญ่ใจความก็คือพระเอกน่าจะเป็นคนที่มองโลกจากตัวเองเป็นหลัก (Self-centered) ... มีน้องคนนึง เค้าสับสนกับบทบาทของตัวเองกับเพื่อนๆ เค้าเคยถามผมว่า "เราต้องคิดถึงความรู้สึกคนอื่นแค่ไหน? เพราะบางทีก็รู้สึกเหมือนเค้าคิดถึงแต่เรื่องตัวเองมากเกินไป ก็เลยทำตัวไม่ถูก" ... ผมก็บอกเค้าว่า "ให้คิดถึงตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าตัวเองพอใจแล้ว มีแล้ว ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว (โดยไม่ทำความเดือดร้อนหรือเบียดบังสิทธิ์ของผู้อื่น) ... ก็ให้คิดถึงครอบครัวและคนที่เรารัก (เพื่อน, ญาติ, คนรอบๆ ตัว) เป็นลำดับถัดมา ... คือตัวเองต้องสำคัญที่สุด แต่ก็ให้เอาใจเขามาใส่ใจเราด้วยไปพร้อมๆ กัน ... แค่นี้ เราทุกคนในโลกก็น่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ... นะครับ

 

โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.233 27 ตุลาคม 2549 9:50:47 น.  

 

เหอๆ อ่านแล้วสะท้อนใจค่ะ ไอซ์เป็นคนชอบ push ตัวเองนะ บางทีรู้สึกเหมือนว่าเป็นโรคจิตยังไงไม่รู้ รู้สึกว่าตัวเองจะต้องมีอะไรทำ จะต้องวิ่งอยู่ตลอดเวลา ... ยอมรับว่า บ่อยครั้งก็ละเลยอะไรรอบข้างไปเหมือนกัน เฮ่อ -"-

 

โดย: Clear Ice 27 ตุลาคม 2549 11:54:37 น.  

 

^
^
[ช่วง share idea] อืม ... อาจต้องดูในรายละเอียดนะครับว่า push ตัวเองแบบไหน ... อย่างของผม ผมจะมีเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ว่าจะต้องทำให้ได้ เดินไปให้ถึง (เพราะถ้าไม่มีจุดมุ่งหมาย ชีวิตก็จะเหมือนอยู่ไปวันๆ) และถ้าเราไม่ push ตัวเอง ไม่ทะเยอทะยานบ้าง ชีวิตมันก็คงจะอืดๆ เฉื่อยๆ เนือยๆ พิกล (บางเวลา ผมยังรู้สึกว่าตัวเอง hyperactive เกินไปด้วยซ้ำ)

แต่อย่างกรณีที่ผมเขียนไว้ใน #5 ถ้าจะหมายถึงบุคคลเช่นที่ คุณ จขบ. ยกมาใน นางมารฯ และคลิก ก็คือเค้า push ตัวเอง จะละเลย หลงลืม หรือแม้แต่จงใจที่จะมองไม่เห็นหรือไม่รู้สึกถึงความรู้สึกของคนรอบๆ ข้าง ปล่อยให้หน้าที่การงานมากลืนกินตัวตนที่แท้จริงและจิตวิญญาณของเค้าไปน่ะครับ

จริงๆ แล้วที่ดีที่สุดก็น่าจะทำตามพุทธพจน์ คือ "ทางสายกลาง" ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ไม่มากไป ไม่น้อยไป ทำทุกอย่างให้สมดุลย์ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ ... แล้วทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงานก็น่าจะรุ่งโรงน์และมีความสุขอ่ะครับผม

 

โดย: บลูยอชท์ (อีกหน) IP: 202.69.140.233 27 ตุลาคม 2549 12:54:53 น.  

 

อ่านแล้วต้องเสียค่าบริการถ้างั้นก๊อปมาแปะได้ป่ะเนี่ย ไปเขียนไว้ที่รีวิวหนังโรงฉบับเต็มแล้วอ่ะ

 

โดย: rachel IP: 124.121.200.97 17 เมษายน 2550 21:39:31 น.  

 

ชอบทั้ง 2 เรื่องมากๆ เลยครับ

ตอนนี้ก็กำลังกลุ้มใจเรื่องงานของตัวเองเหมือนกัน

 

โดย: ฆ่าไม่นับสับไม่เลี้ยง IP: 124.121.108.206 29 พฤษภาคม 2550 16:15:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
26 ตุลาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.