www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Final Score 365 วัน – ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ , เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย



... ผมเติบโตมาในวัฒนธรรมสายเอ็นทรานซ์ มองย้อนกลับไปผมรู้สึกว่า การสอบเอนทรานซ์ เป็นอะไรที่แมนมาก นั่นคือ ได้เป็นได้ ตกเป็นตก วัดกันหนเดียว ใครไม่ผ่านรอไปอีกหนึ่งปี นั่นทำให้ช่วงเอนทรานซ์คือภาวะ เอ็น-สะ-ท้าน ของจริง ความเครียดที่ถาโถมมาแบบกินไม่ได้นอนไม่หลับ สิวยกทัพถล่มบนใบหน้า ตื่นมามีหนังสือนอนอยู่ข้างๆ ข้อสอบย้อนหลังสิบปียังมีให้ทำอีกตั้งหลายชุด ใกล้สอบแล้วบทนั้นบทนี้ก็ยังไม่ได้อ่าน ฯลฯ

เหลียวมองไปดูรอบตัวในแต่ละปี ก็พบว่า ภาวะแบบนี้ไม่ใช่มีผมแค่คนเดียว แต่ ยังมีเด็กอีกเป็นหมื่นเป็นแสน ที่ต้องมาเจอกับช่วงเวลาวิกฤติของชีวิตจากการสอบเอนทรานซ์ แถมปีล่าสุดยังมีความสับสนอลหม่านกับระบบใหม่ๆอย่าง โอเน็ต เอเน็ต

ผู้ใหญ่มักบอกว่าชีวิตเด็กๆชีวิตวัยรุ่นสบายๆ พวกเขาคงลืมไปถึงประสบการณ์ในช่วงนั้น เพราะ ความลำบากของแต่ละช่วงวัยก็แตกต่างกัน ความลำบากของวัยรุ่นนั้นมันช่างทำให้นึกถึงเพลงของ Paradox ที่ว่า “เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย” เสียจริงๆ

Erikson ไม่ใช่ชื่อโทรศัพท์มือถือ แต่เป็นชื่อนักจิตวิทยา ผู้สร้างทฤษฎีพัฒนาการทางจิตใจและสังคมของมนุษย์ เขากล่าวไว้ว่าคนเราในแต่ละช่วงวัยต้องประสบพบเจอวิกฤติในชีวิตที่ต่างกัน หากเป็นช่วงวัยรุ่นเราเรียกว่าระยะ Identity vs. Role confusion คือ การเสาะแสวงหาความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งถ้าทำไม่สำเร็จก็จะเกิดภาวะสับสนค้นหาตัวเองไม่เจอ

ผู้ใหญ่ทุกคนย่อมผ่านช่วงเวลานี้ เราทุกคนจะค่อยๆสร้างสิ่งที่เรียกว่า Identity หรือ อัตลักษณ์ นั่นคือความเป็นตัวตนชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าวัยรุ่น ซึ่งครอบคลุมไปตั้งแต่ การจะเลือกเรียนอะไร จะเลือกคบใคร จะเลือกนับถือศาสนาอะไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร อยากเป็นหรือไม่อยากเป็นอะไร ฯลฯ ตัวอย่างเช่น แฮรี่ พ็อตเตอร์ ที่เลือกคบเพื่อนอย่างรอนและเฮอไมโอนี่ เลือกมองหาสาขาวิชาเวทมนต์ที่สนใจ มุ่งมั่นกับการไปเป็นนักกีฬาควิดิช เริ่มกิ๊กกั๊กกับสาวที่แอบปิ๊ง ฯลฯ

การสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็เป็น เหมือนสะพานหนึ่งในหลายสะพานแห่งชีวิตที่เชื่อมต่อความเป็นเด็ก ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ และ ความเป็นตัวตน

...Final Score 365 วัน – ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ เป็น หนังสารคดีเรื่องล่าสุดจากค่าย GTH ที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตของเด็กวัยรุ่นสี่คนตลอดหนึ่งปี ในช่วงเวลาปีสุดท้ายของชั้นมัธยมปลาย

แม้ว่าช่วงเวลาในหนังจะถ่ายทอดผ่านตัวละครเด็กนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบที่เป็นเด็กนักเรียนสายสามัญ แต่ ความจริงแล้ว แก่นของหนังเรื่องนี้ สามารถเป็นตัวแทนภาวะวิกฤติที่วัยรุ่นต้องเผชิญได้ตั้งแต่เด็กสายอาชีพไปจนเด็กทั่วๆไปที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะ เอนทรานซ์ในหนัง เป็นแค่สัญลักษณ์หนึ่งของวิกฤติในช่วงวัยนี้เท่านั้น แต่ สิ่งที่พวกเขาพบเจอจากช่วงเวลาหนึ่งปีนี้ไม่ใช่แค่ “การสอบเอ็นทรานซ์”

พวกเขาต้องต่อสู้กับอุปสรรคในชีวิตที่ไม่เคยพบเจอในวัยเด็ก พวกเขาต้องพบกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก พวกเขาต้องรับมือกับปัญหาที่ถาโถมเข้ามาหลายเรื่องพร้อมกัน พวกเขากำลังพยายามแสวงหาอัตลักษณ์ของตัวเองและพยายามสลัดความเป็นเด็กให้หลุดไป และ พวกเขากำลังจะเลือกเดินทางบนถนนความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องเดินด้วยตัวเอง

สารคดีเรื่องนี้ถ่ายทอดประสบการณ์วัยรุ่นที่เราทุกคนต้องเคยพบเคยเจอผ่านตัวละครทั้งสี่คน

เปอร์ ... มักจะมีปัญหาง๊องแง๊งกับแม่เป็นระยะ และ ความง๊องแง๊งกับแม่ก็มาจากการปะทะกันระหว่าง ความอยากโตเป็นผู้ใหญ่ และ ความห่วงใยของแม่ที่มองว่าลูกยังเป็นเด็กตลอดเวลา ชีวิตหนึ่งปีของเขาไม่ใช่แค่การเตรียมสอบเข้าวิศวโยธา หรือต้องต่อปากต่อคำกับแม่ เปอร์ ยังมีปัญหาหัวใจที่พัดให้หลักของเขาต้องซวนเซ สิ่งที่เปอร์ต้องเจอกับเหมือนวัยรุ่นทุกคนที่เริ่มพบว่า การก้าวไปเป็นผู้ใหญ่ ชีวิตต้องเจอปัญหาหลายอย่างที่ต่างจากสมัยเด็กๆที่มีแค่เรื่องเรียนหรือเรื่องเพื่อน

โบ๊ต ... รักการเลี้ยงปลา อยากทำงานเพาะพันธุ์ปลา เขาอยากเรียนประมง แต่จำต้องสอบเข้า บัญชี เพราะพ่อมองว่า สาขาที่เขาอยากจะเลือกเรียนนี้มีข้อจำกัดในการหางานทำ ใครหลายคนย่อมต้องเคยมีชีวิตคล้ายกับโบ๊ต สำหรับการมีความฝันที่ชัดเจน แต่ ความฝันของตัวเองต้องสวนทางกับความหวังของครอบครัว และ สำหรับ โบ๊ต “การต้องเลือก” คือ บทชี้วัดของการเติบโต

บิ๊กโชว์ ... ต้องอยู่กับความตึงเครียดกับเป้าหมายที่ดูเหมือนจะอยู่ไกลเกินคว้า หากพิจารณาจากคะแนนที่เคยทำๆมา แถมยังต้องแบกรับความคาดหวังของพ่อแม่และพี่สาวในครอบครัวที่ลูกๆคนโตต่างก็ประสบความสำเร็จในการเรียนและสอบเข้ามหาวิทยาลัย ของดีที่บิ๊กโชว์มีติดตัวอยู่กับเขามาตลอดคือ ความพยายาม และ การเตรียมตัวสอบครั้งนี้ เขาเองก็มีโอกาสได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นไปอีกจากน้ำตากับความ ผิดหวัง ที่พัดผ่านเข้ามา

ลุง ... บอกความฝันกับใครต่อใครว่าอยากเข้าคณะแพทยศาสตร์ แต่ปัญหาติดอยู่ตรงที่ว่า เขาต้องแก้วิชาที่ตกไปให้ครบทั้งเจ็ดตัวเสียก่อน ความฝันของลุงนั้นใครๆอาจมองอย่างหยามหยัน แล้วคิดพึมพำในใจเหมือนชื่อหนังสือของคุณวินทร์ เลียววาริณว่า “ความฝันโง่ๆ” แต่ใครที่คิดเช่นนั้น คงเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป

เพราะในขณะที่เด็กวัยรุ่นไล่ตามความฝันของตัวเอง บางครอบครัวอาจเข้าใจว่า สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตพวกเขา คือ การสอบติดเอนทรานซ์หรือไปถึงฝั่งฝัน หากคิดเช่นนั้น ย่อมเท่ากับว่า เรามองมุ่งไปแต่ที่ผลลัพธ์หรือเป้าหมาย ทั้งที่จริงแล้ว เปล่าเลย ชีวิตของคนเราไม่ได้มีแค่นั้น

ทั้งสี่คนได้อะไรมาตั้งแต่แรกแล้วแค่พวกเขามี “ความฝัน” เพราะความสำคัญแท้จริงของชีวิต ไม่ใช่การไปถึงหรือไม่ถึง

Final score ตามชื่อหนังอาจหมายถึงคะแนนสุดท้ายที่ออกมาจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ในชีวิตจริงของคนทุกคน Final score ของชีวิตไม่ได้จบแค่นั้น คะแนนของชีวิต มีออกมาอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ การเรียน , การทำงาน , การคบเพื่อน , การใช้ชีวิต , การมีครอบครัว ฯลฯ บางคนอาจทำ Final score ของเอนทรานซ์ได้ดีเยี่ยมแต่กลับไปสอบตกตรง Final score ของชีวิตครอบครัว

ดังนั้นการสอบติดหรือไม่ติดเป็นแค่คะแนนของชีวิตช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งของทั้งชีวิต ผลสอบสุดท้าย ไม่ว่าจะมาก ไม่ว่าจะน้อย ไม่ว่าจะได้ หรือ ไม่ว่าจะตก มันเป็นแค่บททดสอบหนึ่งที่ผ่านเข้ามา สิ่งสำคัญมากกว่าอยู่ที่ว่า เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร และ เราเรียนรู้อะไรจากชีวิตช่วงนี้

เพราะเมื่อวันหนึ่งที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้วมองย้อนกลับมาเราจะมองเห็นว่า เอ็นทรานซ์ ไม่ได้เป็นสะพานเดียวของชีวิตที่พาเราก้าวข้ามวัย




(หมายเหตุ : บทความนี้ตีพิมพ์ลงคอลัมน์ Life on screen ใน Cream magazine ฉบับเดือน มีนาคม)





ขอฝาก"หนังสือรัก" พ็อกเก็ตบุ้คที่ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนัง แต่เป็นการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม



(สนพ.ฝากแจ้งว่า มีลด15% ถึงสิ้นเดือนกค.ที่ ดอกหญ้าสาขา อนุสาวรีย์, เมเจอร์สุขุมวิท, พันธ์ทิพย์ กทม., เมเจอร์เชียงใหม่, แฟชันไอแลนด์, เมเจอร์รังสิต, เมเจอร์ปิ่นเกล้า, เมเจอร์รัชโยธิน
)






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 07 มิถุนายน 2550
Last Update : 7 มิถุนายน 2550 10:09:56 น. 17 comments
Counter : 6453 Pageviews.

 
ชอบเหมือนกันครับเรื่องนี้
ทำให้นึกถึงเมื่อก่อนตอนที่อยู่กับเพื่อนๆ
มีทั้งสุข ทั้งทุกข์
บางครั้งก็มานั่งคุยกันร บกองไฟเหมือนในหนังเรื่องนี้
อยากกลับไปเป็นเด็กอีกจัง
ตอนนี้ทำไมต้องรับผิดชอบอะไรเยอะแยะไปหมดเลยเนี่ย


โดย: Dr.Manta วันที่: 7 มิถุนายน 2550 เวลา:9:07:13 น.  

 
เพิ่งมีโอกาสเช่ามาดูเมื่ออาทิตย์ก่อนคับ
ดูแล้วก็แปลกใจว่าทำไมตอนเราสอบเอ็นทรานซ์ ไม่เคร่งเครียดแบบนี้บ้างนะ พ่อแม่ไม่กวดขันแบบนี้บ้างนะ
ท่านหวังแค่ให้ลูกได้มีที่เรียน เป็นเด็กดี มีงานทำ
ลูกจะเลือกอะไร ตัดสินใจอะไร ท่านไม่เคยคัดค้าน


โดย: wanwitcha วันที่: 7 มิถุนายน 2550 เวลา:10:09:42 น.  

 
ชอบเหมือนกันค่ะ พี่ชายคนที่ไม่ชอบดูหนังเลยซื้อดีวีดีมา (อย่างน่าตกใจ)

นิดนึงนะคะ ชอบบทความของคุณมากๆ แต่อยากให้มีเขียนวันที่ตามหลังชื่อหนังที่เขียนไว้ (ในห้องเก็บหนัง) บางครั้งตามอ่านไม่ทัน ไม่รู้ว่าอันไหนเพิ่ง update (เราอ่านเกือบทุกเรื่งอแม้บางเรื่องจะไมได้ดู)

ปล. ขอเก็บค่านายหน้าด้วยนะคะ เพราะเราชอบส่งลิ้งก์ไปให้เพื่อนๆ อ่านค่ะ อิๆ


โดย: Tweety IP: 203.130.133.210 วันที่: 7 มิถุนายน 2550 เวลา:11:11:17 น.  

 
ตั้งใจว่าจะต้องดูหนังเรื่องนี้ให้ได้
รู้สึกดีที่มีใครคิดจะทำสารคดีจากชีวิตจริง
หนังเรื่องนี้ไม่ได้ให้คำตอบ ว่าความฝันคืออะไร
เด็กนักเรียนควรจะทำตัวอย่างไรในการสอบเอ็น
หรือพ่อแม่ควรจะดูแลลูกอย่างไร

เพราะการให้คำตอบเหล่านั้น มันเป็นเรื่องของ "หนัง"
แต่นี่คือชีวิตจริงของคน ที่มันไม่มีคำเฉลย ไม่มีตอนจบ
ไม่มีไคลแมกซ์ และคำตอบของปัญหาก็ไม่ได้ปิ๊งขึ้นมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง

ดูแล้วชอบหนังเรื่องนี้มากๆ
ชื่นชมคนทำที่รู้จักหยิบเรื่องราวในชีวิตเด็กจริงๆ มาปะติดปะต่อ
แล้วก็ร้อยเรียงเป็นหนึ่งมุมมองชีวิตที่เรียกได้ว่างดงามทีเดียว
เราว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมกับมันไปได้เต็มที่
แม้กระทั่งเวลาที่เรารู้สึก เบื่อ หรือ อึดอัดกับเรื่องราว
มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะรู้สึกกับชีวิตจริงๆ กับคนจริงๆ

หลายๆ คำพูด ที่พูดออกมาจากปากของเด็กๆ ทั้งสี่คน
มันงดงามมากๆ เพราะว่า เป็นเรื่องที่เค้าคิดอยู่จริงๆ พูดออกมาจากใจจริงๆ
ไม่ใช่ถูกเอาบทภาพยนตร์ใส่สมองแล้วท่อง
เรารู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้มากมาย เพราะเป็นรุ่นที่เอ็นทรานซ์รุ่นเดียวกัน
แม้ว่าเราเองจะไม่มีโอกาสได้เอ็นทรานซ์แบบเดียวกัน แต่เราก็ได้รับรู้อารมณ์กดดันตรงนั้น จากการเอาใจช่วยเพื่อนๆที่เมืองไทย

ดูแล้วทำให้คิดว่าโลกของเรามันเหมือนละครเลยจริงๆ นะ
ทุกอารมณ์ ทุกคำพูด ต่างคนต่างมีความคิด มีไอเดนติตี้ของตัวเอง
ซึ่งเวลามันมาปะทะกัน มันก็กลายเป็นละครฉากหนึ่ง

(ปล. เราเองคงเป็นเด็กคล้ายๆ กับเปอร์ ฝันมาก คิดมากพอๆ กับลุง และบางครั้งก็หลงติดอยู่กับความฝันเหมือนกับบิ๊กโชว์ และตอนนี้ เรารู้สึกว่าถ้าเราเป็นลูกอย่างโบ๊ทได้ พ่อแม่คงสบายใจ)


โดย: The SoVo (http://kangalala.spaces.live.com/) IP: 220.104.134.15 วันที่: 7 มิถุนายน 2550 เวลา:13:42:44 น.  

 
+ อุๆ ได้เวลาเอาผลงานบนดินกลับมาลงใต้ดินแล้วเหรอคับเนี่ย ... กับเรื่องนี้ถึงแม้จะต้องย้อนความทรงจำของตัวเองไปนิด แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากดูจบลง ก็ยังคงมีอยู่อ่ะครับ (ถ้าเรื่องที่ผมไม่ชอบหรือเฉยๆ มันจะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย) ... ชอบในความกล้าของ GTH ที่นำเสนอในรูปแบบสารคดี (ที่ถึงแม้บางฉาก บางตอน อาจดูเหมือนมีการบิ้วต์อารมณ์หรือเซ็ตสถานการณ์บ้าง (หรือเปล่า?) ... แต่มันก็ดูเนียนๆ กลมกลืนไปกับเนื้อเรื่อง ... และที่สำคัญ ไม่ลืมที่จะใส่ลายเซ็น "Feel good" เข้าไป (เหมือนกับหนังอีกหลายๆ เรื่องของค่ายนี้) ทำให้เป็นสารคดีที่ไม่น่าเบื่อ และดูค่อนข้างสนุกน่าติดตาม ว่าชีวิตของตัวเอกในเรื่องทั้งหลายจะลงเอยเช่นไร ... นอกจากนั้น คอนเซ็ปต์ coming-of-age และ อารมณ์นอสตาเกลียในท้องเรื่อง ก็ทำให้คนดูหลายๆ คนได้รำลึกถึงความหลัง สมัยที่ตัวเองต้องผ่านช่วงเวลานี้เช่นกันอีกด้วย

+ ที่หนังเลือกจับภาพ "นายเปอร์" เป็นตัวหลัก คงเป็นเพราะเล็งเห็นความ 'แหวกแนว' ในตัวเด็กคนนี้ในหลายๆ ทาง อีกทั้งมีความขัดแย้งอยู่ในตัวเอง (เช่นเล่นดนตรีไทย แต่หัวสมัยใหม่เชี้ยบ, เถียงแม่แทบทุกเรื่อง แต่ลึกๆ แล้วก็เชื่อฟัง ฯลฯ) เลยต้องกลายเป็นตัวเอก เพื่อสร้างสีสันของเรื่อง,
"นายโบ๊ต" หนุ่มหน้าตี๋ผู้รักปลาเป็นชีวิตจิตใจ (แต่ถึงกับเอามือลงลูบหัวปลาในตู้นี่ก็เหวอไปหน่อยนะน้อง) ... ประเด็น 'โดน' ของโบ๊ต อาจไปตรงกับชีวิตจริงของใครหลายคน (รวมทั้งตัวผมด้วย - เพราะมีช่วงนึง เคยบอกแม่ว่าจะเอ็นท์ฯ เข้าคณะโบราณคดี ม.ศิลปากร!) ... แต่โชคดีที่สังคมยุคปัจจุบันอาชีพต่างๆ มีทางเลือกหลากหลายมากขึ้น นายโบ๊ตเลยได้เรียนใน 'สิ่งที่รัก' สมใจ,
"บิ๊กโชว์" ผู้อ่อนไหว และถูกกดดัน เพราะพี่ๆ เล่นทำสกอร์ไว้ซะสูงลิบ ... ตอนที่เค้าสอบ แล้วคะแนนไม่ถึง จนต้องปิดห้องร้องไห้ แล้วขอทีมงานไม่ให้ตามถ่ายนั่น ทำเอาน้ำตาซึมๆ ไปเหมือนกัน
"นายลุง" ผู้ซ่า และเซอร์ ... บางคนอาจสงสัยว่าสอบตกตั้ง 7 ตัว กล้าเอ็นท์แพทย์ได้ไง ... อย่าลืมนะครับว่าพวกเค้าเรียนโรงเรียนอะไร มัธยมระดับต้นๆ ของประเทศ ... เพราะฉะนั้น ในโรงเรียนเค้า ลุงอาจจะได้คะแนนห่วย แต่ถ้าออกไปเทียบกับข้างนอก ก็ไม่น่าจะห่วยเท่าไหร่ ... และลุงก็เป็นตัวอย่างของคนที่กล้าที่จะฝัน ถึงแม้ว่าจุดหมายที่ฝันมันอาจจะอยู่ไกลเกินไปหน่อยก็ตาม (แต่สุดท้ายแล้วได้เรียนนิเทศ ก็คงเหมาะกับลุงมากกว่าเป็นหมอละมั้ง)
"น้องลิ้งค์" (อดีต)แฟนนายเปอร์ ที่ใส่เข้ามาคงเพราะการตามถ่ายชีวิตเด็กสวนฯ มันมีแต่ผู้ชายละมั้ง ... เด๋วจะโดนค่อนขอด (ว่า 'เกย์') แบบเรื่องเด็กหออีก
... มีอีกคนนึง จำชื่อไม่ได้ รู้สึกจะชื่อชิน ชื่อขึ้นในเครดิตตอนสุดท้ายด้วย แต่ตอนโปรโมตไม่มีชื่ออยู่ ... คงเป็นเพราะชีวิตเค้าธรรมดาๆ เกินไป หรือไม่มีแง่มุมอะไรที่ก่อให้เกิดอารมณ์ 'ดราม่า' แก่ผู้ชม ก็เลยต้องตัดทิ้งไป

*** Spoil จ้า ***
+ โดยภาพรวม รวมทั้งการตัดต่อแต่ละช่วงเวลาและอารมณ์ทำได้ค่อนข้างดีนะครับ (ยกเครดิตให้ความพยายามอย่างสูงของทีมงานไปเต็มๆ ที่ไปกินนอนใช้ชีวิตตามติดเด็กพวกนี้)
+ ภาพเด็กหลายพันคนนั่งสอบในห้องใหญ่ๆ พร้อมกันนั่น ดูแล้วก็น่าขนลุก (หลายคนอาจบอกว่าทำไมไม่เน้นประเด็นโอเน็ต เอเน็ต ที่เป็นปัญหาอยู่ในช่วงนั้น ... แต่จริงๆ ถ้าใส่เข้าไป อาจทำให้หนังมันดูรุงรัง สับสนและชวนงงงันมากขึ้นก็เป็นได้)
+ ช่วงตอนที่ไปทะเลกันนั่น หลายคนคงมีประสบการณ์แบบนี้ ... นั่งรถไฟไปพร้อมเพื่อนๆ, ทำบ้าบอคอแตกแบบหลุดโลกก่อนจะโตแล้วจะไม่ได้ทำอีก, เปิดใจคุยกันรอบกองไฟถึงความฝันของแต่ละคน ฯลฯ
+ ช่วง "ความรู้คืออะไร?" ของนายลุง ... อาจทำให้หนังดูดี ... แต่สำหรับผม มันดู "บิ๊วต์" ไปนิดนึงอ่ะ ... แล้วตกลงแต่ละคนที่ตอบออกมาในหนัง ก็ยังหาคำตอบเจ๋งๆ ไม่ได้แทบจะซักคน


+ ปกติผมไม่ค่อยถูกโรคกับหนังแนวสารคดีเท่าไหร่ ... แต่กับเรื่องนี้ ที่นำเสนอในอารมณ์ drama/coming-of-age/nostaglia (ซึ่งเป็นแนวโปรดของผม) สไตล์ GTH จัดว่าทำได้ดีทีเดียวครับ เป็นหนัง GTH อีกเรื่องที่ดูแล้วไม่ผิดหวัง


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 7 มิถุนายน 2550 เวลา:14:31:36 น.  

 
ชอบเรื่องนี้มากเลยดูแล้วคิดถึงตัว เองเพราะผมกำลังจะเอ็นท์ในปี 51นี้
ดูแล้วขยันอ่านหนังสือขึ้นเยอะ


โดย: MORINO IP: 124.120.85.244 วันที่: 7 มิถุนายน 2550 เวลา:19:43:12 น.  

 
ชอบเรื่องนี้มากมายคับ
เรื่องนี้บ่งบอกอะไรกับสังคมไทยรึเปล่า
Spoil นะคับ
ผมชอบฉากที่ลุงถามเพื่อนๆว่า ความรู้คืออะไร แต่ทำไมไม่มีคนตอบได้ คำถามนี้ต้องการบอกอะไรกับสังคมไทยรึเปล่า

ป.ล. ผมซื้อหนังสือคุณแล้ว เมื่อไหร่ออกอีกเล่มละคับ จะรอซื้อคับ ชอบคับ มีมุมมองที่แปลกที่คนอื่นเค้าไม่มอง รีบๆออกเล่มใหม่นะคับ


โดย: GTO 101 IP: 58.9.67.116 วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:17:33:32 น.  

 
บทความนี้ดูสั้นๆ ผิดมาตรฐานของพี่ผมฯ ไปหน่อยๆนะครับ
เข้าใจว่าเป็นเพราะเนื้อที่นิตยสารค่อนข้างจำกัด

เพื่อนผมซื้อ DVD มาแล้ว.. ผิดหวังกับ features deleted scenes มากๆ เพราะเป็นหนังสารคดีแท้ๆ แต่ดันมีแค่ 4 ฉากเอง...

ส่วนตัวหนังผมรู้สึกกลางๆครับ ไม่ได้ชอบอะไรมากมายเท่าไรนัก... ตัวละครลุงกับบิ๊กโชว์ที่ใส่เข้ามาก็ยังดูเหมือนใส่เข้ามาเพื่อไม่ให้เปอร์ดูเป็นพระเอกมากเกินไป แต่ว่ายังไม่เพียงพอที่จะเฉลี่ยความเด่นให้ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจได้


โดย: nanoguy วันที่: 8 มิถุนายน 2550 เวลา:21:30:16 น.  

 
ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ

แต่ว่าอยากดู Director's Cut แฮะ


โดย: merveillesxx วันที่: 9 มิถุนายน 2550 เวลา:10:36:08 น.  

 
ชอบครับ หนังเรื่องนี้
ดูแล้วนึกถึงเราในวัยนั้น ทำกิจกรรมแบบนั้นเหมือนกันเลย
คงเหมือนกันทุกยุค ทุกสมัยนะ


โดย: คนขับช้า วันที่: 16 มิถุนายน 2550 เวลา:20:31:21 น.  

 
เค้าทำดีเนอะ ไม่คิดว่าจะสนุก แต่ก็สนุก ขำดี
รู้สึกถึงความเป็นวัยรุ่น
ไม่ใช่เด็ก ไม่ใช่ผู้ใหญ่...ก็วัยรุ่นไงล่ะ


โดย: ลมเอื่อย IP: 203.156.45.41 วันที่: 20 มิถุนายน 2550 เวลา:21:02:00 น.  

 
อ.จ อุ๊
ืำThe brain
Jia
neophysic
Access
อ. lilly
ว้าว เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อยจริงๆ


โดย: kanapo วันที่: 21 มิถุนายน 2550 เวลา:13:58:42 น.  

 
ครับแวะมาคอมเม้นครับ
ผมชอบเรื่องนี้มากครับ เพราะดูแล้วคิดถึงตอนสมัยมัธยม รักกันมาก และ มีความสุขมากๆกับช่วงนั้น ดูเรื่องนี้แล้ว มันก็เลย รู้สึก ย้อนอดีตหนะครับ
แถมชอบเถียงแม่คล้ายๆเปอร์ พอดูในนี้ทำให้รู้สึกว่า เฮ้อเรานี่แย่เหมือนกัน

แต่ที่ชอบสุดๆของหนัง ถึงแม้หนังจะห่วยยังไงก็แล้วแต่ แค่มีน้องลิ้งค์โผล่มาซัก 2 ที ก็ได้เต็ม 10แล้วหละเรื่องนี้ 555


โดย: London bridge is falling down IP: 124.121.202.203 วันที่: 6 สิงหาคม 2550 เวลา:22:41:26 น.  

 
ชอบระบบ Ent แบบเก่ามากกว่า ยิ่งเดี๋ยวนี้สถานศีกษา ออกเป็นแนวหาเงินซะเยอะ มีโครงการภาคพิเศษ/ภาษาอังกฤษ อีกเพียบ ผมรู้สึกว่าจะทำให้เด็กแสดงศักยภาพ/พยายามได้ไม่เต็มที่ เพราะสุดท้ายก็มี สถาบันดังๆเปิดภาคพิเศษคอยรองรับเพราะรู้ว่าตลาดตรงนี้เยอะ เริ่มตั้งแต่การศึกษาแล้ว ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมสังคมไทยจึงไม่พัฒนาเท่าอารยประเทศ


โดย: Movie manin IP: 202.57.178.164 วันที่: 13 สิงหาคม 2550 เวลา:15:05:28 น.  

 
ดูแล้วไม่ตรงกะตัวเองเรยอ่ะ
เพราะในหนังมันเปนชายล้วน แต่พลอยจบสหมา ดูแล้วไม่อินอย่างแรง !


โดย: ploy IP: 124.120.219.44 วันที่: 30 กันยายน 2550 เวลา:4:09:38 น.  

 
โหย เม้นท์หนังได้คมคายและตรงใจมากคับ..
โดยเฉพาะ "สะพาน" และ "การค้นหาตัวเอง"..
ซึ่งจิงๆ ผมกะจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ใน space ของผมแล้วเชียว..
ว้า คงต้องหา theme เขียนใหม่อีกแว้ว
555
:)


โดย: ชูลาชูล่า IP: 58.9.187.64 วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:15:28 น.  

 


สามารถติดตามบทสรุป การให้คะแนน และบทวิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มเติม
หรือบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พร้อมความเห็นของเพื่อนร่วมบล็อคที่รักการดูหนัง
ได้ที่ //vreview.yarisme.com พร้อมลุ้นรับบัตร Major M Cash มูลค่า 500 บาท จำนวน 8 ใบ ทุกเดือน


โดย: ป๋องแป๋ง IP: 124.120.0.136 วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:16:23:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
7 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.