www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

The Village Album , ถ่ายภาพด้วยหัวใจแล้วบันทึกใส่ความทรงจำ



...ผมทะเลาะกับพ่ออยู่บ่อยครั้ง และ รู้สึกหงุดหงิดอยู่เนืองๆ ที่เห็นพ่อไม่เคยใส่ใจในงานที่เรารัก หรือ ไม่เคยชื่นชมในสิ่งที่เราทำ เหมือนกับว่า พ่อไม่เคยยอมรับเรา

วันหนึ่งเคยถามพ่อตรงๆว่า เพราะอะไร ถึงไม่เคยชื่นชมลูก เหมือนที่คนอื่นๆเขาทำ ไม่เคยสนใจหรือใส่ใจในงานที่เราชอบบ้าง เพราะแม้ คนอื่นรอบข้างจะยอมรับ แต่ คนเป็นลูกก็ต้องการการยอมรับจากคนเป็นพ่อแม่ ที่เป็นบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิต

ผมเองได้รู้ความจริงถัดมาว่า พ่อภูมิใจในตัวผมเสมอมาเวลาพ่อคุยกับใครต่อใครถึงงานและความสำเร็จของผม ในเวลาเดียวกันพ่อเองก็รู้สึกแย่เช่นกัน เมื่อผมเองนั้นก็ไม่ได้มีทีท่าใส่ใจให้ความสำคัญกับพ่อ ซึ่งผมเองนั้นไม่เคยรับรู้มาก่อนว่านี่ก็เป็นสิ่งที่พ่อต้องการ

กลายเป็นว่า คนสองคน พ่อกับลูก ที่ยอมรับในกันและกัน กลับไม่เคยสัมผัสความรู้สึกดีๆจากอีกฝ่าย แต่ เราสัมผัสได้แค่ ท่าที ของอีกฝ่ายแทน

และนั่น ทำให้ผมเข้าใจว่า ทาคาชิ คนลูก กับ เคนอิจิ ผู้พ่อ ก็คงประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน

...ทาคาชิ ถูกตามให้กลับบ้านต่างจังหวัด เพื่อช่วยงานพ่อ บันทึกภาพคนในหมู่บ้านของตัวเอง เป็นภาพถ่ายความทรงจำก่อนหมู่บ้านนี้จะถูกลบไปจากแผนที่เพราะถูกเขื่อนมาทดแทน

ทาคาชิ มาด้วยความหงุดหงิด แม้เขาจะไม่พูดออกมา แต่ ผมเองขอเดาว่า นี่ก็น่าจะเป็นเสียงในใจของเขา


“ไม่กี่ปีก่อนตอนผมออกจากหมู่บ้านฮานาทานิเพื่อมาทำงานที่โตเกียว พ่อดูไม่สนใจใยดีผมเลยแม้แต่น้อย พ่อไม่ถาม ไม่มีให้กำลังใจ ไม่แม้กระทั่งบอกลา ท่าทีของพ่อที่มีต่อผม เหมือนอย่างที่พ่อทำกับพี่สาวคนโตที่หนีออกจากบ้านไปโตเกียวแล้วไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย

หลังจากผมย้ายมาโตเกียวซักพัก พ่อก็ดูเหมือนจะลืมๆผมไป ผมเข้าใจว่า พ่อคงโกรธที่ผมมาโตเกียวเหมือนพี่สาวที่ตีตัวออกห่างจากครอบครัว ผมเดาว่า การไปโตเกียวของผมคงเป็นสิ่งที่พ่อผิดหวังอย่างรุนแรง

พ่อคงอยากให้ผมหางานปักหลักอยู่ที่ฮานาทานิ มีครอบครัวอยู่ที่นี่ อยู่พร้อมกันพ่อลูก

แต่ผมไม่อยากอยู่บ้านนอก อยู่แค่ในจังหวัดเล็กๆ ผมอยากจะเป็นช่างกล้องมีชื่อเสียง อยากเข้าไปพบโลกกว้างในเมืองใหญ่

ผมแปลกใจที่ผมได้รับการติดต่อให้มาเป็นผู้ช่วยพ่อ ทำหน้าที่ถ่ายรูปคนในหมู่บ้าน เพื่อเป็นบันทึกความทรงจำ ผมสงสัยว่าทำไมพ่อถึงเลือกผม ทั้งที่ผ่านมา พ่อเองก็ดูเหมือนไม่เคยใส่ใจดูดำดูดีลูกอย่างผมแม้แต่น้อยนับตั้งแต่ก้าวออกจากบ้านมา พ่อเห็นความสามารถในตัวผมด้วยหรือ

หรือ พ่อเกิดเหงา
หรือ พ่อหาใครช่วยไม่ได้ก็เลยตามผมมา

ช่างมันเถอะ

วันที่มากลับมาเหยียบบ้านอีกครั้ง มันก็เป็นอย่างที่คิด พ่อเดินผ่านเหมือนมองไม่เห็นผม พ่อนั่งกินข้าวโดยเหมือนผมไม่มีตัวตน

ผมไม่เข้าใจว่าถ้ากลับมาบ้านแล้วเกิดบรรยากาศแบบนี้ จะตามผมกลับมาทำไม

ผมโกรธพ่อ อย่างน้อยพ่อน่าจะพูดอะไรออกมาบ้าง
ผมน้อยใจ กับเหตุการณ์ที่ผ่านมากับการที่พ่อไม่เคยมีทีท่าเหมือนจะสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของผม

เพราะสิ่งที่พ่อทำ ทำให้ผมไม่แน่ใจว่า พ่อยังรักผมอยู่หรือเปล่า”



...ทาคาชิ คงไม่อยากจะกลับมาบ้านเกิดเท่าไหร่นัก ไม่ใช่แค่เรื่องพ่อ แต่ยังเพราะ ความจริงที่เขาได้เป็นแค่ผู้ช่วยที่เก็บของงกๆเงิ่นๆ ชีวิตที่ห่างไกลจากความฝันเป็นช่างภาพ เขาเองคงไม่กล้าที่จะกลับมาบอกพ่อ หรือ บอกคนในหมู่บ้าน ว่าเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่ฝันไว้ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่ใครต่อใครพูดคุยถึง

การจากบ้านชนบทไปทำงานเมืองใหญ่ของทาคาชิ ก็เหมือนกับ คนต่างจังหวัดบ้านเรา ที่เฝ้าฝันว่า กรุงเทพคือเมืองสวรรค์ แล้วละทิ้ง บ้านเกิดไว้ข้างหลัง ก่อนจะพบว่า เราเองเป็นคนทิ้งสวรรค์มาแบบไม่รู้ตัว

ภาพลวงของเมืองหลวงทำให้คนต่างจังหวัดหลายชีวิตไม่เคยหยุดคิดที่จะวิ่งไล่ความฝัน น่าสงสารที่หลายคนนั้นวิ่งไล่ความฝันจนลืมหันหลังกลับไปมองบ้านที่เราจากมา

เราลืมหันไปมองว่า เราได้ทิ้งอะไรมาแล้วบ้างกับเวลาที่ผ่านไปไวโดยไม่รู้ตัว

...เราเคยเติบโตมากับต้นไม้ต้นที่ให้ความร่มเย็น ให้ผลไม้ได้เด็ดกินยามหิว ให้อากาศหายใจตั้งแต่เรายังเล็ก แต่เรากลับไม่มีโอกาสได้กลับไปนั่งใต้ร่มเงาต้นไม้นั้นเมื่อมันเติบใหญ่ เมื่อมันเริ่มร่วงโรย จนมันเหี่ยวเฉาและตายจาก ในขณะที่ เราเหมือนจะลืมต้นไม้ต้นนั้นไปเสียแล้ว

เพราะเมื่อเราโตขึ้น เราเรียนรู้ที่จะเข้าห้างเข้าตึกเวลาอากาศร้อนโดยไม่คิดจะไปนั่งพักใต้ต้นไม้ต้นนั้นอีก เราสามารถหาอาหารสำเร็จรูปตามห้างสรรพสินค้าโดยไม่ต้องเด็ดผลไม้จากต้นนั้น เราไปหาอากาศหายใจจากต้นไม้ต้นใหม่ที่สีสันตื่นตาตื่นใจกว่า และ เรายังคงวิ่งไล่ล่าความฝันโดยไม่ทันสนใจสิ่งใดๆรอบตัว

พ่อแม่ของเรา ก็อาจเป็นดั่งต้นไม้เหล่านั้น เมื่อถึงวันหนึ่งท่านก็ต้องจากเราไปตามสัจธรรมของกาลเวลา ท่านอาจรอวันที่จะให้ร่มเงาเราอีกครั้งเหมือน ตอนที่เรายังเด็ก แต่ เรากลับไม่ทันคิดถึง เราลืมวันเก่าๆตอนที่เรายังต้องการพวกเขา ตอนที่เรายังอยากให้เขาช่วยดูแลเราตลอดเวลา

...ทาคาชิ มาช่วยงานพ่ออย่างไม่เข้าใจว่า ทำไม เขาถึงกลายเป็นตัวเลือกที่พ่อต้องการ และ หากเป็นที่ต้องการจริง ทำไมเมื่อมาถึง พ่อจึงยังคงมีทีท่าไม่ใส่ใจ

งานของพ่อสร้างความสงสัยให้ ทาคาชิ เป็นทวีคูณ เพราะแทนที่พ่อจะนั่งรถเพื่อถ่ายภาพให้เสร็จอย่างรวดเร็ว พ่อกลับเลือกเดินไปตามรายทางของบ้านแต่ละหลังแล้วค่อยๆเก็บรูปภาพของผู้คนแต่ละครอบครัว

วิธีการของพ่อ ยิ่งตอกย้ำ ความคิดที่เขาบอกคนรักว่า พ่อ ผู้ซึ่งในสายตาของเขา เป็นแค่ ช่างภาพกระจอกๆคนหนึ่ง ส่วนฮีโร่ในการถ่ายภาพของ ทาคาชิ เป็นศิลปินชื่อฝรั่งที่ดูโก้เก๋

ก่อนที่การเดินทางตามหลังพ่อครั้งนี้ เขาจะค่อยๆได้ซึมซับ บางสิ่งบางอย่าง ที่ ช่างภาพฝรั่งในอุดมคติของเขาไม่สามารถให้ได้ นั่นคือ การถ่ายภาพด้วยหัวใจ และ ความลับของความรักที่เขาไม่เคยรับรู้



...ภาพที่ถ่ายด้วยมือใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาที แต่ภาพที่ถ่ายด้วยหัวใจใช้เวลาไม่เท่ากัน เพราะภาพๆนั้นจะไม่ได้ใช้แค่มือกับสายตา แต่คนถ่ายต้องใช้ใจสัมผัสชีวิตที่อยู่ในเฟรมจึงจะถ่ายทอดความรู้สึกและจิตวิญญาณของคนที่เป็นแบบออกมาได้ ต่อให้ใช้เวลาเป็นชั่วโมง หากผู้ถ่ายไม่สามารถเชื่อมความรู้สึกตัวเองกับคนอื่น หากผู้ถ่าย ไม่แคร์คนในรูป ก็ย่อมไม่มีทางถ่ายทอดความรู้สึกคนอื่นให้ออกมามีชีวิตบนภาพถ่าย

ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การถ่ายภาพยังสะท้อนการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วย เราจะเห็นพ่อที่เอาใจใส่คนในรูปทุกคน มันก็เหมือนกับการใช้ชีวิตของพ่อที่เคารพให้ความสำคัญกับผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ ทาคาชิ ไม่เคยเอาใจใส่หรือแคร์คนรอบข้าง มัวแต่สนใจหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของตัวเอง เช่น ในตอนยายที่เขามัวแต่สนกับโทรศัพท์มือถือ



ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจ ว่าเพราะอะไร ทาคาชิ จึงถึงกับต้องฉีกภาพถ่ายตัวเองทิ้งไป เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับภาพถ่ายของพ่อ เมื่อเขาได้เห็นว่า ภาพของเขานั้นขาดสิ่งสำคัญไปนั่นคือ ชีวิตจิตใจของผู้คนในภาพ และ ทำให้เขาได้รู้จักฮีโร่หรือต้นแบบตัวจริงที่ตัวเองอยากจะเป็นตลอดมา



...เราจะเห็นระยะห่างระหว่างคนสองคนที่เดินทิ้งช่วงไกลกัน ก่อนจะค่อยๆย่นระยะเข้ามาหากันตามระยะทางของหัวใจ ก่อนที่เราจะได้เห็นระยะห่างกลายเป็นศูนย์เมื่อลูกให้พ่อขี่คอขึ้นเขา ในตอนนั้น ก็คงเหมือนหัวใจของคนสองคนได้กลับมาหลอมรวมกันอีกครั้ง

...เสียงบางเสียงไม่ได้ยินออกจากปากตัวละคร แต่หนังถ่ายทอดให้ได้เห็นและได้ยิน เสียงในใจของพ่อลูกคู่นี้ ผ่านการแสดงออก

...หากย่อหน้าตอนต้นคือเสียงในใจของทาคาชิ คนลูก และ นี่ก็น่าจะเป็นเสียงในใจของเคนอิจิผู้พ่อ


“ในใจของคนเป็นพ่อ ใครบ้างที่จะไม่รวดร้าวเมื่อต้องเห็นลูกจากไป พ่อคนไหนบ้างที่อยากจะให้ลูกลืมเรา พ่อคนไหนบ้างที่ไม่อยากจะเห็นลูกมีอนาคตมีความสุขในชีวิต

ภรรยาอันเป็นที่รักจากผมไป เมื่อ เจ็ดปีก่อน

ลูกสาวคนโต ทิ้งครอบครัวของเราที่มีกันอยู่แค่พ่อลูก ไปอยู่กับคนรักที่โตเกียวซึ่งไอ้หนุ่มนั่นก็ไม่ได้ตั้งใจจะจริงจังแถมยังทิ้งลูกไว้ให้รับผิดชอบ

ไม่กี่ปีก่อน ทาคาชิ ลูกชายคนโตของผมก็ออกจากเมืองนี้ ไปโตเกียว

การจากไปของทาคาชิ แม้จะรวดร้าว แต่ ผมก็ภูมิใจ

การจากไปของทาคาชิ คือ ความภาคภูมิใจที่ผมยินดีและเที่ยวบอกใครต่อใครในหมู่บ้านเวลามีคนถามถึง ผมภูมิใจที่มันสามารถทำในสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้ มันสามารถสานฝันของตัวเองให้เป็นจริงและสานฝันของผมที่ทำไม่สำเร็จในโตเกียว

วันนี้ ผมรู้สภาพร่างกายตัวเองดีว่า ผมคงอยู่ได้อีกไม่นานโดยไม่ต้องมีหมอที่ไหนมาบอก ดังนั้นเมื่อรู้ว่าหมู่บ้านนี้กำลังจะถูกทำลายทิ้งไป ผมจึงไม่ลังเลใจที่จะรับงานถ่ายรูปหมู่บ้านนี้เก็บไว้ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมจะได้ตอบแทนหมู่บ้านที่มอบเวลาที่ดีที่สุดและมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตผม นั่นคือ ชีวิตครอบครัวกับภรรยาและลูกๆที่ถือกำเนิดจากที่นี่

ผมบอกกับเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านว่า ผมต้องการตัวลูกชายกลับมาเป็นผู้ช่วย เพราะ อยากมีเวลาในชีวิตช่วงสุดท้ายอยู่กับมัน

ผมไม่รู้ว่ามันยังต้องการผมหรือไม่ เพราะผมรู้ดีว่า เมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ ลูกทุกคนก็มีโลก มีชีวิตของมันเอง และ ไม่แน่ มันอาจจะลืมพ่อไปแล้วก็เป็นได้

ผมอยากจะเห็นหน้าลูกทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ผมอยากให้มันกลับมาสัมผัสหมู่บ้าน อยากฝากให้มันได้รับรู้ว่าหมู่บ้านที่มันเติบโตมานี้ ไม่ใช่แค่แผ่นดินที่มีที่ไว้ให้ยืน

หมู่บ้านแห่งนี้คือ ความรักอันบริสุทธิ์ที่ผู้คนมีให้ต่อกัน ผมอยากพามันไปพบกับคุณยายที่รอคอยอย่างเดียวดายแต่ก็สุขใจที่ได้รอ เพื่อนร่วมงานที่รักสมัครสมานและอุ่นไอในมิตรภาพ เด็กๆที่วิ่งเล่นกันอย่างใสซื่อสนุกสนานเหมือนมันกับพี่น้องตอนเด็กๆ ดั่งเช่นภาพที่ผมถ่ายแล้วเก็บไว้ตลอดมา

รวมไปถึง ความรักที่ผมและภรรยามีให้แก่กัน และ ความรักที่เราสองคนนั้นมีกับลูกทุกคน

ถ้าไม่ใช่เพราะรัก ผมเองก็คงไม่ทิ้งโตเกียวกับอนาคตมาที่นี่ และ ถ้าไม่ใช่เพราะรัก เราก็คงไม่คิดจะมีลูกถึงสามคนทั้งที่สุขภาพของภรรยาผมก็ย่ำแย่

แต่เราทั้งคู่ก็ยินดี เพราะรู้ว่า ด้วยความรักที่มี ที่หมู่บ้านนี้ ความรักของเราจะเติบโตในตัวลูกๆต่อไป

ผมอยากให้มันกลับมาเก็บภาพความทรงจำของความรักนี้ไว้ในใจไม่ใช่แค่จำได้เวลาคนพูดถึง

ผมอยากให้เสียงดนตรีเวลาห้าโมงเย็นดังก้องอยู๋ในหัวใจก่อนที่จะไม่ได้ยินเสียงอีกต่อไป

ผมอยากส่งต่อความรักของพ่อกับแม่ไว้ให้มันเก็บรักษาไว้ยามที่ผมไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว และ มันจะสามารถส่งต่อความรักนี้ไปให้น้องสาว หรือ กับครอบครัวของมันต่อๆไป

แน่นอน ผมรักลูกทุกคน ไม่ว่าลูกจะเป็นเช่นไร”




...ยังมีอีกหลายความลับ ยังมีอีกหลายความรู้สึก ที่คนในครอบครัวเดียวกันไม่ได้พูดกัน และ หลายๆครั้งที่ การไม่พูด ทำให้เรากับพ่อ เรากับแม่ เรากับพี่ เรากับน้อง ต้องพลาดโอกาสที่จะเข้าใจ และ พลาดโอกาสที่จะรับรู้ความรู้สึกดีๆที่อีกฝ่ายมีให้

ความรู้สึกดีๆเหล่านั้นถูกสกัดกั้นด้วยกำแพงของพฤติกรรมที่แสดงออก ถูกบิดเบือนด้วยคำพูดที่มีอารมณ์อื่นๆมาเบี่ยงเบน

มิหนำซ้ำหลายครั้งที่เราแปล การไม่พูด ผิดไปเป็นใน ทางตรงกันข้าม



และมันทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า พ่อแม่อยู่กับเราไมได้ตลอดไปจริงๆ วันที่ท่านจากเราไป ภาพสุดท้ายที่เราถ่ายเก็บไว้ด้วยสายตาของเราเป็นภาพไหน เป็นภาพของความขัดแย้ง หรือ เป็นภาพของคนสองคนที่ไม่พูดคุยกัน หรือ เป็นภาพตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ฯลฯ

เราอาจต้องรู้สึกเสียใจที่ ทำไมวันนั้น เราถึงไม่เก็บความทรงจำที่แสนงดงามเมื่อโอกาสยังมี ทำไมภาพสุดท้ายของพ่อแม่ที่เราบันทึกไว้ในใจเป็นภาพที่ลางเลือนเมื่อหลายปีก่อนไม่ใช่ภาพของเมื่อวาน หรือเป็นเพราะ เมื่อวานเรายังมัวแต่สนุกสนานกับเพื่อนพ้องคนรักหรืองานจนลืมพ่อแม่ของเรา

เราจะได้มีโอกาสถ่ายภาพครอบครัวภาพสุดท้ายอย่าง ทาคาชิ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ เราเองที่จะเป็นคนตัดสินใจในฐานะช่างกล้องชีวิต ว่าจะเลือกกดชัดเตอร์และเลือกเก็บภาพใดไว้ในความทรงจำ

…The Village Album ได้รับการโฆษณาผ่านหน้าหนังสือพิมพ์หนังสือพิมพ์ว่า ผู้ที่ประทับใจหนังเรื่อง Always ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้ จนอาจทำให้หลายคนคาดหวังว่า หนังญี่ปุ่นเล็กๆเรื่องนี้ จะ มีอะไร เหมือนที่ Always มี

...ในความเห็นผม กลับมองว่า หนังสองเรื่องนี้ถ้าไม่นับว่าเป็นหนังญี่ปุ่นเหมือนกันแล้ว ทั้งคู่ต่างกันหลายอย่างนัก ทั้งประเด็นที่เน้นหนัก ทั้งการเล่าเรื่องและการบิวท์อารมณ์คนดู สำหรับผมเองนั้นทั้งคู่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทาบทับกันได้อย่างพอดี

นั้นคือ หนังสองเรื่องนี้ เป็น หนังเพียงสองเรื่องของปี ที่ทำให้น้ำตาไหลปริ่มด้วยความอิ่มเอมใจ

หนังบางเรื่องทำให้เราร้องไห้เพราะเสียใจไปกับตัวละคร เพราะรันทดกับชะตากรรมในหนัง เพราะเสียดายตังค์ ค่าตั๋ว ฯลฯ แต่ The Village Album และ Always ทำให้เราร้องไห้เพราะความอิ่มอุ่นอิ่มอกอิ่มใจ

....ไม่อยากให้ตั้งความคาดหวังหรือคิดว่าหนังเรื่องนี้จะเหมือน Always เพราะคุณอาจ ไม่ได้อะไร ในสิ่งที่ Always เคยให้ และ คุณอาจได้บางอย่างที่ Always ไม่มี และ หากเปรียบเทียบก็อาจรู้สึกว่ามันไม่เท่ากัน

อย่าเปรียบเทียบเลย ไปด้วยใจสบายๆ แล้วคุณจะพบว่า คุณให้โอกาสกับหัวใจ ได้รับ ความอิ่มเอม ที่เราหาไม่ค่อยได้จากหนังโรงยุคปัจจุบัน ซึ่งมีแต่ผี แอคชั่น โหด รันทด กดดัน ขวัญผวา ฯลฯ

แล้วคุณยังอาจพบว่า ความงามจากภาพบนจอที่ก่อตัวในจิตใจคนดู เป็นเหตุให้เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูจบแต่ยังไม่อยากลุกจากโรงเพราะอยากเก็บบันทึกภาพในหนังจนหมด end credit

สิ่งที่ชอบ

1.ความอิ่มใจ ... ความรู้สึกอิ่มเอม และ อิ่มใจ เกิดขึ้นอีกครั้งของปีนี้ และ เป็นครั้งที่สองของปี ที่น้ำตาไหลปริ่ม ไม่ใช่เพราะ อินไปกับเหตุการณ์รันทด หรือ เศร้าใจ แต่เป็นครั้งที่สองของปี ที่น้ำตามีที่มาจากความประทับใจ

2.ภาพในหนัง ...วิวทิวทัศน์ชนบทในหนังแสนร่มเย็นเป็นสุขน่าพักอาศัยเป็นยิ่งนัก ภาพชนบทในหนังให้ความรู้สึกงดงาม เหมือนตอนที่ได้ดูภาพฤดูฝนในหนัง Be with you หลายฉากชวนให้ใครมาจากต่างจังหวัดน่าจะยิ่งอินกับบรรยากาศต่างจังหวัดซึ่งไม่ใช่แค่วิวทิวทัศน์ แต่รวมไปถึง มิตรภาพน้ำใจ ของ ผู้คน ภาพถ่ายในหนังที่ปรากฎบนจอให้ความรู้สึกมีชีวิตจิตใจจริงๆ นั่นทำให้ คนดูส่วนใหญ่ไม่อาจละสายตาไปแม้หนังจะจบลง เพราะยังเฝ้าดูภาพถ่ายที่เหลือระหว่าง end credit ขึ้น

3.ความสัมพันธ์ของผู้คน ... ระหว่างพ่อ-ลูก / ยายกับพ่อ / ผู้คนในหมู่บ้าน ดูอ่อนโยน จริงใจ และ อบอุ่น เป็นอีกเรื่องที่ใครมีปมพ่อ-ลูก ได้มาดูเรื่องนี้ต้องอินเป็นพิเศษ

4.สองความคิดที่เกิดขึ้นหลังดูจบ ... นอกจากความอิ่ม ยังมีอีกความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นตามความคิดที่ได้นั่นคือ ความคิดที่อยากจะกลับบ้านอันเป็นความสุขที่แท้จริง และ ความคิดที่อยากกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ให้บ่อยเท่าที่จะทำได้


สิ่งที่ไม่ชอบ

1.การแสดงของคนที่รับบทลูก(ทาคาชิ) ... ดูโดดๆ ไม่เป็นธรรมชาติ และ ยิ่งชัดมากเมื่อต้องประกบรุ่นเก๋าอย่างทัตสุยะ ฟูจิ คนพ่อที่ถ้าไม่บอกคงจะจำไม่ได้จริงๆว่าเขาคือพระเอกจาก In the Realm of Senses

สรุป ... ถ้าให้เลือกระหว่าง หนังดีมากในแง่บท การแสดง การตัดต่อ ฯลฯ แต่ไม่ให้อะไรกลับมากับคนดู กับ หนังที่ไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่ดูจบแล้วมันสามารถเข้าไปถึงใจ ดูจบแล้วเกิดความรู้สึกๆดีๆ มีบางสิ่งกระทบใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี มีแรงบันดาลใจในชีวิต ผมรักหนังในกลุ่มหลังมากกว่า และ ปีนี้ The Village album เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยินดีและอยากจะแนะนำให้ใครต่อใครได้ไปดูกัน นักวิจารณ์อาจให้เกรดที่แตกต่างกันในแง่ของความเป็นหนัง แต่ คงไม่มีใครที่จะปฏิเสธความงดงามที่เกิดขึ้นในใจหลังดูจบ


ขอฝาก"หนังสือรัก"ไว้กับผู้อ่านด้วยเน้อ กับ พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก ที่หยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม


หนังสือเกี่ยวกับอะไร ? มีที่มาอย่างไร ? ชวนไปอ่านเบื้องหลัง ไปรู้จักหนังสือได้ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=13&month=10-2006&date=19&blog=1

สำหรับเพื่อนๆที่อ่านจบแล้ว ชวนมาคุยกัน ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=13


(วางขายตามร้านหนังสือทั่วไปแว้ว)
ไม่แน่ใจลองยืนอ่านฟรี อ่านแล้วดีวานบอกต่อ



ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

เริ่มต้นอ่านครั้งแรก ชวนคลิก ชวนคุยกันที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง




ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2549
13 comments
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2549 9:39:20 น.
Counter : 7388 Pageviews.

 

หวัดดีค่ะ

เราชอบการแสดงของคนเป็นพ่อแต่ไม่ชอบการแสดงของคนเป็นลูกเช่นกัน เป็นส่วนหนึ่งเลยที่ทำให้เราไม่อินกับหนังเรื่องนี้อย่างที่ควรเป็นน่ะค่ะ


เจ้าของบล็อกค่อนข้างเซ้นซิทีฟกับหนังที่เป็นความสัมพันธ์พ่อ-ลูกนะคะ

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 29 พฤศจิกายน 2549 9:44:42 น.  

 

ดูมาด้วยเหมือนกันครับ เขียนบล็อกไว้ด้วยเหมือนกัน เขียนในส่วนของการถ่ายภาพ

 

โดย: proofman IP: 58.10.149.40 29 พฤศจิกายน 2549 9:58:15 น.  

 

เห็นด้วยครับ ที่การแสดงของคุณลูกทำให้ผมไม่ค่อยอินเท่าไหร่ แต่ตัวแสดงในเรื่องที่ผมชอบมากที่สุด คือ คุณยาย ครับ ทำผมน้ำตาซึมเลย คุณยายน่ารักมากๆ ร้องเพลงก็เพราะ แถมมีน้ำใจสุดๆ

ดูจบ ความคิดเดิมๆ ก็ลอยเข้ามาในหัวว่า อยากไปอยู่ต่างจังหวัดจังเลย เบื่อ กทม. จะแย่อยู่แล้ว

 

โดย: เข็มขัดสั้น 29 พฤศจิกายน 2549 11:30:28 น.  

 

เท่าที่อ่านเรื่องย่อแล้วน่าดูมากๆ น่าเสียดายจริงๆที่ไม่มีโอกาสได้ดูหนังดีๆแบบนี้
ผมอยู่ต่างจังหวัดนะครับ ^ ^

 

โดย: neoheart IP: 203.156.0.221 29 พฤศจิกายน 2549 11:33:34 น.  

 

+ ช่วงปีมา 2-3 นี้มีหนังที่จับประเด็นเกี่ยวกับหมู่บ้านเหนื่อเขื่อนที่กำลังจะจมน้ำหลายเรื่องเลยนะครับ รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ในงานเทศกาลตอนต้นปี ก็มีหนังจีนของหมู่บ้านที่กำลังจะจมใต้ทะเลสาบเขื่อน 3 โตรก (3 Gorges Dam) แล้วก็มีหนังจากอเมริกาใต้อีกเรื่องนึงด้วย จำไม่ได้แล้วว่ามาจาก เปรูหรือชิลี
+ เห็นด้วยครับว่าถึงเรื่องนี้จะเป็นหนังแนวซาบซึ้งกระตุกต่อมน้ำตา ... แต่ก็เป็นคนละอารมณ์กับ Always ซึ่งจะเน้นทางด้านความรู้สึก Nostaglia โดยรวมๆ กับความรักความห่วงใยในรูปแบบต่างๆ ซึ่งหลายความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นครอบครัวที่แท้จริง แต่เป็นครอบครัวเสมือน (เช่น นักเขียน+เด็กน้อย, ครอบครัวของร้านซ่อมรถกับเด็กสาวผู้ช่วย เป็นต้น) ... ต่างจากเรื่องนี้ที่มีพล็อตตรงไปตรงมา มีประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเน้นไปที่ Conflict ระหว่างพ่อกับลูกชายโดยตรง ... และมีซับพล็อตเป็นเรื่อง ชีวิตชนบท vs ชีวิตในเมือง รวมไปถึงการค้นพบตัวตนของตัวเองทางด้านความชอบและวิชาชีพ ด้วย ... ดังนั้นเรื่องนี้อาจกระตุกอารมณ์ได้ง่ายกว่า Always สำหรับคนที่ผ่านประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้โดยตรง ... แต่สำหรับผม ทั้ง 2 เรื่องนี้ซาบซึ้งใกล้เคียงกันครับ เพียงแต่ซึ้งไปคนละแบบอ่า
+ ตอนที่ต่อมน้ำตาผมแทบแตก จะเป็นช่วงที่มีคุณยายแก่ๆ หลังค่อมอยู่ ... ทั้งตอนบ้านบนเขา และตอนที่เธอเอาผลไม้ลงมาเยี่ยมคนป่วยอ่ะครับ เธอช่างขโมยซีนซะจริงๆ เหอะๆ
+ ภาพสวยๆ ตามชนบทในญี่ปุ่น แทบจะทำให้ผมอยากกระโดดขึ้นมาสะพายเป้ออกไปแบ็คแพ็กซะจริงๆ เลยครับ ... วันก่อนเพิ่งอ่านข้อมูลโซน ตอ. เฉียงเหนือ (แถบเมืองเซนได) มา วิวสวยมั่กๆ ถ้าได้ไปนั่งแช่ออนเซ็น (แช่น้ำแร่อาบแบบญี่ปุ่น) คงมีความสุขดีพิลึก
+ ตอน end credit ก็ทำได้ดีนะครับ เหมือนเป็นการเอาภาพทั้งหมดที่ผู้เป็นพ่อถ่ายไว้ มารีโหลดให้ดูกันเต็มๆ ทำให้หนังมันดูขลังเหมือนจริงดีอ่ะครับ

 

โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.233 29 พฤศจิกายน 2549 13:47:53 น.  

 

แหะๆ พอดีโหลดหน้านี้ไว้นานแล้วเพิ่งจะได้โพสต์ เลยไม่ทันได้อ่านความเห็นถัดๆมา ... คุณเข็มขัดสั้น ชอบคุณยายเหมือนผมเลยครับ คงเป็นเพราะดูเธอเป็นหญิงชรา(มาก)ที่มองโลกในแง่ดี และดูมีความสุขกับชีวิตมากๆ ละมั้ง ... อ้อ แต่ถ้าอยากไปอยู่ต่างจังหวัด (จริงๆ ผมก็อยากกลับไปอยู่เหมือนกันนะ) ... ระวังตอนไม่ได้ดูหนังอินดี้แถวโรงลิโด้, โรงเฮาส์ แล้วจะลงแดงเอานะครับ (เพราะแผ่นก็อาจทำออกมาห่วยๆ หรือไม่ครบทุกเรื่องอยู่ดี) เหอะๆ

 

โดย: #5 นั่นแหละ IP: 202.69.140.233 29 พฤศจิกายน 2549 13:58:40 น.  

 

ตรง #5 ขึ้นต้นเลย ... "ช่วง 2-3 ปีมานี้" ตะหาก ... แบบว่าเพิ่งเห็นง่ะฮับ - -'

 

โดย: แหะๆ พิมพ์ผิด IP: 202.69.140.233 29 พฤศจิกายน 2549 14:39:33 น.  

 

ชอบแฟนพระเอกครับ ฮ่า~
คนอะไรน่ารักมั่กๆๆๆ...

ปล. เห็นด้วยกับคุณบลูยอชท์ครับ..อยากกลับตจว.เหมือนกัน แต่กลับแล้วไม่มีลิโด้ให้ดู แถมมีแต่หนังพากย์ไทย เงิ่บ - -* ยิ่งเมื่อวานแค่ไปเดินหาดีวีดี Audition ที่มาบุญครอง ยังเจอแต่แบบพากย์ไทยเล้ย บูดๆๆ

 

โดย: nanoguy IP: 203.113.34.11 29 พฤศจิกายน 2549 19:09:00 น.  

 

ชอบประโยคนี้ที่คุณ จขบ. เขียนจัง ...
"...ผมอยากพามันไปพบกับคุณยายที่รอคอยอย่างเดียวดายแต่ก็สุขใจที่ได้รอ ..."
สิ่งที่ชอบสำหรับหนังเรื่องนี้ นอกจากเนื้อเรื่อง และวิวสวยๆ แล้ว...ก็คุณยายนี่แหละค่ะที่ยกนิ้วให้เลย... เห็นด้วยกะคุณ บลูยอชท์ ค่ะ... ยายแกขโมยซีนไปได้หมดเลย... กับคุณ ทัตสุยะ ฟูจิ ไม่เคยดูผลงานแกหรอกนะ แต่จากเรื่องนี้...เล่นดีนะ แต่เราว่าก็ยังแพ้คุณยายอยู่ดี
ส่วนลูกชายก็อย่างที่คุณ จขบ. ว่าไว้อ่ะค่ะ ยังแข็งๆ อยู่ แต่โดยรวมแล้ว ก็เป็นหนังดีในรอบปีที่ชอบอีกเรื่อง (สำหรับตัวเอง...คะแนนนำ Always อยู่หน่อยนึง ^^)

 

โดย: SnowBelL IP: 58.136.73.91 30 พฤศจิกายน 2549 3:12:23 น.  

 

เพิ่งไปดูเมื่อวานที่เฮาส์ ทีแรกยังลังเลว่าจะไปดีมั๊ย
พอเปิดเช็ครอบในเว็บตกใจมาก เพราะเหลือรอบที่แสดงไว้ถึงวันพุธนี้เท่านั้น ของลิโดก็มีแค่รอบเดียว
ถ้าไม่ไปก็คงต้องรอดูแผ่นเป็นแน่แท้ ก็เลยซ้อนมอไซค์ไปเลย ออกจากบริษัท 5:45 ถึงนู่น 5:59

คงเพราะตัวเองก็มีปัญหากับพ่อในด้านความคิดความอ่านต่างๆ
พอดูเรื่องนี้เลยทำให้โดนมากเป็นพิเศษ

 

โดย: KjkGs IP: 58.136.85.236 5 ธันวาคม 2549 12:10:55 น.  

 

ชอบเรื่องนี้ค่ะ

เพราะโดยส่วนตัว กุ้งกะพ่อมีปัญหาขัดแย้งกันมาตลอด คือเราก็รู้นะคะว่าเค้ารักเราและเราก็รักเค้าด้วย แต่บางทีเรากลับไม่แสดงออกกันตรงๆ และไอ้ที่แสดงออกกันไปก็ล้วนแต่เพิ่มความขัดแย้งกันหม่าม้ากุ้งบอกว่ากุ้งกะป๊าอะนิสัยเหมือนกันเลย

พอดูเรื่องนี้แล้วก็ทำให้คิดอะไรได้หลายอย่างค่ะ สรุปก็คือชอบเรื่องนี้นะคะ และทำให้เสียน้ำตาไปหลายตอนเลย

 

โดย: ลิปดา-พิลิปดา (ลิปดา-พิลิปดา ) 11 ธันวาคม 2549 14:32:34 น.  

 

ดูหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์กับภรรยา ภาพสวยดีครับ ดีมากเลยที่ดูในโรงฯ เต็มตาดีครับสำหรับรูปวิวสวยๆ
ผมว่าเหมาะกับคนชอบถ่ายรูปนะครับเรื่องนี้

 

โดย: คนขับช้า 21 ธันวาคม 2549 2:14:28 น.  

 

อีกเรื่องที่เพิ่งเข้าโรงไปแล้ว คือ เรื่อง tokyo tower ค่ะ เพิ่งฉายไปเมื่อเดือ เม.ย. ปีนี้ค่ะ ลองซื้อแผ่นมาดูแล้วกันนะคะ เป็นเรื่องครอบครัวที่ใกล้เคียงกับ village album และก็เศร้าไม่แพ้กันเลยค่ะ

 

โดย: redcherry09 IP: 61.7.133.33 28 พฤษภาคม 2551 9:41:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
29 พฤศจิกายน 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.