www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Red Eye , ไม่ใช่แค่ Fight or Flight แต่ยังเป็น Fight on Flight



รู้หน้าไม่รู้ใจ ยังเป็น คำสอนของคนโบร่ำโบราณที่ได้ผลเสมอ คนหล่อๆสวยๆกับคำพูดหวานๆ มีเสน่ห์ให้ตายใจ อาจลวงให้เราไปตายได้โดยไม่รู้ตัว

...ในวันที่ Lisa Reisert เดินทางกลับบ้าน ท่ามกลางสภาวะอากาศไม่เป็นใจ สายการบินส่วนใหญ่งดเดินทาง เที่ยวบินไปไมอามี่ของเธอถูกเลื่อนไปออกเดินทางเที่ยวกลางดึก ระหว่างรอขึ้นเครื่อง ดังบุพเพสันนิวาสที่ทำให้เธอได้พานพบกับชายหนุ่ม Jackson Rippner ชายหนุ่มหน้าตาดีที่เข้ามาโอภาปราศรัยกับเธอในโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนฟ้าลิขิต แต่ฟ้าคงลิขิตไว้แค่ครึ่งเดียวเพราะอีกครึ่ง เรื่องราวของคนที่น่าจะกลายเป็นคู่รัก ต้องกลายเป็น คู่ฟัด แทน เมื่อเขาจับพ่อเธอไว้เป็นตัวประกันแลกเปลี่ยนให้เธอทำตามข้อตกลงง่ายๆหนึ่งอย่าง ข้อตกลงที่จะทำให้คนบริสุทธิ์จำนวนหนึ่งต้องตาย การแลกเปลี่ยนนี้น่าจะเป็นไปได้ด้วยดี หากเสียแต่ว่าไม่ใช่แค่เขาที่เป็นมืออาชีพ เธอเองก็เป็นมืออาชีพในงานตัวเอง ไม่ใช่แค่เขาที่หน้าใสๆจะไว้ใจได้กา เพราะเธอก็ไม่ใช่หน้าสวยๆที่ไว้ใจและว่าง่ายเช่นกัน

...หากหนังเรื่องนี้เป็นการเดินทาง ก็สามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วง คือ ก่อนขึ้นเครื่อง บนเครื่องบิน และ ลงสู่ภาคพื้นดิน

ก่อนขึ้นเครื่อง

... หนังเรื่องนี้แสดงความรู้หน้าไม่รู้ใจออกมาตั้งแต่แรก เพราะหากไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อน คนดูคงไม่คิดว่าหนังที่เล่าเรื่องเหมือนพรหมลิขิต ของ หนุ่มสาวที่มาปิ๊งกันที่สนามบิน ถัดจากนี้จะกลายเป็นอีกอารมณ์หนึ่งเหมือนพลิกฝ่ามือ หนังสร้างช่วงเวลาที่สนามบินก่อนขึ้นเครื่องนี้ได้โรแมนติกไม่เลวทีเดียว ในการให้สองดารานำได้มาพบกัน ทำความรู้จัก และ สนิทสนมกันภายในเวลาอันสั้น

หนังในช่วงนี้ใช้เวลาอีกส่วนในการบรรยายคาแรคเตอร์ของตัวเอกทั้งสองให้เราได้รู้จักมากขึ้น ระหว่างชายหนุ่มผู้ขายเสน่ห์ มีน้ำใจ เข้าอกเข้าใจคนอื่น กับ หญิงสาวบุคลิคนักบริหารจัดการในทุกสถานการณ์ยุ่งยาก ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน หรือเรื่องคนอื่น หนังทิ้งอะไรหลายๆอย่างไว้ในช่วงนี้ให้กับช่วงที่เหลือหยิบไปเล่นต่อ จังหวะที่หนังส่งชายหนุ่มคนนี้ให้มาเจอกับนางเอก ถ้าหนังจบแค่นี้ก็ถือว่า Wes Craven ทำช่วงเวลาโรแมนติกสั้นๆได้น่าเชื่อถือพอสมควร แต่ใครจะคาดเหมือนกับที่ตัวนางเอกคิด ว่า ...

บนเครื่องบิน

... หากการดูหนังเรื่องนี้เป็นการเดินทาง ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ทัศนวิสัยการบินดีที่สุดของการเดินทางครั้งนี้ หนังพลิกมาเป็นหนังตื่นเต้นภายใต้สถานการณ์บังคับในเนื้อที่จำกัด ต้องชิงไหวชิงพริบกันระหว่างตัวละคร 2 ตัว ที่ต้องชมคือบทที่เขียนมาดีมาก ใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมในเครื่องบินให้เป็นประโยชน์ได้ดี ฉลาดในการนำสิ่งที่ปูพรมไว้ช่วงแรกมาใช้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอื้อให้มีการเล่นกับจังหวะสร้างการลุ้นได้อยู่ตลอดเวลา เช่น ใช้ความเป็นคนมีเสน่ห์มีน้ำใจที่หนังแสดงให้เห็นในตอนต้นของชายหนุ่ม มาเป็นตัวบีบเขาให้ต้องช่วยเหลือคนอื่น ทำให้นางเอกมีจังหวะที่จะหาทางเอาตัวรอด หรือ ใช้หนังสือที่ถูกพูดถึงในตอนแรกมาเป็นหนึ่งเครื่องมือในโอกาสรอดของนางเอก ฯลฯ

แล่นลงดิน

... นับตั้งแต่ล้อเครื่องบินแตะภาคพื้นดิน ยิ่งช่วงสุดท้ายในบ้าน ผมรู้สึกเหมือนกับว่า Wes Craven กลับไปใช้สูตรสำเร็จเดิมกับการต่อสู้ไล่ล่ากันแบบแมวจับหนู ชนิดที่เรียกว่า ถ้าเปลี่ยนจาก Cillian Murphy เป็นฆาตรกรหน้ากากผี และ Rachel McAdams เป็น Neve Campbell แทน ก็จะเป็น Scream อีกเวอร์ชั่นหนึ่งได้เลย น่าเสียดายที่บทดีๆถูกเขียนไว้แค่ช่วงที่อยู่บนเครื่อง ชั้นเชิงทั้งหลายที่หนังโชว์ไว้บนเครื่องถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง รายละเอียดที่หนังปูไว้ในตอนแรกๆเหมือนของหมดสต็อค ทำให้ช่วงเวลานี้กลายเป็นส่วนของแอคชั่นไล่ล่าเขย่าขวัญอย่างเดียว ในช่วงนี้หนังก็ยังดูสนุกอยู่เพียงแต่เป็นความสนุกไล่ล่าที่ไร้ชั้นเชิงเท่านั้นเอง

... เหตุการณ์ 9/11 เชื่อว่ายังเป็นฝันร้ายที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของอเมริกันชนและชาวโลก เป็นบาดแผลที่ยากต่อการลบเลือนเหมือนรอยแผลเป็นบนตัวนางเอก

หาก Jackson Rippner เป็นตัวแทนของเหล่าก่อการร้าย Lisa Reisert ก็ถูกนำเสนอเป็นเหมือนตัวแทนของอเมริกา ที่ครั้งหนึ่งก็เคยถูกคุกคามจากฝ่ายตรงข้ามมาแล้วเหมือนกัน และได้บาดแผลที่ไม่สามารถลบเลือนอยู่ติดตัว (อเมริกาเคยถูกคุกคามจากผู้ก่อการร้าย - เธอเคยถูกคุกคามจากผู้ชายที่ชั่วร้าย) ดังนั้นครั้งนี้บนเครื่องบิน พาหนะที่เคยทำให้เธอ (อเมริกา) ต้องเกิดแผลมาก่อน เธอ (Lisa Reisert + อเมริกา) จึงประกาศโต้ตอบผ่านหน้าจอกลายๆว่า เธอไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้อดีตคอยตามคุกคามเป็นฝันร้ายในปัจจุบัน เพราะเธอถือคติประจำใจว่าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์เลวร้ายมันเกิดขึ้นซ้ำสองอีก

หนังยังฉายประเด็นรู้หน้าไม่รู้ใจ ที่ ไม่ใช่หมายถึงแค่ตัวหนัง ไม่ใช่แค่ตัวร้าย แต่รวมไปถึงตัวนางเอกด้วย จะว่าไปแล้ว ตัวผู้ร้ายเองก็เลือกคนผิดจริงๆ ที่บอกว่าเขาติดตามดูเธอมาหลายสัปดาห์เห็นชีวิตที่จมปลักซ้ำซากของเธอ แล้วสรุปความไปแค่ว่าเธอเป็นคนที่ไม่มีอะไรนอกจากมีอดีตที่ขื่นขม นั่นเป็นการบทสรุปของมืออาชีพที่พลาดไปอย่างมากกับการมองอะไรเพียงผิวเผิน หากเพียงเขาลองวิเคราะห์โปรไฟล์ของเธอสักนิดจะพบว่า

เธอสูญเสียความเป็นครอบครัว (พ่อ-แม่แยกทาง) สูญเสียญาติ (เพิ่งกลับจากงานศพยาย) ถูกหยามศักดิ์ศรีและเหยียบย่ำความเป็นคน (จากเหตุการณ์ในอดีต) คนที่ประสบภาวะสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า จริงอยู่ส่วนหนึ่งจะเป็นคนที่ซึมเศร้าถดถอย แต่ อีกส่วนหนึ่งการสูญเสียกลับทำให้คนบางคนสามารถเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ

...เมื่อปี 1920 Walter Cannon แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านสรีระวิทยา ได้อธิบายทฤษฎีหนึ่งไว้ ว่า เมื่อเผชิญกับภาวะตึงเครียดกดดัน ร่างกายของสัตว์จะมีการกระตุ้นที่ระบบประสาทอัตโนมัติมีการหลั่ง ADRENALINE มากขึ้น เกิดภาวะที่เรียกว่า Fight or Flight เพื่อที่จะเอาตัวรอด การเอาตัวรอดมีอยู่สองทาง นั่นคือ การสู้หรือถอยหนี คนเราเมื่อเจอเหตุการณ์วิกฤตในชีวิต การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นสามารถทำให้คนๆนั้นกลายเป็น คนขี้กลัว เก็บกด หรือ ไม่ไว้ใจสังคม เก็บตัวเก็บอารมณ์ (introvert) หวาดกลัว (phobia) ในขณะที่บางคนกลับตอบสนองในทิศทางตรงกันข้าม คือ กลายเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ และ กล้าจะสู้กล้าโต้ตอบ(counter -phobia)

และคนอย่าง Lisa Reisert สิ่งที่เธอเลือกจากทฤษฎี Fight or Flight นั่นคือเธอเลือก Fight on Flight

…. Red Eye เป็นหนังระทึกขวัญภายใต้สถานการณ์บังคับในสถานที่บีบแคบกับเวลาที่ถูกจำกัด การสร้างหนังที่อยู่ใต้ข้อแม้ดังกล่าวนั้น ยากเย็นทีเดียวที่จะทำออกมาได้ สมจริง และ ระทึกขวัญ ไปได้พร้อมๆกัน ในรอบหลายปีนี้หนังที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขคล้ายๆกัน(เวลา,สถานการณ์บังคับ) ที่สนุกที่สุดที่ผมนึกออกคือ 24 หนังซี่รี่ส์ที่เดินเรื่องตามเวลาจริง 24 ชั่วโมงได้ตื่นเต้นน่าเชื่อถือในความโม้ ชนิดดูจบ 6 แผ่นภายในวันเดียว น่าทึ่งที่ทำออกมาถึง Season 3 ความสนุกระทึกก็ไม่ลดหย่อนลงเลย ล่าสุดก็ได้แต่คอย Seasdon 4 ออกมาไวไว หากเป็นหนัง เรื่องที่มีเงื่อนไขใกล้เคียงกับ Red Eye มากสุดไม่นานมานี้ก็คงจะมี Phone Booth ที่อยู่ภายใต้ข้อแม้(เวลา,สถานที่จำกัด,สถานการณ์บังคับ)เดียวกัน ทั้ง 2 เรื่องที่ยกมาเปรียบเป็นตัวอย่างอันดีของความสมจริงและสนุก ตรงข้ามกับ Red Eye ผีรถไฟของเกาหลีที่มีเงื่อนไขเหมือนกัน(เหตุเกิดในรถไฟภายในเวลาจำกัด) แถมชื่อยังเหมือนกันอีก แต่ความสนุกตื่นเต้นกลับตรงกันข้าม

.... เมื่อได้ดูหนังตัวอย่าง Red Eye ผมรู้สึกชื่นชมในไอเดียที่หลอกให้คนดูหลงนึกว่าดูหนังรักดีๆเรื่องหนึ่ง ก่อนจะตลบหลังคนดูเมื่อขึ้นเครื่องบินด้วยคำพูด และ การแสดงของ Cillian Murphy พร้อมดนตรีประกอบที่เปลี่ยนธีมไปทันที และทำให้คนดูได้รู้ว่านี่คือหนังเขย่าขวัญ กลายเป็นหนังตัวอย่างที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้สำหรับผม นั่นทำให้ผมเองอดใจไม่อยู่อยากขึ้นเครื่องบินเที่ยวนี้มานาน จนได้โอกาสเหมาะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ไปตีตั๋วที่ SF MBK

.... Red Eye เป็นหนังเขย่าขวัญที่ทำออกมาได้สนุก มีคุณภาพ และถึงพร้อมในแทบทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาระทึกบนเครื่องบิน ความสำเร็จส่วนนี้มาจากการกำกับของ Wes Craven ที่ทำออกมากระชับฉับไวตื่นเต้น หนังจะกลายเป็นแค่หนังระทึกขวัญธรรมดาๆเรื่องหนึ่งเท่านั้น หากไม่ได้บทที่ดีเช่นนี้ เพราะการได้บทที่ใส่ใจต่อรายละเอียดและมีบทสนทนาที่เขียนขึ้นอย่างฉลาด เฉียบแหลม ( ชอบตอนที่พูดถึง ความเป็นชาย-หญิงจากแรงขับ female-based, emotion-driven / male-based, fact-driven logic หรือ การล้อชื่อของตัวเอกที่พ้องกับฆาตกรโรคจิตชื่อดัง หรือ ตอนที่ตัวเอกตอบแอร์โฮสเตสอย่างฉลาดว่า นางเอกของเราร้องให้เพราะ a death in the family. ที่หมายความได้ทั้งยายที่เสียไปหรือพ่อที่ตกอยู่ในเงื้อมมือเหล่าร้าย ฯลฯ) ทำให้หนังโดดเด่นกว่าหนังระทึกขวัญทั่วๆไปขึ้นมาทันที เมื่อบวกกับองค์ประกอบชั้นดี เช่น งานสร้างที่สมจริง นักแสดงมีฝีมือ ส่งผลให้ Red Eye เป็นหนังเขย่าขวัญแถวหน้าของปีขึ้นมาทันที เสียดายอยู่ตรงที่ว่าผมเองคาดหวังว่าหนังจะมีอะไรที่ให้ประหลาดใจมากกว่านี้ แต่หนังมีอะไรให้แปลกใจไม่มากไปกว่าหนังตัวอย่างเสียเท่าไหร่

... และคงจะดีกว่านี้มาก หากช่วงท้าย หนังจะมีอะไรมากไปกว่าการไล่ล่าฆ่ากัน โดยไม่เหลืออะไรให้คนดูได้ลุ้นหรือพลิกแพลงเลย หนังได้ Brian Cox มาแสดงแบบไม่คุ้มเท่าไหร่นักเพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากเขาเลย คงเป็นเพราะคนเขียนบทมุ่งเน้นแต่กับที่ 2 ตัวเอกอย่าง Rachel McAdams ที่นับวันยิ่งน่าจับตามองมากขึ้นทุกที เธอจะเล่นเป็นนางเอกหวานๆก็ได้(The Notebook) นางร้ายขาวีนก็ดี ( Mean Girls ) ในเรื่องนี้ช่วงท้ายพอเธอต้องแปรสภาพเป็นอีสาว Kill Bill เธอก็ดูทะมัดทแมงคล่องแคล่วไม่เบา ส่วน Cillian Murphy แสดงเป็นผู้ร้ายที่มีความเป็นมืออาชีพได้ดีนับตั้งแต่การเล่นเป็น ชายหนุ่มหน้าใสนัยน์ตาโรคจิตที่หว่านเสน่ห์ในตอนแรก ก่อนจะมาแปรเปลี่ยนเป็น ชายหนุ่มหน้าใสใจกว้างแต่โหดเอาการในตอนหลัง ทั้งสองส่วนนี้เขาเล่นได้ดี แถมยังเล่นให้ดูป่วยจิตออกมาพอเหมาะ ไม่รู้ว่าแกไม่เบื่อหรืออย่างไรกับการป่วยจิตซ้ำซ้อนนับตั้งแต่ บท Scarecrow ใน Batman Begin แถมงานชิ้นต่อไปก็รับบทกระเทยแต่งหญิงใน Breakfast on Pluto ต่ออีก

Wes Craven ได้งานชิ้นนี้เหมือนเป็นการชุบชีวิตกลับมาอีกครั้งหนึ่งของเขา บทบาทผู้กำกับที่สร้างความระทึกขวัญ เขายังเป็นมือต้นๆของวงการอย่างไม่ต้องสงสัย ช่วงหลังๆอาจดูเหมือนชื่อของเขาจะไปพัวพันกับหนังหลายเรื่องที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งหากดูจริงๆ ชื่อของเขานั้นไปอยู่ในหนังฐานะอื่น เช่น ผู้อำนวยการสร้าง แต่ในฐานะผู้กำกับในรอบ10 ปีมานี้เขากำกับหนังมาแค่ 6 เรื่อง เป็นหนังสยองระทึกขวัญ 5 เรื่อง นั่นคือ Scream ทั้ง 3 ภาค Cursed และ Red Eye เขาทำให้คนดูได้เห็นว่า หากเขามีบทดีๆอยู่ในมือเมื่อไหร่ เขาเองก็พร้อมที่จะแปรสภาพให้มันเป็นหนังเขย่าขวัญชั้นดีให้คนดูได้ดูได้ทุกเมื่อเช่นกัน

สิ่งที่ชอบ

1.บทภาพยนตร์ ... การมีบทที่ดี เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Red eye ประสบความสำเร็จในการสร้างความสนุกแบบมีกึ๋นให้กับคนดู Carl Ellsworth มือเขียนบทที่มาเขียนบทหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก (แต่เป็นมือเก่าในการเขียนบทมาแล้วจากซีรี่ส์ "Buffy the Vampire Slayer" )เป็นคนสำคัญที่สมควรได้รับคำชม และ จากเรื่องนี้น่าจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนเขียนบทที่หลายสำนักจับจองอยากได้ตัวแน่นอน

2. สองนักแสดงนำ ... หนังเล่นกันแค่ 2 คนเป็นหลัก หากได้นักแสดงที่ไม่มีความสามารถมากพอต่อให้บทดี ก็ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ได้คนหน้าตาดีและเล่นหนังดีสองคนมาห้ำหั่นกันด้วยชั้นเชิงของความเป็นมืออาชีพ จึงยิ่งเสริมตัวหนังให้ดีขึ้นไปอีก

3.ช่วงเวลาบนเครื่อง ... สนุกตื่นเต้นดี

4. ความกล้า ... จะมีสักกี่เรื่องที่กล้าปล่อยช่วงเวลาแรกให้เป็นช่วงเวลาพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะกันได้นานขนาดนั้น หนังกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะไม่รอช้าที่จะเร่งเข้าสู่จุดตื่นเต้น แต่หนังเรื่องนี้ใจเย็นพอที่จะคุมให้คนดูติดตาม และ หนังก็ทำได้สำเร็จเสียด้วย เป็นการโชว์การกำกับหนังที่ทำได้อย่างมีชั้นเชิงของตัวผู้กำกับ เพราะหากช่วงเวลานี้ทำได้ไม่ดีพอ มันจะกลายเป็นตัวถ่วงที่น่าเบื่อขึ้นมาทันที

สิ่งที่ไม่ชอบ

1.ช่วงแลนดิ้ง ... นับตั้งแต่ลงจากเครื่อง จนจบ หนังไม่มีกลเม็ดเด็ดพรายหรืออะไรดีๆเช่นในตอนแรก สิ่งที่ตรึงคนดูมีเพียงความตื่นเต้นจากการวิ่งไล่ฆ่ากันเท่านั้นเอง แถมตอนจบก็ง่ายแสนง่ายไม่น่าจดจำ

สรุป... Red Eye เป็นหนังเขย่าขวัญชั้นดี ฉลาด มีชั้นเชิงและมีกึ๋น ความสนุกในเรื่องภายใต้เหตุการณ์บังคับทำให้คนดูได้ลุ้นว่านางเอกจะหาทางรอดอย่างไร ไม่น่าเสียดายเงินเลยหากชอบหนังแนวนี้ แต่ อย่าคาดหวังว่ามันจะมีอะไรแปลกใหม่เหนือความคาดหมายมากนัก เพราะมันเป็นเพียงหนังโครงเก่าๆที่ทำออกมาได้ดีกว่าที่คิด มีคุณภาพ และ อยู่ภายใต้ความเป็นมืออาชีพของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วนในเรื่องอย่างแท้จริง




ความเห็นของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป

ติดตามบทความใหม่ๆ หรือ บทความน่าสนใจ หรือ เริ่มต้นอ่านBlogนี้มีข้อสงสัย คลิกไปเริ่มต้นที่ --> หน้าแรก


รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2548
36 comments
Last Update : 14 ตุลาคม 2548 1:41:56 น.
Counter : 6861 Pageviews.

 

ชอบครับ แฮ่ๆๆๆ

เหมือนผมเลยครับ ชอบนั่งตะบี้ตะบันดู 24 ต่อกันให้หมดวันไปจริงๆ เลย

 

โดย: หมื่นทิพ TRAVOLTA (เทพบุตรตบะแตก!! ) 14 ตุลาคม 2548 2:17:16 น.  

 

ข้อความต่อไปนี้ COPY มากจาก //www.bioscopemagazine.com/webboard/index-in.php?id=22010

3. Red Eye (A)

อารมณ์ต่อหนังเรื่องนี้ แบ่งออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ

3.1 ช่วงก่อนขึ้นเครื่องบิน
รู้สึกว่าช่วงนี้มีบรรยากาศที่ชวนฝันและโรแมนติกมากๆ แม้ว่านางเอกจะเจอเหตุการณ์วุ่นวายชวนประสาทขนาดไหน แต่เพราะการปรากฏตัวของพระเอก ก็ทำให้ทุกๆอย่างรอบข้างกระโดดกระเด้งเกระเด็นกระจายหายออกไปหมด เพราะผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลอย่างรุนแรงต่อหนัง

ว่าไปแล้วจริงๆ เวส คราเว่น อาจจะมือขึ้นกับหนังโรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ย

3.2 ช่วงบนเครื่องบิน
เป็นช่วงที่ชอบที่สุดครับ ชอบภาวะกดดันของสถานการณ์ในช่วงเวลานี้มากๆ (ซึ่งตัวพระเอกเองก็ใช้คำกิริยาว่ากำลัง "กดดัน" นางเอกเหมือนกัน)

รู้สึกว่าหนังในช่วงนี้ลงตัวเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาพ มุมกล้อง หรือเพลงประกอบ

3.3 ช่วงลงจากเครื่องบิน
เสียดายมากๆ เลยครับที่ช่วงนี้ "เสน่ห์" ของหนังลดลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะฉากปะทะกันใน "บ้านนางเอก" เพราะตัวร้ายในตอนนี้ดูบ้าเลือดสติแตกไปหน่อย ดูเหมือนสิ่งที่เขาพยายามจะทำอย่างเดียวก็ "ฆ่า ฆ่า ฆ่า และฆ่า นางเอกให้ได้" ซึ่งมันทำให้เขากลายเป็น "ฆาตกรโรคจิต" มากกว่า "นักก่อการร้ายมืออาชีพ" (ที่หนังอุตส่าห์ปูคาแร็กเตอร์มาเสียดิบดีตั้งแต่ต้นเรื่อง) และที่สำคัญมันทำให้ตัวละครนี้ดู "โง่ลงอย่างกะทันหัน"

-- ชอบตัวละครของ ซินเธีย (สาวรีเซ็ฟชั่น) ครับ เธอเหมือน แอนนี่ วีเจช่อง MTV ดี

-- รู้สึกว่าผู้ก่อการร้ายในหนังเรื่อง Red Eye น่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายที่หล่อที่สุดในโลก

-- หลังจากดูหนังเรื่องนี้ไป รู้สึกว่า ซิลเลียน เมอร์ฟี่ เป็นนักแสดงที่น่าสนใจเอามากๆ (โดยเฉพาะเมื่อเห็นรูปที่เขาเล่นเป็นกะเทยใน BIO เล่มใหม่) และที่สำคัญ Red Eye ทำให้ผมถอดชื่อ เวส คราเว่น ออกจาก "ผู้กำกับอันตราย" แล้วครับ

 

โดย: merveillesxx 14 ตุลาคม 2548 3:30:41 น.  

 

อันนี้อ่านแบบเต็มๆ ได้ค่ะ เพราะคงไม่ดูในโรงแน่ๆ แล้ว เพราะหมดตัวจากงานหนังสือ


อืมม์...สนใจความเห็นคุณ Merveillesxx น่ะค่ะที่ว่า ผู้กำกับคนนี้อาจเหมาะกับหนังโรแมนติก


มาอ่านประสาแฟนประจำค่ะ

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 14 ตุลาคม 2548 9:06:15 น.  

 


เรื่อง 'ตาแดง' นั้นดูแล้วเดินออกจากโรงหนังแบบ ตาแดงเลย นึกในใจว่าช่างเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จมาก แต่ว่าเป็นหนังตัวอย่างนะครับ! ทำได้หน้าดูมากกกก จำได้ว่าตอนนั้นมีโปรแกรมจะเข้าแล้วก็เลื่อนออกไป แต่พอได้มาดูเรื่องจริง ...เป็นหนังที่ผิดหวังสุด โจรตอนแรกฉลาดดี แต่พอมากกลางๆเรื่องทำไมมันโง่ลงๆ (เอ๋ ! ต้องโง่ขึ้นซิ) ก็ไม่รู้ แล้วจู่ๆนางเอกก็ดันมีความกล้าขึ้นมาอีก ...ทั้งๆที่ตอนแรกกลัวมาก สั่งอะไรก้ทำหมด เฮ่อ! ไม่ยากจะพูดถึงเรื่องนี้เลย

 

โดย: merf1970 14 ตุลาคม 2548 10:40:28 น.  

 

สวัสดีค่ะ ตัวอย่างหนังทำได้ดีจริงๆค่ะ แต่พอดูหนังแบบเต็มๆแล้ว ไม่ไหว แทบจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย น่าเบื่อจนอยากลุกออกจากโรง ขนาดใช้movie passยังเสียดายเวลาเลยค่ะ

 

โดย: ameagari 14 ตุลาคม 2548 12:36:20 น.  

 

ยังไม่ได้ดูเลยค่ะเรื่องนี้แต่ว่าไม่พลาดแน่นอน
อ่านรีวิวมาหลายบล็อกแล้วแต่ก็ไม่หมดความสนุกค่ะต้องลองดูเอง แล้วยิ่งอ่านก็ยิ่งทำให้อยากดูมากขึ้นเรื่อยๆ

แค่อ่านอย่างเดียวยังรู้สึกชอบเพราะชอบหนังที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวแสดงมากมาย เพราะแค่ไม่กี่คนก็สามารถทำหนังที่ดูเหมือนธรรมดาให้กลายเป็นหนังสนุกได้ ทั้งเรื่องคงคิดว่าคงเพราะฝีมือการเขียนบทล่ะค่ะที่สำคัญ

ขอบคุณที่เขียนแนะนำนะค่ะ

 

โดย: JewNid 14 ตุลาคม 2548 13:12:20 น.  

 

เห็นด้วยกะคุณผมนะครับ

 

โดย: joblovenuk 14 ตุลาคม 2548 14:05:32 น.  

 

วิเคราะห์หนังได้ดีนะค่ะ เห็นด้วยค่ะ

 

โดย: lovemeloveyakult 14 ตุลาคม 2548 14:15:08 น.  

 

กำลังคิดอยู่ว่าจะไปดูดีหรือเปล่า รู้สึกว่า Flightplan จะน่าดูกว่า(มั้ย)นะ
ถ้าเทียบกับหนังแบบ The interpreter เป็นไงบ้างคะ ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันแนวเดียวกันรึเปล่า
(ถ้าเหมือน scream ก็ไม่ค่อยอยากดูเท่าไหร่ ถึงจะตื่นเต้นดี แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยน่ะ)

 

โดย: azzurrini 14 ตุลาคม 2548 17:02:38 น.  

 

อยากดู ชอบนางเอกมั่กมาก

 

โดย: Bi-Tong IP: 202.28.181.7 14 ตุลาคม 2548 19:34:17 น.  

 

azzurrini
... ตอบไม่ได้ว่า FightPlan จะน่าดูกว่ามั้ย เพราะยังไม่ได้ดู ที่เปรียบว่าเหมือนScreamแค่ช่วงท้ายๆเอง ที่เหลือสนุกและมีอะไรกว่าการไล่ล่าธรรมดาครับ (คนละแนวกับ Interpreter แน่ๆจ้า)

 

โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" 14 ตุลาคม 2548 22:51:13 น.  

 

แหะๆ ช่วยอธิบายอีกหน่อยได้มั้ยคะ ว่ามันต่างกันยังไงบ้าง

 

โดย: azzurrini 15 ตุลาคม 2548 13:17:46 น.  

 

^
^
... ถ้าแบ่งตามแนวหนัง(Genre)

Interpreter - น่าจะเป็น Thriller ที่ไปทาง Drama + Political Thriller เน้นความสมจริงและเรื่องของการเมืองที่มาเกี่ยวข้อง และ ชีวิตของตัวละคร

Red Eye - น่าจะเป็น Thriller ที่ออกไปในทาง Action - Thriller โดยอาจไม่ได้มีฉากแอคชั่นทางกายมาก แต่เป็นการห้ำหั่นกันในจังหวะและโอกาส+ไหวพริบในการเอาตัวรอด ก่อนจะเป็นฉากแอคชั่นเยอะตอนท้ายๆ

 

โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" 15 ตุลาคม 2548 20:33:12 น.  

 

ชอบมากค่ะ เรื่องนี้ บทสนทนาแต่ละบทนี่ ฉลาดๆทั้งนั้นเลยตื่นเต้นมากๆ ด้วย

 

โดย: LiZz IP: 202.5.84.173 16 ตุลาคม 2548 21:30:09 น.  

 

ขอบคุณค่ะพี่ พอเข้าใจแล้วล่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะได้ดูรึเปล่า จะสอบอีกแล้วง่ะ

 

โดย: azzurrini 17 ตุลาคม 2548 0:51:13 น.  

 

เวส คราเวน เคยให้สัมภาษณ์ว่าหนังเรื่องนี้เขาได้รับแรงบัลดาลใจจากเรื่องPhone Boothนะคะ อารมณ์ในหนังน่าจะคล้ายๆกัน

 

โดย: แมวน้อยคอยรัก IP: 210.246.68.230 17 ตุลาคม 2548 19:13:18 น.  

 

สวัสดีค่ะ
คุณผมอยู่ข้างหลังคุณ ใช้คำอธิบายได้ดีค่ะ
ดูทั้งเรื่องชอบนางเอกที่สุดค่ะ สวย น่ารัก ดูแล้วเพลิน
แฟนคลับเยอะ น่าอิจฉาจัง

 

โดย: red cheeks IP: 61.91.135.137 17 ตุลาคม 2548 21:46:21 น.  

 

กำลังว่าจะไปดูเหมือนกันค่ะพี่
สารภาพว่าเหตุผลหลักที่อยากดูคือ ชอบนางเอกคนนี้มากๆ แต่ว่าอ่านreviewของหลายๆคนดันไปรู้เรื่องทั้งหมดรวมทั้งตอนจบแล้วนี่น่ะสิY__Y

สงสัยจะได้ไปดูกะคุณ Azzurrini แหงมๆ \\\\

 

โดย: โยเกิร์ตรสสตอว์เบอร์รี่ 17 ตุลาคม 2548 21:57:25 น.  

 

ปกติไม่ค่อยได้ดูหนังแนวนี้ครับ อ่านดูแล้วคิดว่าบทน่าจะดีนะครับ แต่คงไม่ไปดูที่โรงละครับ (เหตุผลเหมือนคุณสาวไกด์ครับ)

 

โดย: ปรีดา (Aka Prita ) 17 ตุลาคม 2548 22:03:39 น.  

 

^
^
... ช่วงนี้หลายคนกระเป๋าเหี่ยว เพราะหนังสือทั้งนั้นเลยนะครับ รวมถึงผมด้วย ดีที่ซื้อ movie passport ไว้ ก็เลยยังตักตวงได้ต่อไป (โอ้ จอร์จ โปรโมชั่นนี้มันยอดมาก)

 

โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" 17 ตุลาคม 2548 22:19:47 น.  

 

จะรอดู Flight plan อาทิตย์หน้า น่าจะสนุกกว่า !!

 

โดย: WoNBiN IP: 203.146.6.67 18 ตุลาคม 2548 11:00:10 น.  

 

ว้าวววววววววววว

 

โดย: Elrond 20 ตุลาคม 2548 20:00:02 น.  

 

ผมเลือก vote ข้อ 5 ครับ...เสียดายตังค์
ผมว่าช่วงแรกๆมันเหมือนจะมาดี
แต่ช่วงหลังๆดูไปแล้วไม่เห็นจะมีอะไรเลย
เหมือนจะกดดันแต่ก็ไม่เต็มที่
จะซับซ้อนก็ดูเหมือนตื้นๆ
ตัวร้ายดูเหมือนจะฉลาดแต่ก็เสียท่าง่ายเกิน
โง่ลง โง่ลง หมดท่ามืออาชีพเลย
แถมตอนไล่กันในบ้านตอนใกล้จบนี่ให้ความรู้สึกเหมือนดู scream เลย
แทนที่จะลุ้นผมกลับขำ
จับใส่หน้ากากหน่อยนี่ใช่เลย

 

โดย: kimprite 21 ตุลาคม 2548 14:58:34 น.  

 

ชอบออกนะเรื่องนี้ อยากดูมากตั้งแต่เห็นหนังตัวอย่าง หลังๆเห็นเพื่อนที่ไปดูมาแล้วบอกงั้นๆ เราก็ยังไปดูอยู่ดี
สุดท้ายดูจบ เราก็ว่าดีออก ดูเพลินๆดี

เออว่าแต่ อยากเห็นเวส คราเว่นกำกับหนังรักโรแมนติกแหะ

 

โดย: Androphobia (Androphobia ) 23 ตุลาคม 2548 14:25:20 น.  

 

อยากดูอ่ะ แต่ยังไม่ได้ดู ยังไม่อ่านบทวิจารณ์ของพี่ดีกว่า ดูแล้วค่อยกลับมาอ่าน^

 

โดย: gifu (heartfelt melody ) 4 พฤศจิกายน 2548 17:20:29 น.  

 

ช่วงก่อนขึ้นเครื่อง และบนเครื่อง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง.... คิดไม่ถึงเลยทีเดียว
ตัวเอก (ญ) ดูเป็นคนธรรมดาดีค่ะ ไม่ต้องเก่งมาก สับสน เป็นความรู้สึกทั่วไปที่มักเกิดขึ้น เมื่อคนเราถูกคุกคาม...
บทสนทนาเยอะ จนบางครั้งที่ไม่ตั้งใจฟัง อาจจะทำให้เบื่อได้ง่ายค่ะ....
ตัวร้ายไม่ค่อยเก่งค่ะ action ก็เลยไม่สนุกเท่าไหร่

 

โดย: mda IP: 203.159.0.10 29 พฤศจิกายน 2548 12:00:46 น.  

 

หลัง LANDING ก็ไม่มีอะไรให้ลุ้นจริง ๆ หล่ะ
แต่ว่าส่วนตัวชอบเรื่องนี้มากกว่า Flightplan นะ
ที่เหมือนกันคือ 2/3 ดี 1/3 ไม่หนุกแล้ว เดาได้ ..

 

โดย: คนที่คุณก็รู้ว่าใคร IP: 203.144.196.34 20 มกราคม 2549 15:48:56 น.  

 

โดยส่วนตัว คิดว่าหนังเรื่องเนี้ย จัดว่า...เอ่อ ...ไม่ค่อยดีนักครับ
เพราะดูธรรมดามาก มุขง่ายเกินไป ชนิดคนดูเดาได้ไม่ยาก ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกประหลาดใจอะไร วิธีแก้ปัญหาของนางเอกก็ดูไม่น่าทึ่ง ชนิดดูแล้วกะว่าต้องจับได้แหงๆ
ตัวร้ายฝีมือกระจอกสุด ไม่รู้สึกว่ามันฉลาดเท่าไหร่ ดูเหมือนไม่ค่อยได้วางแผนอะไร ตอนจบง่ายสุดๆ เป็นหนังห่วยๆไปเลย
ตัวประกอบ ถูกใช้เปลืองโดยใช่เหตุ แต่ละตัวไม่ค่อยมีประโยชน์กับเนื้อหาเท่าไหร่ รู้สึกประมาณว่า เกริ่นมาตั้งนาน มันทำแค่เนี้ยนะ

สรุปว่าเป็นหนังดูแก้เซ็ง แต่ไม่ต้องคาดหวังไรแล้วกัน

 

โดย: xxx IP: 161.200.107.169 28 มกราคม 2549 2:41:40 น.  

 

เพิ่งได้ดูจาก DVD คิดว่าเป็นหนังที่สนุกใช้ได้เรื่องหนึ่งน่ะครับ ผมก็งงๆ กับบางคนที่บอกว่าเป็นหนังห่วย เสียดายตังค์ แต่ก็นั่นแหละครับ คนเราคงจะความคิดไม่เหมือนกัน เห็นด้วยกับคุณเจ้าของ blog นะครับ ว่าบทสนทนาดีมาก ตั้งแต่ตอนช่วงแรกจนถึงช่วงอยู่บนเครื่อง ถึงแม้ช่วงท้ายออกจะเล่นง่ายๆ ไปหน่อย แต่โดยรวมๆ ก็ถือว่าดีทีเดียวครับ

 

โดย: LeO2N IP: 203.188.53.229 6 พฤษภาคม 2549 7:39:35 น.  

 

พึ่งรู้ตัวว่าเป็นคนชอบหนังที่อยู่บนเครื่องบิน หรือ ไม่ก็ในเรือแล้วล่มนะเนี่ย
ดู Flight Plan จบ มาดู Red eye ต่อ
ในความรู้สึก Red eye มันส์กว่าอะ
ดูตัวละคร ตอบโต้กันอย่างฉลาดดี คอยลุ้นว่านางเอกจะมีวิธีหนีรอดยังไง มันส์ใช้ได้ทีเดียว

 

โดย: nant_go IP: 58.8.89.84 16 มิถุนายน 2549 15:14:47 น.  

 

555 ชอบคำว่า "ชายหนุ่มหน้าใสนัยน์ตาโรคจิต" จังเลย

 

โดย: ฟาโรห์ IP: 58.8.89.84 16 มิถุนายน 2549 15:20:11 น.  

 

Rachel Mcadams น่ารักและมีเสน่ห์มากจริงๆค่ะ

 

โดย: พุดดิ้งสีชมพู IP: 58.8.140.11 3 สิงหาคม 2549 15:08:01 น.  

 

เรื่องนี้ดูเป็นสิบๆรอบเลยค่ะ ติดใจตัวร้ายมีเสน่ห์ อิอิ ตาสวยมั่ก!

 

โดย: มิโช่น้อยๆ (Cecile_FCB ) 6 กรกฎาคม 2550 21:26:00 น.  

 

ดูแล้วดูอีกค่ะเรื่องนี้ ดูจนแม่จำได้เลยว่าดูเพราะชอบผู้ร้าย (คิลเลี่ยน)
เป็นเรื่องแรกค่ะที่ติดใจผู้ร้าย

 

โดย: มิโช่น้อยๆ (Cecile_FCB ) 8 กันยายน 2550 22:16:31 น.  

 

ความชอบและความไม่ชอบเหมือนกันเด๊ะเลยค่า

 

โดย: นุ๊ก IP: 58.10.33.72 21 กันยายน 2551 0:53:58 น.  

 

ชอบครึ่งที่อยู่บนเครื่องบินค่ะ บทสนทนาช่างกดดันอะไรเยี่ยงนี้

พอลงพื้นปุ๊บ นี่มันหนังคนละเรื่องเลยอ่ะ......คือตื่นเต้นก็ตื่นเต้นดีหรอก แต่ยังไงๆก็ชอบครึ่งแรกมากกว่าอยู่ดีอ่ะค่ะ

 

โดย: กลิ้ง IP: 124.120.233.249 13 ธันวาคม 2551 13:04:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
14 ตุลาคม 2548
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.