บันทึกของคนตัวน้อยๆ
Group Blog
 
 
สิงหาคม 2553
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
16 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
ดร พระโลกนาถภิกขุ พระภิกษุชาวอิตาเลียนผู้ถือมังสวิรัติ โดย ป. สาครบุตร์ ตอนที่ 1

พระภิกษุกับการฉันเนื้อสัตว์ 


อ่านเจอประจำ พระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ บางคนก็เถียงว่าท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์
เถียงกันไปมา
ผมก็เป็น 1 ในคนที่เชื่อว่า
พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์ ท่านเป็นมังสวิรัติ

กดที่นี่ดูตัวอย่างที่พูดเรื่องนี้

ผมเป็นมังสวิรัติเพราะ คำเทศน์ที่ให้สติ ของพระอริยวังโสภิกขุ
สื่อกลาง หลวงปู่ทวด เสด็จพ่อท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ สมเ็ด็จโต

ผู้ก่อตั้ง สำนักปู่สวรรค์ ชมรมอาหารมังสวิรัติแห่งประเทศไทย อุทยานศาสนาพระโพธิ์สัตว์กวนอิม แก่งกระจานและองค์กรการกุศลอีกหลายๆหน่วยงาน



อีกสาเหตุที่เลิกเพราะคิิดง่ายๆ สมมุติว่าแฟนเรา ถูกคนทำร้ายปางตาย คุณจับคนที่ลงมือได้
คุณโมโห จัดการลงมือลงไม้ ลงเข่า สารพัดจะจัดให้

ขอโทษๆ พี่ มีคนจ้างผมมา ผมอยากได้เงินๆ
ใคร ใครสั่งให้มาทำ
ไอ้นั้นพี่ %_#@$//

พอรู้ปั๊บ เสร็จ เราก็ตามไปเล่นไอ้คนนั้นต่อ
จัดการบันดาลโทสะ เล่นงานหมดคนสั่งทำร้าย คนลงมือ

จะมีซักกี่คนทำใจปล่่อยวางได้ "แฟนเรามีกรรมต้องมาใช้ในชาตินี้
เราไม่ขอจองเวรจองกรรม"
เก่งครับ สาธุ
ผมทำไม่ได้

เรากินเนื้อสัตว์ ไม่ได้ฆ่า แค่ชี้นิ้ว เอาข้าวขาหมูจาน
ต่อด้วยซุปหูฉลาม ล้างปากด้วยรังนก อ่าๆๆ

เราก็คือคนที่สั่งให้เค้าฆ่า
ถ้าผมเป็นหมูที่ถูกกินผมก็ต้องตามราวี คนกินและคนฆ่า
ซึ่งเป็นการก่อกรรม ให้มาใช้ไม่จบไม่สิ้น

เป็นมังสวิรัติไม่ใช่สิ่งที่บอกว่าเป็นคนดี แค่สงสารสัตว์ที่ถูกฆ่า ไม่อยากก่อกรรม

หลวงพ่อโตท่านเคยมาเทศน์ที่สำนักปู่สวรรค์
พระพุทธเจ้าประสูติในศากยวงค์ ที่นับถือศาสนาฮินดู ชาวฮินดูไม่ไม่เสพเนื้อสัตว์มาตั้งนานแล้ว เพราะสัตว์เป็นภาหนะ ของพระเจ้า

หลวงพ่อโตท่านเทศน์ยาวมาก ท่านว่า พอใครไม่กินเนื้อสัตว์ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเทวทัต อันนี้ท่านก็ได้เทศน์ไว้ด้วย ว่าที่มาที่ไปเป็นเช่นไร
เอาไว้ให้เจอหนังสือเล่มนั้นก่อน จะมาเล่าให้ฟัง

เคยอ่านหนังสือ ธรรมะเล่มหนึ่ง มีรูปพระภิกษุนั่งสมาธิในเล่ม ภาพของท่านคุ้นตามาก คงเคยเห็นตอนเด็กๆมั๊ง ฟ้อนตัวหนังสือการเย็บเล่ม จัดรูปหน้าดูโบราณๆ
มาถึงก็วิจารณ์เลยเรา
แต่พออ่านเนื้อหาแล้วโดยใจมากในเรื่องการปฎิบัติธรรม และแง่คิดเรื่องมังสวิรัติ
อยากพิมพ์แต่ขี้เกียจมาก

วันนี้โชคดีไปอ่านเจอ จากเวป jthai.ob.tc/
เลยขออนุญาติคัดลอกมาไว้ที่นี่ ขอบคุณที่ร่วมกันเผยแพร่อาหารมังสวิรัตินะครับ สาธุุุๆๆๆๆ



คำนำ
หนังสือเรื่องนี้ พระยาพนานุจร ผู้ได้รับความสนับสนุนจากเจ้าแก้วนวรัฐ หลวงอนุสารสุนทร และมิตรสหายอื่นๆ ตามหัวเมืองซึ่งมีศรัทธาบริจาคทรัพย์สำหรับพิมพ์ขึ้นแจกจ่ายได้ ขอให้พุทธธรรมสมาคมพิมพ์แจกเพื่อเป็นธรรมทานแก่พุทธศาสนิกชน โดยหวังผลในธรรมปฏิบัติ และความถาวรแห่งพระพุทธศาสนา

พุทธธรรมสมาคมได้ให้กรรมการพุทธศาสตร์ของสมาคมนี้ตรวจสอบ ปรากฏว่าหนังสือเรื่องนี้ประกอบด้วยหลักธรรมอันตรงต่อวัตถุประสงค์ของพุทธธรรมสมาคม สมควรที่พุทธบริษัททั้งหลายจะพึงเว้น พึงปฏิบัติตาม พุทธธรรมสมาคมจึงตกลงรับพิมพ์แจกจ่ายเป็นธรรมทาน สมาคมขออนุโมทนาต่อส่วนกุศลบุญราศรีที่ท่านบริจาค ได้ลงทุนลงแรงเผยแผ่หลักธรรม ให้แพร่หลายเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ประชาชนต่อไป

พุทธธรรมสมาคม
วันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๗๗


คำนำ ป. สาครบุตร


เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๖ พระโลกนาถ ภิกษุชาวอิตาเลียนรูปหนึ่ง ได้จาริกไปถึงจังหวัดเชียงใหม่ ท่านได้แสดงธรรมเทศนา ให้อุบาสกอุบาสิกาเป็นจำนวนมากฟัง ณ วิหารวัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่และวิหารหลวง ลำพูน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสแปลธรรมเทศนาที่ท่านแสดงโดยภาษาอังกฤษ เป็นภาษาไทยสู่อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายฟัง ธรรมเทศนาที่พระโลกนาถแสดงนั้น ถ้าจะสรุปความ ก็มีอยู่ย่อๆ ดังต่อไปนี้



๑. ท่านว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นพระมหาราชาธิราชที่อัศจรรย์ในโลก โดยสมภพในราชตระกูลที่สูงสุด อุดมพร้อมและแวดล้อมไปด้วยความสุขต่างๆ ดังปรากฏอยู่ในพุทธประวัติของเราแล้วนั้น พระองค์ยังไม่ไยดีในความสุขนั้น กลับทรงเห็นว่าเป็นทุกข์ร้อยแปดประการ และทรงเห็นว่าธรรมดาสิ่งต่างๆ ในโลกนี้มีของเป็นคู่กัน เช่น มีร้อนแล้วก็มีหนาว มีมืดแล้วก็มีสว่าง มีทุกข์แล้วก็ต้องมีสุขดังนี้

จึงได้เสด็จออกทรงผนวชเมื่อพระชันษา ๒๙ กำลังวัยคะนอง ทรงแสวงหาสันติสุขซึ่งแน่พระทัยว่ามีอยู่ในโลก ทรงบำเพ็ญตบะ แสวงหาของจริงอยู่ ๖ พรรษา จึงได้สำเร็จพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยมัชฌิมาปฏิปทา โดยทรงเห็นว่าโลกนี้มีของจริงอยู่ ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

เห็นหมู่สัตว์ตกอยู่ในสังสารวัฏที่มืดมนอันธการ หนาแน่นไปด้วยอวิชชาและรุมล้อมไปด้วยตัณหา ด้วยพระมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ จึงได้ตั้งพระทัยประกาศพระศาสนา วางหลักแห่งการปฏิบัติ แต่ขั้นต่ำจนถึงขั้นสูงสุด คือ เบื้องต้นแต่การบำเพ็ญทาน รักษาศีลเจริญภาวนา ไปจนถึงวิมุตติ อันเป็นขั้นที่สุดแห่งการปฏิบัติ ดังเราท่านได้ทราบกันอยู่แล้วนั้น


๒. ในการที่จะปลดเปลื้องตัณหาต่างๆ ท่านว่าต้องเริ่มด้วยการรักษาศีลห้า เพราะศีลห้าเป็นบรรทัดบังคับให้ดำเนินไปตามทางและเป็นบันไดตอนแรก การขึ้นบันไดจำเป็นจะต้องเหยียบแต่ขั้นต้นขึ้นไปก่อน จะก้าวขึ้นขั้นสุดทีเดียวไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเริ่มด้วยการละเว้นเสพเนื้อสัตว์ทั้งหลายก่อน ตอนนี้ท่านได้บรรยายยืดยาวสมเหตุสมผล ดังท่านทั้งหลายจะได้อ่านคำแปลด้วยตนเอง ในหน้ากระดาษต่อไปในสมุดเล็กๆ เล่มนี้

๓. ท่านได้แสดงประวัติพุทธศาสนาและประวัติคริสตศาสนาให้ศรัทธาชนทั้งหลายฟัง และพิสูจน์ว่าคริสตศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนาเท่านั้น จึงยังไม่ครบบริบูรณ์ พระเยซูได้เป็นสาวกของพระพุทธองค์ คือได้มาร่ำเรียนพระพุทธศาสนายังประเทศอินเดีย ภายหลังที่พระพุทธองค์เข้านิพพานแล้ว ๕๐๐ ปีเศษ



พระเยซูได้มาร่ำเรียนอยู่ถึง ๑๘ ปี แต่เวลาไปเผยแผ่ศาสนานั้น ได้มีเวลาทำอยู่เพียง ๓ ปี พร้อมด้วยมีหมู่มีคณะคอยกีดกันอยู่รอบข้าง และมีศัตรูคอยปองร้ายมากมาย ถึงกับภายหลังได้ลงทัณฑ์ต่อพระเยซูอย่างทราบกันทั่วๆ ไปแล้ว ฉะนั้นรสพระธรรมที่มีอยู่พร้อมมูลในพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนา จึงไม่ประจักษ์มากเท่าใดนัก ในคำสั่งสอนของพระเยซู

หากว่า พระเยซูได้มีพระชนม์สั่งสอนอยู่อีกนานปี คล้ายคลึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว คำสั่งสอนในคริสตศาสนาคงจะใกล้ชิดคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาเข้ามาอีกเป็นอันมาก ฉะนั้น สำหรับผู้ที่ถือคริสตศาสนาอยู่แล้ว เพื่อจะให้การปฏิบัติเต็มเปี่ยมอย่างองค์พระเยซูมุ่งไว้แล้ว ก็ยังจะเสริมได้โดยเรียนพระธรรมในพระพุทธศาสนาต่อเติม และถือปฏิบัติให้ครบถ้วน ทั้งนี้จะขึ้นชื่อว่าได้เป็นสาวกของพระเยซู หรือขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองโดยแท้จริง


๔. ท่านได้แสดงธรรมเรื่องเผยแพร่พระพุทธศาสนา ว่าครั้งที่ ๑ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเผยแพร่เองเมื่อยังดำรงพระชนมายุอยู่ ครั้งที่ ๒ สมเด็จพระมหาธรรมิกราชาธิราช พระเจ้าอโศกราชได้จัดให้มีขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๑๘ และแต่นั้นมาเป็นเวลาล่วงเลย ๒,๐๐๐ ปีแล้วก็ยังหามีการเผยแพร่พระพุทธศาสนาขนาดเขื่องอีกไม่


การเผยแพร่ในยุค ๑ และ ๒ นั้นก็อยู่เพียงในประเทศอินเดีย และทวีปเอเชีย คราวนี้ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งใกล้กับปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่ท่านกำลังจัดให้มีการเผยแพร่ครั้งที่ ๓ โดยพระภิกษุสามเณร สยาม พม่า ลังกา และอินเดียหลายๆ นิกาย เอาไปร่วมกันเป็นนิกายเดียวคงจะไม่ขัดข้อง เพราะพุทธศาสนาถือการปฏิบัติเป็นใหญ่

และวิธีอุปสมบทก็อย่างเดียวกัน กล่าวถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยวาทะว่า พุทธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เช่นเดียวกัน จะต่างกันบ้างก็แต่วิธีการเล็กน้อย และการที่แยกนิกายไม่ใช่เป็นของดี โดยเป็นเหตุให้แตกสามัคคี หากจะแบ่งควรแบ่งเป็นชั้นๆ ตามหลักแห่งการปฏิบัติและภูมิที่บรรลุ อย่างที่ท่านจำแนกไว้เป็น ๔ ชั้น ๘ จำพวก

คือ โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ เมื่อรวมกันเป็นหมู่ได้แล้วจำนงไว้ว่า จะแพร่ให้ทั่วโลก คือจากสยามไป พม่า อินเดีย พักอบรมบรรดาสมาชิกทั้งหลายให้คล่องแคล่วสามารถพอสมควร อันจะเป็นเวลาประมาณ ๓ ปี แล้วจะได้ออกทำการต่อไป มุ่งตรงไปทวีปยุโรป ผ่านประเทศอัฟกานิสถาน เปอร์เซีย ตุรกี เลยเข้ายุโรปไปยังกรุงโรมในประเทศอิตาลี



แล้วเลยผ่านประเทศต่างๆ ทางตะวันตกของทวีปยุโรป ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทวีปอเมริกา ผ่านทวีปอเมริกา จากทางตะวันออกไปตะวันตก (กว้างใหญ่มาก) แล้วข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมาประเทศญี่ปุ่น ขึ้นประเทศจีน และผ่านจีน ญวน มาบรรจบที่ประเทศสยามอีก ประมาณเวลาทั้งพักที่อินเดียด้วยราว ๑๕ ปี

ธรรมเทศนาที่พระโลกนาถแสดงนั้น เป็นที่ต้องใจหมู่ศรัทธาทั้งหลายโดยซาบซึ้ง เกิดความปีติยินดีมาก จนถึงกับมีผู้สมัครจะไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาด้วยในเชียงใหม่ ๑๓ ท่านและมีผู้รับศีลห้าพร้อมทั้งจะไม่เสพเนื้อสัตว์เป็นอาหารอีกต่อไปจนสิ้นชีวิต ๑๐๔ คน
และยังมีผู้พยายามจะปฏิบัติตามอีกก็มาก นับว่าธรรมเทศนาของท่านได้ประโยชน์เห็นทันตา

คือปลุกให้ผู้ที่มีอุปนิสัยอยู่แล้วตื่นขึ้นรับถือปฏิบัติทันที อันจะป้องกันชีวิตสัตว์ ที่จะต้องตกมาถูกฆ่าตายเป็นอาหารได้เป็นจำนวนมากมาย พระโลกนาถว่าหัวใจของพระพุทธศาสนา ก็คือพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เมตตา-รักใคร่สัตว์ทั่วไป กรุณา-สงสารสัตว์ทั่วไป มุทิตา-ยินดีที่สัตว์ทั้งหลายได้รับความสุข อุเบกขา-เมื่อไม่มีทางที่จะแสดงใน ๓ ประการต้น ก็ให้วางใจเฉย

ก็เมื่อเรายังเอาเนื้อของสัตว์เหล่านั้นมารับประทาน จะว่าเราพร้อมที่จะบำเพ็ญพรหมวิหารอย่างไรได้ ข้อนี้สำคัญมาก เมื่อเรายอมที่จะเป็นพุทธมามกะอันจริงแท้แล้ว ควรที่จะบำเพ็ญตนตามหลักดังกล่าวแล้วให้บริบูรณ์ ถ้าไม่เช่นนั้นยังมองไม่เห็นผลแห่งการปฏิบัติ ว่าจะได้ประสบสุขด้วยอาการเช่นไร เพราะความสุขเกิดจากความสงบ การสังหารผลาญชีวิตและกินเลือดกินเนื้อกัน ไม่ใช่วิถีทางแห่งธรรมวิเศษเลย


มีผู้ที่ฟังธรรมเทศนาของพระโลกนาถแล้ว ได้มาหารือข้าพเจ้าเป็นจำนวนมากว่า เมื่อท่านจาริกเลยไปเสียแล้ว รสธรรมเหล่านี้ตามธรรมดาย่อมจะจางไป ถ้ามิได้มีการรวบรวมพิมพ์ขึ้นไว้ เพื่ออ่านสดับตรับฟังกันอีกต่อไป ขอให้ข้าพเจ้าเป็นธุระในเรื่องนี้


ข้าพเจ้าเองโดยที่เป็นผู้แปลก็ยังจำข้อความได้อยู่บ้าง แต่ไม่หมดจดละเอียดลออดี เมื่อมีผู้มาถามข้อสงสัยบางแห่งบางตอนก็อธิบายไปเท่าที่จำไว้ได้ จึงได้หารือท่าน ท่านจึงให้ข้าพเจ้าดูโน้ตหัวข้อที่ท่านเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับเรื่องปราบตัณหาด้วยการเสพแต่ผักเป็นอาหาร ข้าพเจ้าขอคัดเอาไว้



และคุณหลวงประสาทศุภนิติ (ผมอ็อด เจ้าของบล็อคทราบว่าท่านชื่อนายประมูล สุวรรณศร )

กับบรรดาผู้มีศรัทธาอื่นๆ ได้กรุณาช่วยกันแปลและตรวจทาน มีท่านผู้เฒ่าที่มีจิตเปี่ยมไปด้วยกุศล ๒ ท่าน คือ



๑ เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่



๒ คุณหลวงอนุสารสุนทร

กับผู้อื่นอีกเป็นอันมากพร้อมกับบริจาคทุน ขอให้ข้าพเจ้าพิมพ์ธรรมเทศนาของพระโลกนาถออกแจกจ่ายกันเพื่อเป็นคุณประโยชน์ต่อๆ ไป ในชั้นต้นก็คิดกันว่าจะพิมพ์แจกเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน แต่โดยรู้สึกว่าการนี้เป็นการกุศลอันใหญ่หลวง ควรจะได้แพร่ไปทั่วๆ ในประเทศสยาม จึงพร้อมใจเห็นว่าควรพิมพ์ให้เป็นจำนวนมากและจ่ายไปทั่วประเทศ


ฉะนั้น เมื่อท่านผู้ใดได้อ่านธรรมเทศนาของพระโลกนาถในที่นี้แล้ว และได้รับประโยชน์จากรสธรรมเทศนานั้น ข้าพเจ้าขอเสนอผู้ว่าที่ขยายให้แสงสว่างส่องมาถึงเท่านั้น นอกจากองค์พระโลกนาถเองแล้ว คือท่านผู้มีจิตเปี่ยมด้วยเมตตากรุณาหลายๆ ท่านดังข้าพเจ้าได้ออกนามมาแล้วนั้น ได้ช่วยเหลือกันออกทรัพย์ออกแรงส่งเสริมการกุศลอันนี้ด้วย

ขอความสุข ความเจริญ จงมีแด่ท่านผู้ได้อ่าน ฟัง และปฏิบัติ เทอญ


ป. สาครบุตร์
นครเชียงใหม่
วันที่ ๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖

ขอบคุณบทความและขออนุโมทนาjthai.ob.tcครับ

อ่านต่อตอนที่ 2






Create Date : 16 สิงหาคม 2553
Last Update : 16 สิงหาคม 2553 20:26:53 น. 0 comments
Counter : 2934 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aodbu
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อย่ารักชาติ แค่คำพูุด
อย่านับถือศาสนา แค่ในทะเบียนบ้าน
อยากให้สังคมดี ต้องกล้าทวนกระแสสังคม


พวก 1 ไม่สน ต่อทุกสิ่งรอบตัว
พวก 2 เห็น แต่ไม่กล้าทำแก้ไข
พวก 3 ใส่ใจ และกล้าทำในสิ่งที่ต้องทำ
.......


หลายคนอยากเป็นคนเด่นดัง เป็นเจ้าคนนายคน
แต่ยังมีบางคนบางกลุ่ม ที่สวนกระแสสังคม
มาเสียสละความสุขส่วนตัว ทำงานรับใช้ปวงชน ปกป้องรักษาผืนแผ่นดินเกิด.....

ชีวิตที่ได้ทำอะไรเพื่อผู้อื่น ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ประเทศชาติที่ให้เราอยู่อาศัย คือชีวิตที่มีค่าที่สุดแล้ว

..................................................

โอวาทพระิอริยวังโสภิกขุ สำนักปู่สวรรค์
๑๙ มกราคม ๒๕๔๑

หลักการดำรงชีวิตอยู่ในยุคกลียุค

๑.เราต้องอย่ายึดมั่นถือมั่น เราต้องคิดว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาใช้กรรม ทุกคนมาร่วมชะตากรรมเดียวกัน เราควรจะมีขันติธรรมซึ่งกันและกัน


๒.ชีวิตหนึ่งอยู่ไม่ถึง ๑๐๐ ปี เราอย่าไปทุกข์อะไรมาก เราถือว่าเราได้ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ดีได้


๓.พยายามฝึกจิตวิญญาณของตนให้สูงขึ้นเพื่อว่าธรรมชาติทำลายมนุษย์แล้ว มนุษย์อยู่ไม่สุข จิตใจมนุษย์เหมือนลิง ปัญหาเรื่องตีกันทะเลาะกัน
ธรรมชาติลงโทษ มนุษย์ทำลายธรรมชาติ ธรรมชาติต้องลงโทษมนุษย์ เป็นกฎของสังสารวัฏ


ฉะนั้นเราอยู่ในยุคนี้ เราจำเป็นต้องทำใจให้ได้ อย่ายึดมั่นอะไรให้มาก พรุ่งนี้สว่างแล้ว เดี๋ยวก็มืด นอนตื่นขึ้นมาเรายังไม่ตาย ก็จะใช้กรรมต่อไป

และเราไม่ต้องไปกินยาแก้โรคประสาทอย่างทุกวันนี้ ยาแก้โรคประสาทขายดี
นั่นคือมนุษย์ปลงไม่ตก


ถ้าคิดว่าชีวิตหนึ่งเกิดมาต้องการอะไร
กินข้าว ๓ มื้อ กินเสร็จก็ต้องขี้
อยู่ก็ไม่มีอะไรไปยึดมั่นถือมั่นเราก็สบาย


แต่ถ้าเราไปหลงเกียรติ หลงสิ่งสมมติ ชีวิตไม่มีวันเป็นสุข เพราะฉะนั้นขอให้เราทั้งหลายที่อยู่ในยุคกลียุคเช่นนี้ท่านต้องทำใจให้ได้ อย่าไปคิดอะไรมากมาย ทุกอย่างยิ้มไว้แหละดี

...................................

เอ้ายิ้มกันหน่อยครับ





New Comments
Friends' blogs
[Add aodbu's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.