คิดถึงเชียงราย...

<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
28 มกราคม 2553
 

Avatar: หนัง 4 มิติ ของผู้กำกับมือถึง James Cameron



ไม่รู้ทำไมเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าถึงชื่นชอบหนังรักน้ำเน่าอย่าง Titanic หรือ ชู้รักเรือล่ม นัก! บทหนังอิงสูตรสำเร็จรูป เดาทางง่าย เน้นเอ๊ฟเฟ็กส์อลังการเข้าว่า สมัยนั้น หากเราอ่าน Detail ใบปลิวหนังคงมีคิดบ้างหล่ะว่า “เนื้อเรื่องก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ” ถ้าคุณคิดเช่นนั้น...ก็เหมือนกับที่ข้าพเจ้าคิดตอนนั้น จนข้าพเจ้ามีโอกาสได้พิสูจน์กับตาตัวเอง ความคิดหน้านี้ข้าพเจ้าคิดถูกไม่ผิดเพี้ยน เนื้อเรื่องไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจจริง ๆ แต่...แต่...หนังเรื่องนี้กลับมีเสน่ห์บางอย่าง ที่เป็นเสมือนแม่เหล็กขั้วบวก ดูดบั้นท้ายข้าพเจ้าที่เป็นขั้วลบให้ติดหนึบกับเก้าอี้ไม่รู้ลุก ทั้ง ๆ ที่เพิ่งดูแคลนเนื้อเรื่องไปน้ำลายยังไม่ทันแห้ง แต่ทำไมข้าพเจ้ากลับหลงไหลมัน สนใจมัน ร้องไห้ไปกับมัน เพราะอะไร...? ก็เพราะการกำกับของ Cameron ที่มือถึงรู้จังหวะจับโคนไทม์มิ่งเล่นอารมณ์ข้าพเจ้า จนอยู่หมัดแล้วอยู่หมัดเล่าตลอดเวลา 3 ชั่วโมง กว่าข้าพเจ้าจะมารู้สึกตัวอีกทีนึง ข้าพเจ้าก็เสพผสม Titanic ถึง 3 รอบในโรงภาพยนต์ และอีก 10 กว่ารอบหน้าจอทีวี วิดีโอบ้าง ซีดีบ้าง เคเบิ้ลบ้าง



ถ้าคุณเป็นผู้กำกับมือถึง รู้จักควบคุมไทม์มิ่งหนังเสถียรและสมดุลย์ ต่อให้บทหนังคุณไม่ใช่ประเด็นใหม่ที่น่าสนใจ Cameron ก็สามารถทำให้หนังเขามีประเด็นที่น่าสนใจได้ในบัดดล เช่นเดียวกับบทหนัง Avatar ที่กำลังได้รับคำหมิ่นแคลนจากคนรักหนังหลาย ๆ ท่านว่า “หนังไม่มีประเด็นใหม่ที่น่าสนใจ” ใช่คำแคลนนี้ก็คงจะจริง นี่คือจุดอ่อนของ Avatar อย่างเห็นได้ชัด หากหนังไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงสาขาภาพยนต์ยอดเยี่ยมออสการ์ ก็คงมาจากสาเหตุนี้ แต่หากเรามองในมุมกลับกันว่า Cameron แกต้องการวางธีมประเด็นที่ไม่น่าสนใจนี้ ซึ่งมีอยู่อยู่ดาษดื่นทั่วไปกับหนังสำเร็จรูป เอามารีไซเคิลเติมเต็มประเด็นความร่วมสมัย สากล วิกฤษติธรรมชาติโลก แฝงแง่คิดสื่อถึงเราเข้าไปได้อย่างโดดเด่นน่าสนใจ และแดกดันถึงคนดูที่เป็นมนุษย์เช่นเราได้อย่างถึงทรวง



บทหนังซ้ำซากจำเจ หากเรารู้จักปรับนิด แต่งหน่อย เสริมความร่วมสมัยเข้าไป ประเด็นที่ไม่น่าสนใจ ก็สามารถพลิกผันเป็นประเด็นที่น่าสนใจได้ หากบทหนังยังมีแง่คิดดี ๆ ถึงมนุษย์ในรูปแบบปรัชญาสากล


ข้าพเจ้าชื่นชอบการเปรียบเทียบของ Camaron ถึงวิถีชีวิต “มนุษย์” กับ “ชาวนาวี” ในหนัง ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานความต้องการแห่งชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความต้องการของมนุษย์ช่วงชีวิตหนึ่ง มีเหตุผลแตกต่างกันไปตามแรงขับจริต บ้างก็อยากร่ำรวยมีเงินล้นฟ้า บ้างก็อยากเป็นประธานาธิบดีหน้าเหลี่ยม บ้างก็อยากเป็นอินเทรนด์ตามสังคมวัตถุนิยม ความใคร่ ตัณหา เป็นสิ่งที่มนุษย์ใคร่คว้ามันมาครองก่อนสิ้นใจ ซึ่งก็คงมีน้อยคนนักที่จะคำนึงถึง “บาป” รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เมื่อมนุษย์มีความต้องการเกินปัจจัย 4 สมดุลที่ธรรมชาติวางไว้ ก็เริ่มแปรปรวนเสียสมดุลย์ การเบียดเบียนธรรมชาติ ผืนป่า ทรัพยากร สัตว์ต่าง ๆ จึงเป็นผลตามมา ตามเหตุผลที่ดูมีสาระในสายตาสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า “ศิวิไลต์” เมื่อมาเทียบกับชาวนาวี ก็คงดูไร้สาระนัก ชนเผ่าที่ดำรงชีวิตอยู่ใต้สมดุลย์วิถีธรรมชาติแพนดอรา เรายืมชีวิตเอวาตายไปก็คืนให้เอวา ทุกชีวิตเกื้อกูลกันและกัน



เห็นได้ว่าฉากเริ่มเรื่องที่ Jake Sully บอกเล่าถึงชีวิตตัวเองที่วางไว้ การเป็นทหารนาวิกโยธิน เพราะเป็นอาชีพที่ภาคภูมิ และทุก ๆ ฉากของ Colonel ที่เอาเหตุผลทางธุรกิจมาเป็นข้ออ้างปกปิดสันดานดิบตัวเอง เพื่อหวังสร้างสงครามต่างเผ่าพันธุ์ โดยให้เหตุผลถึงความจำเป็น ทั้ง ๆ ที่ Colonel ส่ง Jake Sully ไปเป็นสปายเพื่อสืบเสาะจำนวนชาวนาวี ภูมิศาสตร์ เป็นประโยชน์ต่อการสู้รบมากกว่าจะหลอมรวม Jake Sully เป็นหนึ่งชาวนาวี เกลี้ยกล่อมให้ Neytiri และพวกพ้องหนีออกไป มนุษย์อ้างหลักเหตุผลที่ผิด ๆ เกินขอบเขตสมดุลย์ที่ธรรมชาติวางไว้สุดโต่ง



ด้วยเหตุผลแค่มนุษย์ต้องการเอาทรัพยากรที่มีค่าไปแปรธาตุเป็นเงิน ในมุมมองมนุษย์เราอาจมองว่า เราเป็นคนมีเหตุมีผล... แต่ตัวละครอย่าง Colonel ก็เป็นโคลนนิ่งสื่อถึงความดิบของมนุษย์ร่วมสมัย ที่ใช้เหตุผลสร้างภาพสนองความใคร่ตัวเอง วันนี้มนุษย์เราก้าวเหนือสมดุลย์วิถีธรรมชาติสุดโต่งแล้ว ลองมาคิด ๆ กันดู เราไม่จำเป็นต้องรุกรานผืนป่าเพื่อสร้างสนามกอลฟ์ เราก็มีชีวิตอยู่ได้ เราไม่จำเป็นต้องก่อสงครามเพียงเพราะวาระแฝงยึดครองบ่อน้ำมัน เราก็ยังมีทรัพยากรธรรมชาติเลี้ยงเราไปจนแก่เฒ่าได้ พื้นฐานการความต้องการในชีวิตเราไม่มีอะไรต่างกับชาวนาวี ถ้าเราเลือกจะเดินตามวิถีชีวิตแบบเขา เราก็มีชีวิตอยู่ได้ และธรรมชาติก็คงไม่เล่นพิเรนท์กับเราอย่างที่เห็นในปัจจุบัน...



ในขณะที่ Colonel คือตัวละครด้านมืดที่ Camaron ต้องการสื่อให้คนดูรู้สึกชัง ตัวละครอย่าง Dr. Grace Augustine กลับมีจิตใจตรงข้ามกับ Colonel อย่างสิ้นเชิง Dr. Grace พยายามเข้าถึงชาวนาวี โดยใช้จิตใจที่งดงาม ละเอียดอ่อน เช่นเดียวกับ Jake Sully ที่เปรียบเสมือนผ้าที่ขาวสะอาด เขาเป็นสปายให้ Colonel เพียงเพราะเขาทำตามหน้าที่นาวิกโยธิน โดยทหารจะต้องเชื่อฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาทุกกรณี Jake Sully จึงมีสถานนะไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ แต่เมื่อเขายิ่งคลุกคลีกับ Neytiri เราก็ยิ่งได้เห็นความอ่อนโยนของจิตใจ Jake ทีละนิด ๆ



Camaron เนรมิตร Colonel ให้เป็นตัวละครที่คนดูเกลียดได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ตามความสามารถการวางไทม์มิ่งที่ถูกจังหว่ะจับโคน ขณะเดียวกันส่วนของการพัฒนาบทตัวละคร Jake Sully กับ Neytiri ก็เป็นไปอย่างเสถียรโมแมนตัน ไม่สูงสุด ไม่ต่ำสุด Camaron สามารถจูงคนดูให้รู้สึกผูกพันธ์ และปลาบปลื้มความรักของเขาทั้งสอง เสมือนเป็นสักขีพยานรักตั้งแต่ต้นจนจบ



Camaron ไม่ได้สร้าง Avatar ให้เป็นแค่หนัง 3 มิติ แต่เขาได้เนรมิตร Avatar เพิ่มขึ้นมาอีก 1 มิติ มิติที่ทำให้คนดูเข้าไปอยู่ในโลก Avatar ทั้งในแง่ทางกายภาพและอารมณ์ร่วม

โดยรวมหนังอาจดูคล้ายเป็นการเข้าข้างชาวนาวีในสายตาหลายคน แต่ Avatar ยังห่างไกลจากการเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่อถึงความเสื่อมของมนุษย์อยู่เยอะ เมื่อวิเคราะห์จากบทหนังที่ Cameron วางไว้ ใช่ว่ามนุษย์มีแค่คนพรรค์ Colonel หรือ Giovanni Ribisi เท่านั้น Cameron ต้องการสื่อว่า โลกเราทุกวันนี้คนเลวมีเยอะ คนดีก็มีเยอะไม่แพ้คนเลวเช่นกัน แต่ส่วนมากคนเลวมักมีอำนาจในการตัดสินทำอะไรมากกว่าคนดี Camaron วางประเด็นนี้ได้อย่างสมดุลย์ “สีเทา” ไม่ขาวจนเกินไป และก็ไม่ดำจนเกินไป Avatar จึงยังห่างไกลกับการเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่อถึงความเสื่อมของมนุษย์อย่างที่หลาย ๆ คนคิด แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความจริงคือ ถึงไงมนุษย์ก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เลวทรามที่สุด เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่มีวิถีดำรงชีพพึ่งพิงธรรมชาติ ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ มนุษย์ชอบวางตัวเองเป็นเจ้า เที่ยวผู้รุกรานโดยใช้กำลังรุนแรงต่อผู้ขัดประโยชน์ตนอย่างไม่ให้เกียรติกัน ซึ่งในส่วนนี้ หนังก็ได้ตอบโจทย์ข้อนี้ดีอยู่แล้ว จากฉากที่ Colonel สั่งพลทหารถล่มชาวนาวีอย่างบ้าคลั่ง เกินนิยามคำเตือนไล่ที่



ภาพซึ่งเกิดจากเทคนิค Performance Capture หรือการจับภาพการเคลื่อนไหว อารมณ์ทางสีหน้าและดวงตาของนักแสดง ก่อนจะเอาไปสร้างเป็นตัวละครซีจีอีกที่หนึ่ง เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ความประทับใจในชีวิตการเป็นคนรักดูหนังของข้าพเจ้า ช่วงขณะที่กำลังนั่งชม Avatar ตูดติดแน่นเบาะแล้วหัวใจเต้นสั่น 15 ริกเตอร์ เมื่อมององค์รวม Avatar อาจจะยังไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดแห่งปี ยิ่งเมื่อเทียบกับหนังอย่าง Hurt Locker แต่ข้าพเจ้ากลับเชื่อว่าปรากฎการณ์ Titanic Fever อาจเกิดขึ้นซ้ำซ้อนอีกครั้งบนเวทีออสการ์ปี 2010 ที่ใกล้จะถึงนี้ Avatar อาจคว้ารางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยมก็ได้ใครจะไปรู้...



แม้ Avatar จะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดในแง่คุณภาพ แต่ในแง่ของความบันเทิง Avatar ได้สร้างอีกมิติลี้ลับ ให้เราเข้าไปเป็นส่วนร่วม ยิ้ม ร้องไห้ หัวเราะ ตื่นเต้น ฯลฯ หลากมิติอารมณ์ร่วม...



ซึ่งยังไม่เคยมีหนังเรื่องไหนทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนี้ได้มาก่อน...





 

Create Date : 28 มกราคม 2553
1 comments
Last Update : 28 มกราคม 2553 22:17:36 น.
Counter : 1280 Pageviews.

 
 
 
 
ไม่มีโอกาสได้ไปดูหนังกะชาวบ้านเค้าเลย
 
 

โดย: ANN IP: 115.67.113.251 วันที่: 28 มกราคม 2553 เวลา:22:48:12 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Anurak_sk
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คิดถึงเชียงราย...
[Add Anurak_sk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com