พาเที่ยววัดร่องขุ่น วิมานบนดินที่มนุษย์โลกสามารถสัมผัสได้
วัดร่องขุ่น ตั้งอยู่ที่ ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยเห็นผ่านตากันบ้างแล้วสำหรับสถานที่แห่งนี้ ผมเองมีโอกาสได้มาถ่ายรูปหลายครั้งมาก ตั้งแต่เกือบสิบปีที่แล้วที่เริ่มก่อสร้าง จนมาถึงปีนี้ 2009 มีหลายสิ่งหลายอย่างคืบหน้าขึ้นมากมาย แม้จะยังไม่บรรลุเป้าหมายทั้งหมดที่อาจารย์เฉลิมชัยได้ตั้งปณิธานไว้ แต่ก็ใกล้ความจริงเข้าไปทุกที
โทนสีส่วนใหญ่ของวัดร่องขุ่นจะเป็นสีขาว เพราะฉะนั้นความขาวของพื้นที่ส่วนใหญ่ก็อาจจะทำให้ระบบวัดแสงของกล้องสับสน คำนวนแสงผิดพลาดไปได้ง่ายๆเหมือนกัน
ทางซ้ายมือคือร้านค้าขายอาหารและของที่ระลึกต่างๆ ทางขวามือก็เป็นทางเข้าวัดครับ
ใครหิวก็แวะทางซ้ายก่อน ใครไม่หิวก็เดินเลี้ยวขวาตามมาโลดครับ ........
เดินเข้ามาในวัด ทางซ้ายมือก็จะเป็นอาคารแสดงภาพของอาจารย์เฉลิมชัย ทางขวาก็จะเป็นทางเข้าพระอุโบสถ ส่วนตรงกลางที่เห็นเป็นประติมากรรมสีทองนั้น จะมีพระพุทธรูปสีขาวอยู่ทางด้านบน
ซึ่งอันนี้ไม่ทราบจริงๆครับ ว่าสื่อถึงอะไร เพราะในส่วนสถาปัตยกรรมแทบทั้งหมดของทีนี่จะเป็นสีขาว ยกเว้นอาคารหลังหนึ่งซึ่งสร้างอย่างหรูหราวิจิตรตระการตาประดับด้วยสีทอง จนบางคนเห็นแล้วยกมือไหว้เพราะนึกว่าเป็นอุโบสถ
ทั้งที่ความจริงแล้วมันคือ “ส้วม”
ตรงนี้อาจารย์เฉลิมชัยเคยเฉลยเสียงกลั้วหัวเราะว่า ต้องการสื่อให้เห็นว่า มนุษย์เราบางครั้งไม่ยอมใช้สติปัญญาไตร่ตรองในสิ่งที่เห็นให้ถี่ถ้วน บางอย่างพอเห็นว่าเป็นสีทองก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าควรแก่การสักการะ
หารู้ไม่ว่าที่ยกมือไหว้น่ะ ขี้ทั้งนั้น
นี่แหละครับ ห้องส้วมของวัดร่องขุ่น ( ปัจจุบันยังไม่เปิดให้ใช้บริการ ) ที่อาจารย์แกเคยบอกว่า จะมีแต่งานศิลปะ เรียกว่านั่งปลดทุกข์ไป ชมงานศิลป์ไปอย่างเพลิดเพลินเจริญตา ใครมีโอกาสไปเที่ยวที่นี่ระวังโดนเพื่อนอำให้ยกมือไหว้ส้วมนะครับ
อาจารย์เฉลิมชัยเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งว่าท่านสร้างงานพุทธศิลป์นี้ด้วยความศรัทธาจริต ไม่ได้มุ่งหวังสิ่งใด ๆ ตอบแทน วัดนี้ไม่เคยเรี่ยไรเงินด้วยการจัดทอดกฐินหรือผ้าป่า ไม่รีบร้อนสร้างเพื่อฉลองในโอกาสใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่อาจารย์ต้องการเพียงอย่างเดียว คือต้องดีที่สุด สวยที่สุด และจะสร้างจนหมดภูมิปัญญาทางโลกและทางธรรมของตัวท่าน
"ความตายเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะหยุดเสรีภาพแห่งจินตนาการของผมได้"
เงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผม มาวันนี้ผมจ่ายไปแล้วกว่า 40 ล้านบาท ผมมั่นใจในตนเอง มั่นใจต่อจิตอันเป็นผู้ให้ของผม ขอทุกท่านอย่าได้เป็นห่วง ผมไม่ปรารถนาขอเงินใคร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล องค์กรเอกชน หรือเศรษฐีร่ำรวย เพราะผมไม่อยากอยู่ใต้อำนาจทางความคิดของใคร ไม่ต้องการให้ใครมีอำนาจเหนือจินตนาการของผม ผมต้องการอิสรภาพทางความคิดสร้างสรรค์ “
"เงินจำนวนมาก ย่อมมาพร้อมอำนาจของผู้บริจาค”
นี่แหละคนที่เกิดมาเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดินอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องอวดอ้าง ไม่เบียดบังเงินหลวง ไม่เบียดเบียนเงินราษฎร์ รวยแล้วก็คืนกำไรให้กับสังคม กลับมาสร้างพุทธศิลป์เพื่อแผ่นดินที่เชียงรายด้วยความสำนึกรักบ้านเกิด
นี่ถ้าเป็นนักการเมือง สงสัยจะต้องมีชื่อเป็นวัดเฉลิมชัย สะพานเฉลิมชัย หรือถนนเฉลิมชัยแถวๆนี้เป็นแน่ ทั้งๆที่ถนน สะพานพวกนั้นมันสร้างด้วยเงินภาษีของเราทั้งน้าน เฮ้อ !
ก่อนจะเดินเข้าไปในพระอุโบสถ เราลองมาฟังความหมายของสถาปัตยกรรมพุทธศิลป์แห่งนี้เพื่อให้ได้เข้าใจถึงสิ่งที่อาจารย์ต้องการสื่อออกมาในรูปของงานศิลปะกันก่อนสักเล็กน้อยนะครับ
โบสถ์ในเขตพุทธาวาส เปรียบเหมือนบ้านของพระพุทธเจ้า ( พระพุทธรูปที่อยู่ด้านใน ) ที่ต้องเป็นสีขาวทั้งหมดเพื่อแทนพระบริสุทธิ์คุณของพระพุทธเจ้า
กระจกขาว หมายถึง พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่เปล่งประกายให้ทั่วโลกมนุษย์และจักรวาล
สะพาน หมายถึง การเดินข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิ
ก่อนขึ้นสะพานลองสังเกตดูนะครับ ที่เห็นเป็นครึ่งวงกลมเล็กหมายถึง โลกมนุษย์ วงใหญ่ที่มีเขี้ยวเป็นปากของพญามาร หรือพระราหูหมายถึง กิเลสในใจแทนขุมนรกคือทุกข์
ผู้ใดจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในพุทธภูมิต้องตั้งจิตปลดปล่อยกิเลสตัณหาของตนเองทิ้งลงไปในปากพญามาร เพื่อเป็นการชำระจิตเราให้ผ่องใสถึงจะเดินผ่านขึ้นไป
( ใครเดินขึ้นแล้วรู้สึกร้อนๆ เหมือนกลัวว่ามือที่ยื่นออกมาจะฉุดลงไปอยู่ด้วย ให้รีบวิ่งขึ้นไปเลยก็ได้นะครับ )
ภาพนี้ถ้าหากไม่มีคนเป็นส่วนประกอบอยู่ในเฟรม การสื่อความหมายคงเหมือนขาดองค์ประกอบอะไรไปสักอย่าง
เพราะบนเส้นทางที่ต้องเดินผ่านนรกภูมิเพื่อข้ามสีทันดรไปยังสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มันควรจะมีตัวละครเป็นส่วนประกอบสักหนึ่งหรือสองคนเพื่อให้ภาพมันมีเรื่องเล่าในตัวมันเอง คุณผู้หญิงกับหนูน้อยเลยกลายเป็นดารารับเชิญโดยไม่รู้ตัว
เดินขึ้นมาบนสันของสะพานเราก็จะเจอกับอสูรร้ายคอยชี้หน้าว่า อย่าเข้ามานะ อิโธ่ ! จ้างก็ไม่กลัว หน้าไม่เหมือนเมียเรา เราไม่กลัวหรอก อิอิ
ถ่ายวัตถุสีขาว ฉากหลังท้องฟ้าปุยเมฆก็สีขาวไปหมด ชดเชยแสง +1 ก็ยังไม่พอ ต้องมาเลิกปรับ Curves กันใน NX อีกพอสมควร
หลังจากเราก้าวผ่านนรกภูมิมาได้อย่างใจหายใจคว่ำ อิอิ เราก็จะได้มายืนอยู่บนสะพาน ซึ่งหมายถึง เขาพระสุเมรุ อันเป็นที่อยู่ของเทวดา ด้านล่างเป็นสระน้ำ หมายถึง สีทันดรมหาสมุทร มีสวรรค์ตั้งอยู่ 6 ชั้นด้วยกัน
เมื่อเราเดินมาอยู่บนสะพานอันหมายถึงสรวงสวรรค์แล้ว ลองเหลียวมองกลับไปยังที่เราเดินขึ้นมาซึ่งภาพจากเลนส์มุมกว้างอาจจะดูหลอกตาว่าระยะทางไกล แต่ความจริงสั้นเพียงนิดเดียวแหละครับ
และสิ่งที่ห้ามทำอย่างเด็ดขาด ก็คือการเดินย้อนคืนกลับไปยังที่เราเดินขึ้นมา ก็ แหม ! อุตส่าห์ก้าวผ่านจากขุมนรกขึ้นมายังสรวงสวรรค์ทั้งที ยังจะเดินย้อนกลับลงไปหามันอีกหรือ ?
แต่ถ้าใครไม่เชื่อ อยากลองดีก็ไม่ว่ากันครับ ไสยศาสตร์มีจริง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะทันทีที่คุณหันหลังกลับเดินย้อนลงไป คุณก็จะได้ยินเสียงจากโทรโข่งเจ้าหน้าที่ประกาศลั่นได้ยินกันทั้งวัดว่า
“ อย่าเดินย้อนลงมานะครับ ห้ามเดินครับ “
คนในวัดทั้งหมดจะมองมาที่คุณเป็นสายตาเดียว อายเค๊ามั๊ยล่ะ แม่จำเนียร
ผ่านสวรรค์ทั้ง 6 แล้วเราก็จะเดินลงไปสู่แผ่นดินของพรหม 16 ชั้น ซึ่งแทนด้วยดอกบัวทิพย์ 16 ดอก รอบๆอุโบสถ
ดอกบัวที่ใหญ่สุดมี 4 ดอกครับ อยู่ตรงทางขึ้นด้านข้างโบสถ์ หมายถึง ซุ้มพระอริยเจ้า 4 พระองค์ ประกอบด้วยพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เป็นสงฆ์สาวกที่เราควรกราบไหว้บูชา
ก่อนขึ้นบันไดอันเป็นทางเข้าพระอุโบสถ ส่วนของครึ่งวงกลม หมายถึง โลกุตตรปัญญา บันไดทางขึ้น 3 ขั้น แทนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ผ่านแล้วจึงขึ้นไปสู่แผ่นดินของอรูปพรหม 4 แทนด้วยดอกบัวทิพย์ 4 ดอก และบานประตู 4 บาน บานสุดท้ายเป็นกระจกสามเหลี่ยมแทนความว่าง (ความหลุดพ้น)
แล้วจึงจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าสู่พุทธภูมิ กายในประกอบด้วยภาพเขียนโทนสีทองทั้งหมด ผนัง 4 ด้าน เพดานและพื้นล้วนเป็นภาพเขียนที่แสดงถึงการหลุดพ้นจากกิเลสมาร มุ่งเข้าสู่โลกุตตรกรรม
น่าเสียดายที่ภายในโบสถ์ห้ามถ่ายภาพนะครับ ก็เลยไม่มีภาพมาฝากเพื่อนๆ แต่ภายในก็ยังอยู่ระหว่างตกแต่งงานเขียนอยู่ครับ
ก็ขอจบการทัวร์วัดร่องขุ่นไว้แค่นี้นะครับ ความจริงผมคิดว่าอาจารย์เฉลิมชัยน่าจะให้เด็กนักเรียนโรงเรียนแถวนั้น คอยเป็นไกด์นำเที่ยว ( เหมือนอย่างที่ผมเห็นวัดในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆอย่างเช่นวัดภูมินทร์ จ.น่าน )
แม้ว่าวัดร่องขุ่นจะไม่มีประวัติความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แต่ความหมายต่างๆของสถาปัตยกรรมที่อาจารย์สร้างไว้ก็น่าสนใจและมีคุณค่าทางพระพุทธศิลป์เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งน่าจะทำให้คนที่มาเที่ยวชมได้เข้าใจในความหมายมากกว่าการมาเดินๆ แล้วก็พูดแค่ว่า สวยอย่างนั้น สวยอย่างนี้ แต่ไม่เข้าใจความหมายในศิลปะที่อาจารย์ต้องการสื่อสักนิด
Create Date : 16 มิถุนายน 2552 |
|
17 comments |
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2554 1:22:59 น. |
Counter : 3509 Pageviews. |
|
|
|