Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
10 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 
ตะลุย “ภูพระบาท”ชมธรรมชาติสุดอัศจรรย์

"อยากเป็นโนบิตะจะได้มีโดราเอมอนอยู่ใกล้ๆตัว ไว้ขอยืมสิ่งประดิษฐ์ในอนาคตมาใช้บ้าง
โดยเฉพาะเครื่องไทม์แมชชีน..."
ความคิดนี้แว่บเข้ามาในสมองทันทีเมื่อมายืนอยู่ที่ “อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” ที่จังหวัดอุดรธานี

ทำไมนะหรือ? ก็เพราะที่นี่มีอะไรหลายๆอย่าง ที่ดูน่าศึกษาค้นคว้าชวนตื่นตาตื่นใจไปหมดนะ สิ
ยิ่งได้ฟังเรื่องราวอันเก่าแก่ ตั้งแต่ตำนานเรื่องนางอุสา-ท้าวบารส ลงมาเรื่อยจนถึงประวัติศาสตร์ในยุคสมัยต่างๆ
ที่เคยเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกโหยหาอดีตขั้นรุนแรงทีเดียว
ไม่ได้โม้นะใครไม่เชื่อลองมาพิสูจน์เองได้

ตามข้อมูลที่ได้ศึกษามานั้น อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่ในเขตตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ
จังหวัดอุดรธานี พื้นที่ทั้งหมดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าเขือน้ำ”
ซึ่งทางกรมศิลปากรได้ขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าจำนวน 3,430ไร่ ประกาศให้เป็นเขตอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท




อุทยานฯภูพระบาทมีลักษณะพิเศษของสภาพพื้นที่ คือ
บริเวณนี้ปรากฏโขดหินและเพิงหินทราย กระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งนักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่า
เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อครั้งอดีตบริเวณนี้ต้องถูกปกคลุมด้วยธารน้ำแข็งขนาดใหญ่

หินที่ภูพระบาทสามารถบอกเล่าเรื่องราวย้อนหลัง ได้ตั้งแต่ยุคสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ ราว 2,000-3,000 ปี
มนุษย์ยุคก่อนส่วนหนึ่งพักอาศัยอยู่บนโขดหินและเพิงผาธรรมชาติ มีหลายจุดในภูพระบาทที่พบสถานที่
ซึ่งสันนิษฐานว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยอย่างห้องนอนและห้องครัวมาก่อน เพราะพบภาพเขม่าควันเกาะติดตามเพิงหิน
ยามเวลาว่างมนุษย์ยุคหินก็ได้ขีดเขียนภาพ เช่น ภาพ คน ภาพสัตว์ คงไว้ประดับผนังบ้าน
วัสดุที่ใช้ขีดเขียนก็ได้จากสิ่งใกล้ตัวอย่างสีจากยางไม้ธรรมชาติ เลือดสัตว์บางชนิด

จากยุคก่อนประวัติศาสตร์มาถึงสมัย “ทวารวดี” อิทธิพลของทวารวดีได้ครบคลุมพื้นที่ภูพระบาทด้วย
จากเพิงพักของมนุษย์ยุคหิน ภูพระบาทถูกดัดแปลงจากโขดหินให้เป็นศาสนสถาน
โดยมีคติการปักใบเสมาหินขนาดใหญ่ล้อมรอบเอาไว้ ต่อมาก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลเขมร
ท้ายที่สุดได้รับอิทธิพลโดยตรงจากวัฒนธรรมล้านช้าง
พบว่ามีร่อยรอยของงานศิลปกรรมสกุลช่างลาวอยู่มิใช่น้อยบนภูพระบาท




การมาเที่ยวภูพระบาทให้ความรู้สึกแตกต่างจากการเที่ยวที่อื่น
และถ้าใครกำลังคิดว่า จะเดินเที่ยวภูพระบาทเองล่ะก็ ไม่แนะนำ ด้วยพื้นที่ที่มีอาณาเขตกว้างขวางนับพันไร่
ขืนเดินเองสะเปะสะปะมีหวังเป็นลมชักตาตั้งได้แน่ เดี๋ยวจะว่าหล่อไม่เตือน
แต่ควรเลือกใช้บริการของมัคคุเทศก์ ที่ทางเจ้าหน้าที่อุทยานจัดเตรียมไว้ให้ จะดีกว่า
เพราะนอกจากจะได้รับความเพลิดเพลินแล้ว ยังได้รับความรู้ด้านประวัติศาสตร์ แง่มุมต่างๆอีกด้วย

เมื่อได้มัคคุเทศก์ประจำกลุ่มแล้วก็ต้องดูเวลาด้วยว่า เรามีเวลามากแค่ไหนในการเดินชม
เพราะเจ้าหน้าที่จะได้จัดโปรแกรมให้ถูกว่าจะพาเราไปดูอะไร ที่ไหนบ้าง
ซึ่งในแต่ละเส้นทางทางอุทยานฯภูพระบาทได้มีการจัดทำป้ายและลูกศร
บอกชื่อสถานที่แสดงตลอดระยะทาง เป็นการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว




เมื่อ พร้อมออกเดินทาง มัคคุเทศก์ก็เลือก ที่จะพาเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ของทางอุทยานฯภูพระบาทก่อน
เป็นลำดับแรก เข้าใจว่าจุดประสงค์คือ เพื่อให้เราทำความรู้จักกับภูพระบาทก่อนสักเล็กน้อย
ก่อนที่จะไปพบกับของจริง ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็มีการนำภาพถ่ายของภาพเขียนสีที่พบในเขตอุทยานฯ
มาจัดแสดงไว้ให้ชม พร้อมทั้งมีคำบรรยายถึงชนิดของสีที่ใช้ว่าเกิดจากอะไร

มีการจำลองหอนางอุสาไฮไลต์สำคัญของที่นี่ พร้อมคำบรรยายถึงตำนานท้องถิ่นเรื่องนางอุสา-ท้าวบารส
ที่ถูกนำมาผูกโยงตั้งชื่อสถานที่ต่างๆ ในอุทยานฯภูพระบาทผสมผสานกันได้ อย่างกลมกลืนลงตัว

ตำนานของนางอุสา-ท้าวบารส ถ้าให้เล่าคงยาวเป็นวา ขอสรุปย่อๆพอประมาณว่า
เป็นเรื่องของพ่อที่ชื่อ “พระยากงพาน” ซึ่ง หวงนางอุสาลูกสาวเป็นอย่างมาก หวงจนต้องสร้างหอสูงไว้ให้อยู่
แต่คู่แล้วไม่แคล้วกัน วันหนึ่งนางอุสาใช้มาลัยเสี่ยงทายลอยไปตามน้ำจนพบคู่คือ
ท้าวบารสเจ้าชาย เมืองปะโคเวียงงัวทั้งคู่แอบลักลอบได้เสียกัน

เมื่อพระยากงพานรู้ก็โกรธมาก สั่งให้ตัดหัวท้าวบารส แต่อำมาตย์ได้ห้ามไว้
พระยากงพานเลยออกอุบายให้ท้าวบารสสร้างวัดแข่งกับพระยากงพาน พนันกันว่าใครแพ้ต้องโดนตัดหัว
กำหนดให้สร้างเสร็จก่อนดาวประกายพรึกขึ้นตอนเช้า พระยากงพานเกณฑ์ไพร่พลจำนวนมากมาสร้างวัด

ส่วนท้าวบารสมีไพร่พลเพียงน้อยนิด
พี่เลี้ยงนางอุสากลัวนางอุสาจะกลายเป็นหม้าย เลยออกอุบายเอาโคมไปแขวนไว้บนยอดไม้ใหญ่
ฝ่ายพวกพระยากงพานนึกว่าเป็นดาวประกายพรึกขึ้น ก็เลยหยุดสร้างวัดทั้งที่ยังไม่เสร็จ
ส่วนท้าวบารสสร้างวัดจนเสร็จ พระยากงพานแพ้ก็เลยโดนตัดหัวซะเอง

ต่อมาท้าวบารสพานางอุสามาอยู่ที่เมืองของท้าวบารส บรรดาชายาของท้าวบารสพากันอิจฉานางอุสา
เลยให้โหราจารย์ทำนายว่าท้าวบารสมีเคราะห์ ต้องออกเดินทางไปนอกเมืองหนึ่งปี พอท้าวบารสออกเดินทาง
ชายาก็กลั่นแกล้งนางอุสา จนต้องหนีกลับเมืองพานแล้วก็ตรอมใจตาย พอท้าวบารสรู้เรื่องก็นำศพนางอุสามาฝัง
ไม่นานท้าวบารสก็ตรอมใจตายตามกันไปแล้วก็ถูกฝังไว้ด้วยกัน

ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในพิพิธภัณฑ์แล้ว ก็เตรียมตะลุยสถานที่จริงกันได้เลย โบราณสถานในอุทยานฯภูพระบาท
แบ่งเป็น 9 กลุ่มด้วยกัน ถ้าจะใช้เวลาในการชมทั้งหมดคงกินเวลาไม่ต่ำกว่า 2 -3วันเป็นแน่
จึงให้มัคคุเทศก์แนะนำว่าควรจะไปดูอะไรดี ซึ่งมัคคุเทศก์ก็แนะนำให้เดินชม “โบราณสถานกลุ่มที่ 3”
ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ใกล้ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และเดินทางไม่ไกลนัก

จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเลี้ยวซ้ายไปตามทางเดิน ที่รายล้อมด้วยไม้ใหญ่ ที่แสดงให้เห็นว่า
ที่นี้ยังคงรักษาสิ่งแวดล้อมได้ดีพอๆกับที่รักษาโบราณสถาน ใช้เวลาเดินเพียง 5 นาที ก็มาถึง “คอกม้าน้อย”
คอกม้าน้อยมีลักษณะเป็นเพิงหิน ที่มีการสกัดแต่งโดยฝีมือของมนุษย์ยุคหินและ มนุษย์ยุคต่อๆมา
พบใบเสมาปักอยู่โดยรอบทิศทั้งหก มีภาพเขียนสีประวัติศาสตร์ด้วย ใกล้ๆกันเป็น “คอกม้าท้าวบารส”
ซึ่งตามตำนานเชื่อว่าก่อนที่ท้าวบารสจะลอบเข้าไปหานางอุสา ได้นำม้ามาผูกไว้ที่นี่

แต่ถ้าใครอยากดูภาพเขียนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ยุคหินอย่างใกล้ชิด จะสมใจแน่ เมื่อเดินมาถึง “ถ้ำวัว-ถ้ำคน”
ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วมาที่นี้จะเจออะไร ที่ “ถ้ำวัว” มีภาพสัตว์ คือ วัว 2 ตัว
มีทั้งที่เป็นลายเส้นและระบายสีทึบถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นภาพวัวมีโหนก 3 ตัวซ่อนอยู่ด้วยสีจางๆ

ส่วน “ถ้ำคน” อยู่ทางเหนือใกล้ๆกันที่ถ้ำคนบนผนังเพิงผาเดียวกันเขียนด้วยสีแดง เป็นรูปคน 7 คน
จูงมือกันเดินเดินเป็นแถว จากการสังเกตภาพคนบนผนังถ้ำมัคคุเทศก์บอกว่า ช่วยให้เราเรียนรู้ได้ว่า
มนุษย์ยุคก่อนมีสรีระอย่างไร โดยเฉพาะกล้ามเนื้อน่องโป่งนูน อาจแสดงถึงว่าเป็นพวกที่ใช้กำลังเท้าอย่างมาก




ชมภาพเขียนสีแล้วจะให้ดีต้องแวะมาดูที่ “ถ้ำพระ” ด้วย
เพราะที่นี่จะได้เห็นรูปสลักที่งดงามหลากหลายแบบ ถ้ำพระ เป็นเพิงหินขนาดใหญ่ที่เกิดจากก้อนหินขนาดใหญ่
วางทับซ้อนกันตามธรรมชาติ พบการสกัดหินก้อนล่างออกจนกลายเป็นห้องขนาดใหญ่
รวมไปถึงสลักรูปประติมากรรมทางศาสนาเอาไว้ในห้องอีกด้วย

ด้านนอกของถ้ำพระมีร่องรอยการปักใบเสมาไว้ตามทิศต่างๆ
มีการสลักเป็นภาพพระพุทธรูปนั่งประทับภายในซุ้ม ที่มีการสลักลายอย่างงดงาม 2 ซุ้มด้วยกัน
ด้านบนเป็นแถวพระพุทธรูปองค์เล็กๆยืนเรียงกันอยู่งดงามมาก
ส่วนผนังห้องอีกด้านสลักเป็นภาพพระพุทธรูปยืนปางเปิดโลกขนาดใหญ่ 3 องค์ แต่ชำรุดแตกหักไปมาก
พระพุทธรูปยืนองค์ในสุดมีร่องรอยการสลักหิน ตรงส่วนของผ้านุ่งเป็นแบบผ้าโจง
กระเบนสั้นมีลวดลายสวยงามบ่งบอกถึง การผลัดเปลี่ยนยุดสมัยของกลุ่มคนที่เคย อาศัยอยู่ที่นี่

โบราณสถานที่อุทยานฯภูพระบาทเอง ก็ประสบปัญหายุคมืดไม่ต่างจากโบราณสถานแห่งอื่น
โบราณวัตถุจำนวนไม่น้อยถูกลักลอบนำออกไปจากพื้นที่ บางจุดในอุทยานฯเราจะพบว่ามีผนังจำนวนไม่น้อย
ที่ปรากฏเป็นโครงรูปพระพุทธ รูปอยู่แต่ไร้ซึ่งพระพุทธรูป นั้นเพราะมีมือดีแอบมาเจาะไปขายเสียแล้ว

ละปัญหาของหายมาเที่ยวกันต่อดีกว่าจากถ้ำพระ มาที่ “บ่อน้ำนางอุสา” บ่อน้ำที่ตามตำนานนางอุสา-ท้าวบารส
กล่าวว่าเป็นที่ซึ่งนางอุสามาเล่นน้ำก่อนพบท้าวบารส เป็นบ่อน้ำที่เจาะสกัดลงไปในพื้นหิน
การเจาะๆเป็นรูปทรงกรวยให้ค่อยๆแหลมลึกลงไปในเนื้อหิน
บ่อน้ำแห่งนี้สันนิษฐานว่าคงเป็นแหล่งน้ำบริโภคของคนในสมัยโบราณ
หรือ อาจใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมบางอย่าง

และก็มาถึงไฮไลต์อย่าง “หอนางอุสา” ซึ่ง อยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
หอนางอุสานี้มีลักษณะเป็นเพิงหินสูงรูปดอกเห็ด สูงจากพื้นประมาณ 10 เมตร
มีการก่อหินล้อมเป็นห้องขนาดเล็กเอาไว้ที่เพิงหินด้านบน
ก่อเป็นห้องที่มีประตูและหน้าต่างขนาดเล็กอยู่ที่ผนังทั้งสอง ใช้ประกอบพิธีกรรมหรือบำเพ็ญเพียรได้เป็นอย่างดี
มีใบเสมาหินขนาดกลางจนถึงใหญ่ปักล้อมรอบหอนางอุสาเอาไว้ด้วย
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา

ปิดท้ายกลุ่มที่ 3 นี้ด้วยการชม “หีบศพนางอุสาและหีบศพท้าวบารส” ซึ่งตามตำนานกล่าวไว้ว่า
นางได้ตรอมใจตายหลังจากหนีกลับจากเมืองของท้าวบารส เนื่องจากถูกกลั่นแกล้ง
ส่วนท้าวบารสเมือได้ทราบข่าว จึงออกติดตามนางอุสาจากนั้นพระองค์ก็ตรอมใจตายไปในที่สุด
ลักษณะของหีบศพนี้ คือ การขุดเจาะหินจนเรียบขนาดใหญ่พอที่คนจะสามารถเข้าไปนอนอยู่ได้



และขากลับควรที่จะแวะสักการะ “พระพุทธบาทบัวบก” ที่ มีองค์พระพุทธบาทบัวบก
สร้างเลียนแบบพระธาตุพนมองค์เดิม ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ขุดพบอยู่ในรอยพระพุทธบาท
ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในโบราณสถานของภูพระบาทเช่นกัน

อืม...มาถึงตอนนี้ไม่อยากได้ไทม์แมชชีนแล้ว
เพราะว่าการได้มาเดินเที่ยวที่ภูพระบาท ก็ได้ย้อนเวลาไปในสมัยต่างๆสมใจแล้ว.

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

การเดินทางมายังอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จากจังหวัดอุดรธานี
เดินทางมาตามทางหลวงหมายเลข 2 ประมาณ 13 กิโลเมตร
จะมีทางแยกซ้ายที่บริเวณบ้านดงไร่เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2021 เพื่อไปยังบ้านผือ เป็นระยะทาง 43 กิโลเมตร
จากนั้นจึงเดินทางมาตามทางหลวงหมายเลข 2438 เป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร จนถึงบริเวณ สามแยกบ้านติ้ว
ให้ขับรถตรงขึ้นเขาตามถนนลาดยาง ประมาณ 4 กิโลเมตร จะเข้าเขตอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00น. ค่าธรรมเนียมคนไทย 10 บาท ต่างชาติ 30 บาท


ที่มา ://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9510000021293


Create Date : 10 ธันวาคม 2552
Last Update : 10 ธันวาคม 2552 15:06:46 น. 0 comments
Counter : 1378 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.