|
เที่ยว"สาทร" ย้อนอดีตบางกอก
บ้านสวนพลู ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ทรงไทยโบราณท่ามกลางแมกไม้ไทยๆ สาทร ย่านเศรษฐกิจสำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่หากมองลึกลงไปแล้ว เขตสาทรนอกจากจะเต็มไปด้วยตึกสูงใหญ่มากมายแล้ว สาทรยังมีอดีตอันทรงคุณค่า มีสถานที่สำคัญๆหลายแห่ง อีกทั้งยังมีชุมชนเก่าแก่ ที่ยืนหยัดอยู่กับลมหายใจแห่งความร่วมสมัยได้ อย่างกลมกลืน นั่นจึงทำให้ฉันเลือก“เขตสาทร”เป็นเป้าหมายในการออกลุยกรุงครั้งนี้ แต่ว่าก่อนที่จะไปตะลุยเที่ยวย่านนี้ ฉันขอไขข้อข้องใจเกี่ยวชื่อ"สาทร" และ "สาธร" กันเสียหน่อย
เมืองหนังสือ ดับเบิล เอ บุ๊ค ทาวเวอร์ เดิมนั้นเขตนี้ใช้ชื่อว่า"สาธร" ซึ่งเป็นชื่อสำนักงานเขตสาธร ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย แต่คำนี้ไม่มีประวัติความเป็นมา และไม่มีความหมายในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 แต่สาทรมีประวัติความเป็นมาทั้ง“คลองสาทร”และ"ถนนสาทร" โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงที่กิจการค้าข้าวของสยามรุ่งเรืองมาก มีชาวจีนและฝรั่งเข้ามาค้าขายมากขึ้น แต่การคมนาคม การขนส่งมีความยากลำบาก ทางราชการต้องการพัฒนาที่ดิน และขุดคลองเป็นจำนวนมาก ครั้งนั้นในปี 2431 เจ๊สัวยม คหบดีชาวจีนได้อุทิศที่ดินของตนและทำการขุดคลองขึ้น จากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกไปบรรจบคลองวัดหัวลำโพง และนำดินที่ขุดคลองทำถนนทั้ง 2 ฝั่งคลอง ภายหลังเจ๊สัวยมได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น หลวงสาทรราชายุกต์ จึงได้เรียกชื่อคลอง และถนน 2 ฝั่งนี้ว่า "สาทร" เพื่อเป็นเกียรติแก่หลวงสาทรราชายุกต์
วัดยานนาวา แปลกตาด้วยพระสำเภาพระเจดีย์ ในขณะที่คำว่า "สาทร" ตามพจนานุกรมนั้นหมายถึง เอื้อเฟื้อ เอาใจใส่ ดังนั้นในปี 2542 จึงได้เปลี่ยนแปลงชื่อ "เขตสาธร" เป็น "เขตสาทร" นับแต่นั้นมา อนึ่งความเก่าแก่ของสาทรไม่ได้มีเพียงแค่ชื่อเท่านั้น หากแต่สถานที่ต่างๆที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณเขตสาทร ก็มีความเก่าแก่น่าสนใจ เป็นอย่างมาก อย่าง "วัดยานนาวา" วัดเก่าแก่แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาโน้น สิ่งที่โดดเด่นของวัดแห่งก็คือ "พระสำเภาพระเจดีย์" ลักษณะเป็นพระเจดีย์ทรงเรือสำเภาขนาดเท่าเรือสำเภาจริง สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 3 เพื่อเป็นอนุสรณ์ ในการที่พระองค์ทรงใช้เรือสำเภาขนส่งสินค้าไปทำมาค้าขายถึง เมืองจีนและประเทศต่างๆ
สะพานปลาแหล่งค้าปลาน้ำจืดและน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในเมืองกรุง และเรือสำเภานี้ยังแทนความหมายถึงเรือขนาดใหญ่ที่พามนุษย์ชาติข้าม โอฆะสงสารไปสู่พระนิพพาน ตามพระธรรมของพระเวสสันดรชาดก ตอนที่พระเวสสันดรทรงตรัสเรียกกัณหาและชาลีให้อุทิศตน เพื่อร่วมกับพระบิดา สร้างมหากุศลดังจะเห็นรูปหล่อพระเวสสันดรโพธิสัตว์ กัณหา และชาลีที่ท้ายเรือ ภายในสำเภาจีนนี้มีพระเจดีย์ 2 องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่กลางเรือเป็นฐานย่อมุมไม้ยี่สิบ ส่วนพระเจดีย์องค์เล็กเป็นพระเจดีย์แบบฐานย่อมุมไม้สิบหก พระเจดีย์ทั้งสององค์นั้น เป็นศิลปกรรมในแบบขนบประเพณีสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีความโดดเด่นและมีความสวยงามยิ่ง ตามถนนเจริญกรุงมาเรื่อยๆ ฉันได้กลิ่นคาวปลาลอยมาแตะจมูก ก็เป็นที่รู้กันว่าที่แห่งนี่คือ "สะพานปลากรุงเทพ" แหล่งขายส่งปลาสำหรับบริโภคที่ใหญ่ที่สุด แต่เดิมบริเวณที่ใช้ขนถ่ายและจำหน่ายสัตว์น้ำเค็ม และน้ำจืดของกรุงเทพคับแคบไม่สะดวก จึงได้มีการจัดตั้งตลาดสินค้าสัตว์น้ำแห่งใหม่ขึ้นในกรุงเทมหานคร โดยมีองค์การสะพานปลา รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่ควบคุมดูแลรับผิดชอบ ใครอยากจะได้ของสดๆถูกๆส่งตรงจากทะเลล่ะก็ต้องมาตอนตี2 ถึงประมาณ 8 โมงเช้า ส่วนปลาน้ำจืดจะเริ่มขายกันในเวลา 11 โมง ถึงบ่ายๆ ใครที่มาถูกที่แต่ไม่ถูกเวลาก็อดรับประทานกันไป
วัดวิษณุ วัดแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีเทวรูปหินอ่อนแกะสลักมือครบ 24 องค์ ถัดจากสะพานปลาฉันลัดเลาะเข้าตรอกซอกซอยมาโผล่ยัง "วัดวิษณุ" ซึ่งสร้างขึ้นโดยชาวอินเดียเมื่อ พ.ศ.2463 เนื่องจากศาสนิกชนชาวอุตตรประเทศเพิ่มจำนวนขึ้น และสถานที่บริเวณวัดแขกไม่สามารถขยายเพิ่มได้อีก จึงได้ขยับขยายไปสร้างวัดในพื้นที่วัดวิษณุปัจจุบัน หลังจากสร้างเสร็จก็ได้อัญเชิญเทวรูปต่างๆ มาจากประเทศอินเดียและทำพิธีประดิษฐาน ณ ที่แห่งนี้ แต่โบสถ์ที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันดูไม่เก่าแก่ขนาดนั้น เพราะเป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ.2535 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2544 และในปี 2547 ก็ได้มีการอัญเชิญเทวรูปทั้งหมด 24 องค์ มาจากประเทศอินเดีย เพื่อประดิษฐานในโบสถ์ใหม่แห่งนี้ด้วย ซึ่งวัดวิษณุแห่งนี้ ถือเป็นวัดพราหมณ์-ฮินดูแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเทวรูป ศักดิ์สิทธิ์ สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลักด้วยมือจากประเทศอินเดียครบ 24 องค์ด้วย
วัดปรกวัดแห่งศิลปะและแรงศรัทธาของชาวมอญ เดินออกจากวัดวิษณุไปเพียงไม่กี่ก้าว ฉันก็ไปถึงยัง "วัดปรก" วัดราษฎร์เล็กๆที่สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ.2470 โดยพลังศรัทธาของชาวมอญที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองไทย และต้องการที่จะมีวัดไว้ เพื่อบำเพ็ญบุญและเป็นศูนย์รวมชาวมอญในประเทศไทย เมื่อเข้าไปในวัดปรก ฉันจึงได้เห็นถึงรูปแบบศิลปะของความเป็นมอญ ได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ประตูทางเข้า ที่มีหงส์อยู่ที่หัวเสาแลดูสวยงาม และบ่งบอกความเป็นมอญรามัญได้เป็นอย่างดี ภายในวัดตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบหงสาวดี มีพระพุทธรูปหยกขาว และเจดีย์ทรงลังกา บริเวณเจดีย์ฉันมองออกไปทางด้านหลังวัดเห็นสุสานมากมาย และตรงบริเวณสุสาน ที่มีหญ้าขึ้นมีวัวหลายตัวเล็มกินหญ้าอย่างสบายอกสบายใจ มองเลยถัดจากสุสานคล้ายจะมีสวนสาธารณะเขียวขจี ที่มีฉากหลังไกลๆเป็นตึกสูงใหญ่ของสังคมเมือง ช่างเป็นความต่างที่จะว่าไปแล้วก็ลงตัวไม่น้อย
สุสานแต้จิ๋วสวนสาธารณะที่เหมาะสำหรับออกกำลังกายและพักผ่อนหย่อนใจ เห็นกระนั้น เมื่อฉันออกจากวัดปรกจึงมุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะแห่งนั้น นั้นคือ "ลานคนเมือง สมาคมแต้จิ๋ว" หรือ "สุสานแต้จิ๋ว" ในอดีตนั้นเอง เมื่อก่อนบริเวณนี้ เปิดให้ประชาชนเข้าไปในสุสานได้เฉพาะในเทศกาลไหว้ บรรพบุรุษของชาวจีนเท่านั้น จึงทำให้พื้นที่ตรงนี้ดูรกร้างมีสัตว์เลื้อยคลานที่น่ากลัว ความน่าสะพรึงกลัวในบริเวณนี้ได้เปลี่ยนไป เมื่อสำนักงานเขตได้เข้ามาพัฒนาพื้นที่ป่าช้า ให้เป็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่น สวยงาม จนกลายเป็นแหล่งพักผ่อน และออกกำลังกายแหล่งใหญ่ของเขตสาทร ภายในสวนสวยแห่งนี้ยังมีศาลเจ้าเก่า และด้านหน้าศาลเจ้าเก่า ก็มีรูปปั้นเทพของชาวจีนสีทองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน อยู่กลางบ่อน้ำอย่างสวยงาม ฉันคิดว่าทั้งคนที่มาเดิน วิ่ง เพาะกาย แอโรบิค แบดมินตัน หรือจะมานั่งพักผ่อนหยอนใจ ก็คงไม่รู้สึกถึงความน่ากลัวของสุสานแห่งนี้อีกแล้ว ที่สำคัญสวนแห่งนี้ก็ทำให้ฉันปลงได้ว่าชีวิตต้องมีเกิด แก่ เจ็บ และตายไปในที่สุดเป็นเรื่องธรรมดา ถือได้ว่าสุสานแต้จิ๋วนี้เป็นสุสาน เพื่อออกกำลังกายแห่งเดียวในประเทศไทยเลยทีเดียว
โบสถ์เซนต์หลุยส์ สถานที่ประกอบพิธีกรรมของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก จากวัดแบบไทย มอญ จีน ฮินดูแล้ว ฉันมาต่อที่ "วัดเซนต์หลุยส์" วัดของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งหลังจากที่ คุณพ่อหลุยส์ โชแรง ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชปกครองมิสซังกรุงเทพฯ ท่านโชแรงได้ย้ายบ้านพักพระสังฆราชจากวัดอัสสัมชัญ มาสร้างที่บริเวณใกล้กับโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ และท่านก็ได้สังเกตว่าคริสตังแถบนี้มีจำนวนมากและไม่มีวัดในแถบนี้ ให้ร่วมพิธีกรรม ท่านจึงตั้งใจที่จะสร้างวัดเซนต์หลุยส์ขึ้นในปี พ.ศ.2498 และได้ตั้งชื่อตามนามของผู้สร้างวัดนี้ เมื่อแล้วเสร็จก็ได้เปิดวัดอย่างสง่าในปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา ไม่ไกลจาดวัดเซนต์หลุยส์ เป็นที่ตั้งของ "หอการค้าไทยจีน" อาคารเก่าแก่ 3 ชั้น เดิมอาคารสวยงานแห่งนี้สร้างขึ้น ในปี พ.ศ.2446 เพื่อเป็นห้างสรรพสินค้าบอมเบย์ ที่โก้หรูที่สุดของสังคมชาวบางกอก ต่อมาในปี พ.ศ.2471 สภาหอการค้าไทย-จีน ได้ซื้ออาคารหลังนี้ไว้เป็นกรรมสิทธิ์
อาคารหอการค้าไทย-จีน สถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์ผสมอิทธิพลจีนอันเก่าแก่สวยงาม ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารแห่งนี้ได้กลายสภาพเป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพญี่ปุ่น และเมื่อสงครามยุติ ก็ได้กลับมาเป็นสำนักงานใหญ่ของสภาหอการค้าไทย-จีน อีกครั้ง จนกระทั่งสภาหอการค้าได้สร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นในบริเวณเดียวกัน อาคารหลังนี้จึงได้ถูกเช่าทำเป็นภัตตาคารร้านอาหารไทย ที่มีชื่อเสียงแห่ง หนึ่งจนถึงปัจจุบัน สถาปัตยกรรมของอาคารแห่งนี้เป็นแบบเรอเนสซองส์ผสมอิทธิพลจีน มีความโดดเด่นที่มุขหน้าคล้ายหอคอย ส่วนบนสุดเป็นแผงประดับรูปโค้งคล้ายแผงทรงระฆังของอาคารดัทช์ หน้าต่างโค้งตกแต่งด้วยคิ้วบัวปูนปั้น และมีกันสาดยื่นคลุมหน้าต่างชั้นสอง และชั้นสาม ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อเติมในช่วงหลัง ซึ่งอาคารอันเก่าแก่สวยงามแห่งนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารอนุรักษ์ ของกรมศิลปากรแล้ว นอกจากนี้ในเขตสาทรยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกมาก อาทิ เมืองหนังสือ "ดับเบิล เอ บุ๊ค ทาวเวอร์" ตึก 9 ชั้นที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือจากหลากหลายสำนักพิมพ์ หรือที่ "บ้าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช" หรือ "บ้านซอยสวนพลู" กลุ่มบ้านทรงไทยแบบโบราณและศาลา ท่ามกลางความเขียวขจีของต้นไม้ไทยๆหลากชนิด ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ฉันได้เคยเล่าสาธยายไปแล้ว ใครที่ผ่านมาผ่านไปแถวสาทร ก็อย่าลืมหาวันว่าง ลุยเขตสาทรรับรองว่าเที่ยวกรุงเทพฯยังไม่มีเบื่อแน่นอน * * * * * * * * * * * *
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเขตสาทร โทร.0-2212-8112, 0-2211-3678 โดย : หนุ่มลูกทุ่ง ที่มา ://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000009681
Create Date : 06 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 6 ธันวาคม 2552 14:31:30 น. |
|
5 comments
|
Counter : 3004 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Tukta21 วันที่: 6 ธันวาคม 2552 เวลา:17:05:00 น. |
|
|
|
โดย: CrackyDong วันที่: 6 ธันวาคม 2552 เวลา:17:35:01 น. |
|
|
|
โดย: maxpal วันที่: 6 ธันวาคม 2552 เวลา:17:58:34 น. |
|
|
|
โดย: ตามใจท่าน วันที่: 6 ธันวาคม 2552 เวลา:18:47:43 น. |
|
|
|
โดย: สุนทรีย์ IP: 58.8.77.9 วันที่: 7 ธันวาคม 2552 เวลา:1:35:40 น. |
|
|
|
|
|
|
|