|
เลือกคู่อย่างไรให้เป็นสุข
เวลาเราถามใคร ๆ รอบตัวว่า "ความสุขที่มากที่สุดในชีวิตของคุณคืออะไร" บางคนอาจตอบว่า การมีงานดี การมีเพื่อนดี แต่คนส่วนใหญ่แล้วมักตอบว่า "การมีชีวิตคู่ที่มีความสุข" สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า การมีชีวิตคู่หรือการแต่งงานเป็นเรื่องที่สำคัญ ระยะนี้ข่าวความล้มเหลวในชีวิตคู่มีปรากฏให้เห็นอยู่บ่อย ๆ แน่นอนว่า ความล้มเหลวนี้ย่อมก่อความกระทบกระเทือนต่อชีวิตของคู่สมรส หรือคู่รักอย่างแน่นอน โดยเฉพาะทางจิตใจ ดังนั้น คนเราทุกคนย่อมไม่อยากประสบกับความล้มเหลวในชีวิตคู่ของตน
หนทางหนึ่งที่ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงความล้มเหลวในชีวิตคู่ได้ก็คือ การเลือกคู่ครองที่เหมาะสม คำถามที่ตามมาก็คือ " เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า คน ๆ นี้จะเป็นคู่ครองที่เราควรเลือก" คำตอบเบื้องต้นอยู่ที่หลักพื้นฐานในการเลือกคู่ 2 เรื่องคือ ความพร้อมในการมีคู่และขั้นตอนการเลือกคู่
ความพร้อมในการมีคู่ มี 4 คำถามหลักที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ คือ
ข้อแรก เราอยากมีคู่หรือเปล่า? เราต้องมีความคิดว่าเราอยากแต่งงาน อยากใช้ชีวิตคู่ร่วมกับใครสักคน ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกโรแมนติก หรือตั้งอยู่บนความฝันก็ได้ แต่ที่สำคัญคือเราไม่ได้ปฏิเสธตัวเองในเรื่องนี้ ส่วนข้อที่สองจะเป็นส่วนที่ตั้งอยู่บนเป็นความจริง คือเราต้องถามตัวเองว่า เราพร้อมหรือยังที่จะมีพันธะผูกพันกับใครสักคน และเป็นพันธะผูกพันธ์ที่ไม่ใช่แค่เดือนสองเดือน แต่เป็นเวลานานหรือเกือบตลอดชีวิต ถ้าเรายังลังเลไม่แน่ใจ ก็อาจจะต้องชะลอเวลาก่อน จนกว่าจะแน่ใจ
ในข้อที่สามเป็นเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ คือเรื่องกระแสสังคม คนรอบตัวเราเห็นด้วยหรือไม่กับการมีคู่ของเรา บางครั้งเราอาจยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน แต่คนรอบตัวโดยเฉพาะญาติพี่น้องเพื่อนฝูงอาจจะกดดันว่า "เห็นมั้ย เพื่อนแต่งกันหมดแล้วนะ" หรือในทางกลับกันก็อาจจะไม่เห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์จนทำให้เราลังเล หรือรู้สึกไม่แน่ใจ จะเห็นได้ว่ากระแสสังคมมีอิทธิพลต่อเราทั้งในทางบวกและทางลบ Wedding package ที่โฆษณากันมากๆในขณะนี้ก็เป็นตัวอย่างของกระแสสังคมที่กระตุ้นให้คนมีคู่ ที่เห็นได้ชัดอันหนึ่งเหมือนกัน
ข้อสุดท้ายถือเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน นั่นก็คือ ข้อแม้หรือกฎเกณฑ์ที่แต่ละคนตั้งไว้ คุณก็ต้องตรวจดูกฎเกณฑ์ของคุณเองว่าคุณพร้อมหรือยัง หรือจะปรับลดกฎเกณฑ์เหล่านั้นลงมาเสียบ้าง เช่น บางคนตั้งใจว่าจะแต่งงานเมื่อทำงานแล้ว บางคนต้องมีเงิน มีบ้าน มีรถแล้ว จึงจะแต่ง บางคนต้องรอให้พบชายในฝันตามสเปคที่ตั้งไว้ ฯลฯ ซึ่งจะแตกต่างกันไป ที่กล่าวมาข้างต้นทั้ง 4 ข้อนั้นคือคำถามที่ใช้ถามตัวเราเองเท่านั้น ถ้ามีข้อใดที่คุณยังตอบตัวเองให้ชัดเจนไม่ได้ ก็รอไปก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งเร่งตัวเอง ให้เวลากับตัวเองอีกสักหน่อย แต่ถ้าคุณผ่านได้ทั้ง 4 ข้อก็แสดงว่า คุณมีความพร้อมที่จะมีคู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีคู่ได้จริงในตอนนี้อีกนั่นแหละ อย่าลืมว่าการมีคู่ต้องประกอบด้วยคน 2 คน เราอาจจะพร้อม แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่พร้อม หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือ ยังหาอีกฝ่ายไม่เจอ การมีคู่ก็ยังคงเกิดไม่ได้ เอาเป็นว่า ตอนนี้เราอยากมีคู่และคาดว่าพร้อมที่จะมีคู่ได้ในเร็วๆนี้ก่อนก็แล้วกัน นั่นก็หมายถึงหลักการขั้นต่อไป อันได้แก่การพิจารณาถึงขั้นตอนการเลือกคู่ คราวนี้เราจะมาคุยกันละว่าการจะเลือกคู่นั้นควรจะทำอย่างไรบ้าง
ในขั้นแรก แน่นอน เราต้องไปชอบใครสักคนก่อน ขั้นนี้นับเป็นขั้นเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ผิวเผินมาก แต่บางคนก็อาจจะวนเวียนอยู่ในขั้นนี้หลายปี ในขั้นแรกนี้เราต้องมีโอกาสที่จะได้เจอใคร ๆ ก่อน เช่น เดินชนกันแบบในภาพยนตร์ เพื่อนแนะนำ หรือพบกันในที่ทำงาน ฯลฯ ดังนั้น ขอให้ทุกท่านตระหนักไว้ว่า ถ้าเราเอาแต่เก็บตัวนั่งเงียบ ๆ อยู่แต่ในบ้าน เราคงไม่มีคู่ไปตลอดชีวิต เพราะไม่มีโอกาสได้เจอใคร และใคร ๆ ก็ไม่มีโอกาสได้เจอเรา นอกจากบุรุษไปรษณีย์หรือคนส่งพิซซ่า เราต้องเปิดตัวเองสู่สังคมบ้าง คราวนี้เราก็อาจจะไปเจอคนบางคนและเกิดอาการ "ปิ๊ง" กันขึ้น คือ เกิดการติดตาต้องใจ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เป็นการติดใจที่รูปลักษณ์ภายนอก จากนั้นเราจะเริ่มมองที่พฤติกรรมและพยายามให้คะแนนบวก กับสิ่งที่เขาทำ แถมยังเก็บมาปลื้ม มาชื่นชมว่า เขาดีอย่างนั้น น่ารักอย่างนี้ ทั้งๆที่ เราอาจคิดไปเอง ฝันไปเอง จับไปแต่งเติมให้เขาเองทั้งนั้น เช่น "คน ๆ นี้น่ารักเหลือเกิน จะลงจากรถก็เปิดประตูให้" และเราก็จะพยายามหาทางใกล้ชิดกับคนคนนั้นให้มากขึ้น ในช่วงนี้แหละที่เราจะรู้สึกตื่นเต้นกับความแปลกใหม่ที่ เข้ามาในชีวิต มีความวุ่นวายใจ ไม่แน่ใจ มีความหลงใหล คลั่งไคล้ ความสุข ความกังวล สารพัดอารมณ์ที่ผสมปนเปกันอยู่ แต่ที่แน่ๆคือ โลกของเรากำลังเปลี่ยนเป็นสีชมพู จากขั้นที่หนึ่งอันสุดแสนจะผิวเผิน แต่ตื่นเต้นเร้าใจนี้ เราก็จะพาตัวเองไปสู่ขั้นที่สองต่อไป
ขั้นที่สอง เป็นการติดใจกันในขั้นที่ลึกลงไป ก็คือ เราจะมีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น คุ้นเคยกันมากขึ้น ไปเที่ยวด้วยกัน ทานข้าวด้วยกัน ตรงนี้เราจะมีโอกาสได้รู้แล้วว่า สิ่งต่าง ๆ หรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เขาชอบหรือไม่ ชอบในชีวิตนั้นคล้ายกับเราหรือไม่ เราเริ่มศึกษาคนคนนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการดูรวมๆในเรื่องของนิสัยใจคอ และการใช้ชีวิตหรือคุณค่าในชีวิตของเขาที่ตั้งไว้ว่าตรงกับเราหรือไม่ แต่ที่สำคัญคือ ในขั้นนี้ทั้งคู่จะหันด้านที่ดีของ ตนให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็น นอกจากนั้นเรายังสนใจและพยายามหาดูว่าเรามีอะไรที่เหมือนกัน โดยมักจะมองข้ามในเรื่องของความแตกต่างระหว่างกัน ทั้งที่ความเหมือนกันของเรา ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพียง ความพยายามของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งคู่ที่จะทำตัวคล้อยตามกัน โดยที่ไม่ใช่ตัวตนของเราจริงๆ หลายคนอาจจะเปลี่ยนไป ไม่เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ไม่กล้าแสดงถึงความต้องการที่แท้จริง เพราะพยายามจะเอาใจอีกฝ่ายหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในขั้นนี้ ทั้งคู่จะมีความหวานชื่นและโรแมนติคในความรัก ความสัมพันธ์ ที่ตั้งอยู่บนความเหมือนกันและบนส่วนที่ดีของกันและกัน ถ้าคุณทั้งสองไปด้วยกันได้ คุณก็จะผ่านขั้นแห่งความหวานชื่นที่อาจจะมีแง่งอนกันบ้างของขั้นนี้ ไปสู่ขั้นที่สามต่อไป ขั้นที่สาม เป็นขั้นที่ทั้งคู่ได้มีการตกลงเป็นคนรักกันอย่างเปิดเผยในสายตาของคนทั่วไปและอยู่ในช่วงของการพัฒนาความ สัมพันธ์ให้มั่นคง บนพื้นฐานของความเป็นจริง ซึ่งการจะดูอย่างง่ายๆว่ามั่นคงหรือไม่ ต้องดูว่า เวลาที่ออกสังคมของทั้งสองฝ่าย เราเข้ากับญาติและเพื่อนของเขาได้หรือไม่ และเขาเข้ากับเพื่อนหรือญาติของเราได้หรือไม่ บางคู่รักกัน แต่มีปัญหาด้านฐานะทางสังคม หรือมีการเข้ากันไม่ได้ระหว่างครอบครัวของสองฝ่าย ก็อาจต้องเลิกกันไป ในระยะนี้ทั้งคู่จะมองเห็นความแตกต่าง ระหว่างกันได้มากขึ้นและชัดเจนขึ้น ซึ่งต่างจากในขั้นที่สองที่จะมองเห็นแต่ความเหมือนกัน ความแตกต่างที่พบได้เหล่านี้ ตลอดจนการใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นของคนทั้งสองและการได้พบพานกับเหตุการณ์ ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตร่วมกัน จะทำให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างกัน มีการยอมรับความแตกต่างของอีกฝ่ายและ พยายามที่จะปรับตัวเข้าหากัน มีความเห็นอกเห็นใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ให้ความช่วยเหลืออาทรต่อกัน และที่สำคัญคือ ได้รู้จักตัวตนของกันและกันอย่างแท้จริงมากขึ้น ถ้าคนทั้งคู่ผ่านการปรับตัวเข้าหากันและมีการร่วม ทุกข์ร่วมสุขกันได้ในระดับต้นได้ดังกล่าว ก็จะสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและผ่านต่อไปยังขั้นสุดท้ายได้ ขั้นสุดท้าย เป็นขั้นเตรียมตัวใช้ชีวิตคู่ เราจะบอกตัวเองได้ว่า เราได้เลือกแล้วและ "คน ๆนี้แหละใช่เลย" เป็นคนที่อยู่ด้วย แล้วสบายใจ สังคมยอมรับว่าเหมาะสมกัน เรารักกัน มีความสุขที่ได้อยุ่ใกล้กัน เคยฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน ทุ่มเทเสียสละให้กัน ยอมรับความแตกต่างของกันและพยายามปรับตัวเข้าหากัน ตรงนี้คือ เราพร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่กับคน ๆ นี้ และที่สำคัญคือเราพร้อมที่จะมีพันธะผูกพันธ์ต่อกันไปนานแสนนาน จะเห็นได้ว่า "เวลา" ไม่ใช่เรื่องสำคัญในเรื่องของความพร้อมและการเลือกคู่ เรื่องที่สำคัญคือ "ขั้นตอน"ของการเลือกคู่ บางคนใช้เวลาคบกัน 1 ปี แต่เป็น 1 ปีที่อยู่ในขั้นแรกซึ่งมีแต่ ความฉาบฉวย ลวงตา ยังไม่รู้ตัวตนของกันและกันจริง ๆ ถ้าเลือกที่จะมีชีวิตคู่ในขั้นนี้ก็มีโอกาสล้มเหลวสูง แต่ถ้าตัดสินใจเริ่มชีวิตคู่เมื่ออยู่ในขั้นที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในขั้นสุดท้ายแล้ว โอกาสที่จะมีความสุขก็ย่อมจะมีอยู่สูง เพราะได้ผ่านขั้นตอนต่างๆ ของการรู้จักตนเอง การรู้จักคนอื่น การปรับตัว การแก้ปัญหา และยังมีข้อมูลที่ได้จาก ประสบการณ์ที่ผ่านมา มาใช้ประกอบการคิด วิเคราะห์ในเรื่องของอารมณ์และความรักอย่างมีเหตุผล
โดยสรุป ก็คือ ในการเลือกคู่นั้น เราควรจะให้เวลาตัวเองให้เต็มที่ พิจารณาให้ถ้วนถี่ ทำความรู้จักกับคู่ของเราให้ดี และที่สำคัญคือทำความรู้จักกับตัวเองให้ดี ก่อนที่จะตัดสินใจ ถึงแม้การเลือกคู่ที่ดีและเหมาะสม จะถือเป็นพื้นฐานสำคัญของความสุขในชีวิตคู่ที่ยั่งยืนในภายหน้า แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องรับรองว่าความสุขเหล่านั้นจะมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง การเริ่มใช้ชีวิตคู่ ถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นเพียงการเริ่มต้นการผจญภัยครั้งสำคัญในชีวิต ถึงจะมีพื้นฐานการเริ่มต้นที่ดีแล้ว แต่ก็ยังต้องมีการเรียนรู้และการปรับตัวอีกหลายเรื่องและหลายขั้นตอน ทั้งยังต้องปฏิบัติอยู่เสมอด้วยความใส่ใจตลอดช่วงเวลาของการใช้ชีวิตร่วมกัน
โดย ผศ.ดร.พรรณระพี สุทธิวรรณ
Create Date : 12 เมษายน 2552 |
Last Update : 12 เมษายน 2552 18:58:19 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1217 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|