Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
17 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
'สวนสงบ' บ้านของคนรักต้นไม้

เรื่องราวของบ้านสวนสงบ บางกะปิ กับเจ้าของบ้านที่รักต้นไม้ ดูและรักษาต้นไม้ไว้อย่างดี
หลังจากเดินดูต้นไม้กับกลุ่มบิ๊กทรีใน บ้านสวนสงบ บางกะปิ ก็รู้สึกได้
ว่าเจ้าของบ้านมีความรักต้นไม้อย่างมาก บนเนื้อที่ 9 ไร่ กว่าจะปลูกต้นไม้ใหญ่รกครึ้มเหมือนป่าได้ขนาดนี้
คงต้องเพียรพยายามเสาะแสวงหาพันธุ์ไม้และหมั่นดูแลต้นไม้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
'บ้านสวนสงบ' คงเป็นบ้านหลังเดียวในย่านนี้หรือในกรุงเทพฯ ที่มีต้นไม้เยอะที่สุด
ทั้งพันธุ์ไทยและต่างประเทศ แม้กระทั่งยูเนสโกยังเคยส่งคนมาศึกษาวิจัยพันธุ์ไม้ที่บ้านหลังนี้
ที่น่าสนใจคือสามพี่น้องตระกูล วทานยกุล คือประภาทิพย์ ประภากร และน้องชาย
เป็นคนรักต้นไม้ไม่ต่างจากคุณพ่อของเขา ประยูร วทานยกุล
ซึ่งเป็นคนปลูกต้นไม้ให้ลูกๆ ทั้งสามได้เห็นและพาเข้าป่าสัมผัสธรรมชาติ

ปัจจุบัน 'ประภากร' สถาปนิกมืออาชีพ กรรมการผู้จัดการบริษัท สถาปนิก A 49 จำกัด
อดีตนายกสมาคมสถาปนิก เจ้าของรางวัลเหรียญทองด้านการออกแบบจากสภาสถาปนิกแห่งเอเชีย
เจ้าของบ้านแม้จะออกตัวว่ารู้เรื่องต้นไม้น้อยกว่าพี่สาวและน้องชาย
แต่เขาก็มีบทบาทสำคัญในสังคมเรื่องการออกแบบสิ่งก่อสร้าง โดยใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ

ประภากร วทานยกุล เจ้าของบ้านสวนสงบ บางกะปิ
ประภากร วทานยกุล เจ้าของบ้านสวนสงบ บางกะปิ

เมื่อใดที่เขาและพี่สาวพูดถึงพ่อ ก็จะต้องมีเรื่องของต้นไม้มาเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนาน
โดยเฉพาะชีวิตในวัยเด็ก ย่านลาดพร้าวเคยเป็นทุ่งนาที่พวกเขาวิ่งเล่น
ภายในบ้านมีบ่อน้ำให้กระโดดเล่น มีต้นไม้ให้ปีนป่าย

“ในครอบครัวเรา เอาต้นไม้เป็นที่ตั้ง พี่น้องถูกอบรมให้เป็นอย่างนั้น ที่นี่อยู่กันแบบธรรมชาติ
มีคนถามเยอะเลยว่า กลัวงูไหม ผมโตมากับงู ตอนเด็กๆ ยังเคยแหย่งูเล่น
และได้เรียนรู้ว่า ไม่ว่าสัตว์หรือคน ไม่มีใครอยากทำร้ายใคร” ประภากร เล่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว

เขาไม่เคยลืมสิ่งที่พ่อสอนในเรื่องการปลูกต้นไม้
ทุกครั้งที่ทำงานออกแบบสิ่งก่อสร้าง เขาพยายามไม่ตัดต้นไม้ใหญ่เพื่อวางโครงสร้างให้ลงตัว
แต่ใช้วิธีเว้นที่ทางให้ต้นไม้
และเมื่อใดถูกรับเชิญไปบรรยายเรื่องงานออกแบบ
สิ่งที่เขาจะต้องทำในช่วงท้ายของการบรรยาย คือการปลูกฝังทัศนคติให้คนรักต้นไม้

“คุณรู้ไหมสิงคโปร์อยู่ใกล้ทะเล เป็นเกาะที่มีความชุ่มชื้นมากกว่าไทย
อุณหภูมิต่ำกว่าประเทศไทยสองอาศาเสมอ เพราะประเทศเขาปลูกต้นไม้เยอะ
ใบของต้นไม้จะอมน้ำเป็นฉนวนกันความร้อนได้ดี
ถ้าถามว่า ดินในสิงคโปร์เป็นดินดำน้ำชุ่มเหมือนปากแม่น้ำในกรุงเทพฯ ไหม...
ไม่เลย เพราะกรุงเทพฯ โอบล้อมด้วยแม่น้ำสามสี่สาย สภาพดินดำปลูกต้นไม้ได้ดีกว่า ”


การปลูกต้นไม้งอกเงยในจิตใจคนสิงคโปร์ได้อย่างไร
ประภากร บอกว่า เพราะการปลูกฝังตั้งแต่วัยเด็ก และเป็นความชาญฉลาดของคนสิงคโปร์
เด็กอนุบาลทุกคนจะต้องปลูกต้นไม้ของตัวเอง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า
ต้นไม้ที่เด็กๆ ปลูกในชื่อของเขาจะได้รับการดูแลเอาใจเพียงใด ไม่ต่างจากเขาในวัยเด็ก

“สมัยที่ถนนแถวลาดพร้าวยังเป็นดิน ผมยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ผมนั่งเรือไปเรียน
สมัยนั้นที่ดินตรงนี้ไม่มีราคา ชุมชนรอบๆ เป็นมุสลิม ผมโตที่นี่
ต้นตาลในบ้านหลังนี้อายุมากกว่าผม ต้นไม้ทั้งหมดพ่อผมเป็นคนปลูก"
ภายในบ้านหลังนี้ มีแผ่นป้าย "คำบอกกล่าว" จากคุณพ่อของเขา เพื่อแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า
การปลูกต้นไม้แต่ละต้นต้องใช้เวลาและความใส่ใจ ไม้ทุกชนิดไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ต้องอยู่รวมกันได้

"พ่อบอกว่า การปลูกโดยใช้เมล็ดจะลงรากตรงและรากยึดดินได้ถาวร
เคยมีคนปรึกษาผมเรื่องการย้ายต้นก้ามปู ผมบอกว่า ต้นก้ามปูมีลักษณะของรากแผ่
การขุดเพื่อย้ายต้นไม้จึงไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นต้นไม้ที่มีรากอ่อนไหวมาก


ในสมัยที่คุณพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ การเก็บเมล็ดพันธุ์มาปลูกเป็นเรื่องปกติของครอบครัวนี้
ลูกๆ ทั้งสามจึงได้เรียนรู้รายละเอียดการดูแลต้นไม้

เพราะพ่อของเขา มักจะพาลูกคนใดคนหนึ่งเข้าป่าทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ อยู่เรื่อยๆ
“สมัยก่อนคุณพ่อจะพาพี่สาวผมเข้าป่าที่ศรีราชา ห่อข้าวเหนียวกับเนื้อเค็มไปกิน
เข้าป่าไปเก็บเมล็ดพันธุ์ต้นไม้ตั้งแต่หกโมงเช้าออกจากป่าหนึ่งทุ่ม
พ่อบอกว่า การปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์ ต้นไม้จะแข็งแรงและอายุยืน
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อกับแม่ย้ายมาอยู่ลาดพร้าว เราขุดบ่อเลี้ยงปลาปลูกต้นไม้กัน
ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้พวกเรารักต้นไม้”

เพราะคิดต่างจากคนในยุคนี้ พื้นดินที่มีมูลค่ามหาศาล จึงเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพ่อของเขา
คือเป็นที่อยู่ของต้นไม้

“เคยมีคนมาขอซื้อที่ดิน เราไม่ขาย เอาเงินมากองมากมายขนาดไหน เราก็ไม่ขาย
เราสามคนพี่น้องโตมาที่นี่ เล่นน้ำในบ่อในบ้านตั้งแต่เช้าจนเย็น
ถ้าเราสามคนยังอยู่ ที่ดินตรงนี้ไม่มีทางเปลี่ยนมือ เรารู้ว่าที่ดินตรงนี้มีมูลค่าสูง
แต่ชีวิตพวกเราไม่ได้ต้องการอะไรมาก เพราะเรามีความผูกพันกับชีวิตตรงนี้ และเรารักต้นไม้มาก”
ประภากร เล่าถึงความผูกพันกับผืนดินและต้นไม้ในบ้านหลังนี้ สถานที่ที่เขาเคยปีนป่ายต้นไม้
มีนก หนู งู ตะกวดเป็นเพื่อนตั้งแต่วัยเด็ก
เขาเชื่อว่า ถ้าทุกบ้านปลูกต้นไม้ กรุงเทพฯจะกลายเป็นเมืองสวรรค์ เวลามีคนมาขอพันธุ์ไม้เขาจึงยินดีให้

เจ้าของบ้านสวนสงบทั้งสามคน ชอบการเก็บกล้าไม้และเมล็ดพันธุ์มาปลูกไม่ต่างจากพ่อของเขา
ประภากร เล่าว่า เวลาเดินทางไปเที่ยวหรือทำงานในต่างประเทศ
ก็จะใช้หลักสูตรคุณพ่อมีเสื้อโค้ทหนาๆ เพื่อเก็บกล้าไม้มาปลูก

“ตอนไปอเมริกา และแวะฮาวาย ผมเก็บกล้าไม้มา 27 ต้น
ตอนนั้นผมพยายามเอาดินออก จนทำให้ห้องน้ำท่อตัน พอกลับมาเมืองไทย ปรากฏว่า
มีใบเรียกเก็บเงินจากโรงแรมชาร์จผม 300 เหรียญ ถามว่าคุ้มไหม...คุ้มที่เอาต้นไม้กลับมาปลูกเมืองไทย”
นั่นเป็นวีรกรรมเล็กๆ ของ ประภากร
และเขาบอกว่า สมัยก่อนพี่สาวของเขาต้องตามพ่อไปอเมริกาใต้ เพื่อเข้าเที่ยวป่าเก็บเมล็ดพันธุ์

“ไปเที่ยวกับคุณพ่อไม่ใช่สบายนะ พ่อจะให้แค่ 1 ดอลลาร์ต่อวัน ต้องใช้ชีวิตให้ได้
ถ้าไปอเมริกันใต้ต้องไปนอนเปลกลางป่าอะเมซอน
คุณพ่อชอบเที่ยว ชอบเรียนรู้และสนใจเรื่องศาสนาเปรียบเทียบ” ประภาทิพย์ พี่สาวของเขา เล่าให้ฟัง

นอกจากนี้ช่วงที่พ่อของเขายังมีชีวิตอยู่บ้านสวนสงบ
เคยมีโอกาสต้อนรับท่านอาจารย์พุทธทาสและท่านปัญญานันทภิกขุ เพื่อใช้เป็นสถานที่สนทนาธรรม
“เราได้รู้จักทั้งสามศาสนา พุทธ คริสต์และอิสลาม ผมเคยร้องเพลงในโบสถ์ตอนเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ
ตอนโตเคยไปช่วยแบกปูน แบกไม้ทำโรงมหรสพทางวิญญาณที่สวนโมกข์ฯ สมัยนั้นพระพยอมเพิ่งบวช
แต่ผมก็ยังคงละหมาดทุกวัน”

ส่วนงานในอาชีพออกแบบบ้านและรีสอร์ท ไม่ว่าโครงการใหญ่หรือเล็ก
ก่อนจะก่อสร้างประภากรจะพยายามรักษาต้นไม้ไว้ให้มากที่สุด แม้กระทั่งบ้านของเขาเอง
ทุกตารางนิ้วยังต้องวางแปลนโดยไม่ตัดต้นไม้ใหญ่ บ้านต้องกลมกลืนกับธรรมชาติ

อาคารสามชั้นเป็นกระจกรอบด้าน เพื่อจะได้มองเห็นต้นไม้ได้ทุกมุม แม้กระทั่งห้องนอน

“ต้นไม้เยอะอาจบังลมบ้าง แต่ลมที่พัดไม่ใช่ลมร้อน บ้านชั้นสามพอดีกับระดับสายตาบริเวณต้นสำโรง
บ้านผมถูกกำหนดโดยพื้นที่ ผมใช้โครงสร้างของเหล็กและกระจกเป็นแกนหลัก เป็นบ้านที่อยู่สบาย
ผนังด้านนอกโปร่ง ด้านในทึบ เพราะผมต้องการเห็นต้นไม้ บ้านผมไม่มีมุ้งลวด ยุงเยอะมาก”

เมื่อคุยถึงเรื่องต้นไม้ ประภากร เล่าถึงการออกแบบรีสอร์ทที่กระบี่ให้ฟังว่า
ตอนที่เดินทางไปดูพื้นที่ สภาพถนนที่คดเคี้ยวไปตามไหล่เขาหินปูน
สองข้างทางมีสะตอป่า ต้นเนียง ต้นกล้วยป่า มีสวนยางสวยงามมาก

"ตอนนั้นเพื่อนให้ช่วยออกแบบที่พักสไตล์บูทีค ปัจจุบันคือเดอะทับแขก กระบี่ บูทีค รีสอร์ท
ที่ดินตรงนั้น 5 ไร่ มีต้นไม้เยอะ เพื่อนอยากทำและบอกว่าง่ายนิดเดียว เอารถมาไถต้นไม้ออกให้หมด
ผมก็เลยบอกเพื่อนไปว่า ไม่ยากเลยให้ขับรถไปส่งผมกลับบ้านที่สนามบิน เพราะต้นไม้สวยมาก
ถ้าตัดต้นไม้ ผมจะไม่ทำ ผมยอมเหนื่อยวางแปลงหลบต้นไม้ พอทำเสร็จเจ้าของรีสอร์ทก็มาขอบคุณ "

อีกเรื่องที่เขาอดพูดถึงไม่ได้คือ การขยายถนนสี่เลนที่เขาใหญ่ เมื่อต้นไม้ใหญ่ถูกโค่น
เขาบอกว่า ทั้งๆ ที่ถนนที่ตัดเป็นปลายตันเข้าเขาใหญ่ ไม่มีเหตุอันใดที่ต้องขยายถนน
เพราะจำนวนรถที่วิ่งบนเส้นทางนี้น้อยมาก

ทั้งๆ ที่ต้นไม้เป็นธรรมชาติที่งดงามและจำเป็นสำหรับมนุษย์
แต่บางคนก็ไม่เข้าใจเรื่องการจัดวางองค์ประกอบของศิลปะ ต้นไม้และสิ่งก่อสร้างให้อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน
ประภากร ยกตัวอย่าง กรณีการตัดถนนบายพาสที่หัวหิน มีการตัดต้นไม้ออกตลอดแนว
จากนั้นพยายามปลูกต้นไม้ให้มีรูปทรงเหมือนไม้ไอติม ทั้งๆ ที่ต้นไม้ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

คุณประภากร ชี้ให้ดูต้นยางนาที่คุณพ่อของเขาปลูกอายุกว่า 30 ปี

"แม้กระทั่งต้นยางอายุกว่าร้อยปี บนเส้นทาง ทางจันทบุรี-ตราด ก็ไม่เหลือแล้ว
อีกหนึ่งเรื่องที่ผมอยากบอก ก็คือวิธีการขุดต้นไม้ใหญ่ไปปลูกในบ้านเรา เขาจะใช้รถแมคโครตักรอบราก
นั่นเป็นการย้ายให้ต้นไม้ตาย ถ้าเคยดูสารคดี เวลาเขาย้ายต้นโอ๊ตอายุกว่าร้อยปี
เขาจะช่วยกันขุดรอบต้นไม้แล้วประคองราก ดูแลเอาใจใส่กว่าสองปี แล้วนำไปปลูก
"
ประภากร เล่าให้ฟัง จากนั้นชี้ให้ดูต้นยางนาที่คุณพ่อของเขาปลูกอายุกว่า 30 ปี ต้นไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก
ต่างจากต้นยางนาแถวเมืองเพชร เชียงใหม่ และ จันทบุรี ซึ่งปลูกในสมัยพระพุทธเจ้าอายุกว่า 100 ปี

นอกจากจะเป็นสถาปนิกที่รักต้นไม้ แล้ว ประภากรยังชอบขับเครื่องบิน
ถ้ามีโอกาสเมื่อใด งานอดิเรกอีกอย่างหนึ่งคือ นำเมล็ดพันธุ์โปรยลงจากเครื่องบินสู่ผืนป่า
เพื่อให้สิงสาราสัตว์กินแล้วขยายพันธุ์ต่อไป


โดย : เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ
ข้อมูลโดย : //www.bangkokbiznews.com



*** สารบัญแต่งบ้านและจัดสวน



Create Date : 17 มกราคม 2555
Last Update : 17 มกราคม 2555 13:12:29 น. 2 comments
Counter : 17935 Pageviews.

 
กำลังอยากรู้เลยว่าที่นี่เป็นของใคร เพราะมันเหมือนป่ากลางกรุง อยากเห็นข้างในว่าเป็นยังไงเหมือนกัน น่าจะมีรูปเยอะๆ นะคะ


โดย: Alex on the rock วันที่: 17 มกราคม 2555 เวลา:13:45:15 น.  

 
ผ่านแทบทุกวันก็ว่าได้
รั้วสูงจนมองเข้าไปไม่เห็นอะไรนอกจากยอดไม้



โดย: sticker-dicut (เสี่ยวเฟย ) วันที่: 17 มกราคม 2555 เวลา:14:25:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.