Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
29 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 

ทัวร์วัฒนธรรมยกเล็ก "กุฎีทอง" ริมน้ำ

วัดภุมรินทร์กุฎีทอง,ท่องเที่ยว,อัมพวา
รูปปั้นนางยักษ์สัญลักษณ์ชฎานางหุ่นกระบอก
ภายในพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาพระพุทธรูปที่ทำจากวัสดุต่างๆสวยงามล้ำค่า

อาทิตย์นี้ไปอัมพวากัน!
แค่ประโยคเดียวเท่านั้นก็ปลุกความคึกคักให้เกิดขึ้นในใจ พร้อมกับอารมณ์ "อยากเที่ยว"

แม้ว่าจะล่วงมาถึง ปลายเดือนมิถุนายน
แต่แดดที่สาดลงมาเปรี้ยงๆ เต็มๆ อย่างถ้วนทั่วทุกขุมขนสามารถเสกให้ตัวดำในพริบตา
แต่...แค่นี้ไม่กระไรหรอก เมื่อได้ยินคำ "ท่านพระครูวิมลภาวนาจารย์" เจ้าอาวาสวัดภุมรินทร์กุฎีทอง ที่ว่า
"อัมพวาไม่ได้มีแค่หิ่งห้อย!"

เราจึงมาเดินร่อนอยู่ภายในบริเวณวัดภุมรินทร์กุฎีทอง ที่จังหวัดสมุทรสงคราม เส้นทางไปวัดภุมรินทร์ฯ นั้น
ไปไม่ยาก เพราะเป็นเส้นเดียวกับตลาดน้ำอัมพวา คือ ลงจากทางด่วนกรุงเทพฯ-พระราม 2
แล้วให้วิ่งตรงไปเรื่อยๆ ก่อนถึงจังหวัดเพชรบุรีจะมีเส้นทางลอยฟ้าให้เลี้ยวขวาไปทางสมุทรสงคราม
พอเห็นวัดป้อมแก้ว ให้เลี้ยวซ้ายข้ามทางรถไฟ แล้วเลี้ยวขวา-เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง
จากนั้นก็ตรงไปเรื่อยๆ ผ่านวัดช่องลม วัดแก้วฟ้า พอถึงวัดบางกะพ้อมให้ชะลอความเร็ว
วัดภุมรินทร์ฯจะอยู่ฝั่งเดียวกัน คือฝั่งซ้ายมือ ก่อนจะถึงทางเข้าตลาดน้ำอัมพวา

พอเข้ามาในเขตวัด ยิ่งตื่นตาตื่นใจ และ "รู้สึกดี" ที่ได้เห็นว่ามีคนไม่น้อยที่สนใจเข้ามาเที่ยววัดเที่ยววาอยู่เช่นกัน

ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเพราะความตั้งใจจริงของพระคุณเจ้า เจ้าอาวาสวัดภุมรินทร์ฯ
ท่านพระครูวิมลภาวนาจารย์ ที่มุ่งมั่น ที่จะทำให้พื้นที่แห่งนี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอีกแห่งหนึ่ง

อาศัยที่มีทำเลเป็นต่อ อยู่ริมน้ำตรงข้ามอุทยานฯ ร.2 พอดิบพอดี มีเรือข้ามฟากให้บริการตลอดทั้งวัน
จอดที่ท่าเรือทางเข้าตลาดน้ำอัมพวา

นั่นหมายถึงเส้นทางเดินเที่ยวที่...ถ้าขับรถมาเอง แนะนำให้มาเริ่มต้นจากที่วัดภุมรินทร์ฯ แห่งนี้
จอดรถสบายๆ ใต้ร่มไม้แล้วไปไหว้พระ เดินเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ กุฎีทอง กินข้าวเที่ยงริมน้ำแบบชิลล์ชิลล์

อิ่มหนำแล้วค่อยนั่งเรือข้ามฟากไปเดินตลาดน้ำอัมพวา พอบ่ายแก่ๆ ก็เดินต่อไปเที่ยวในอุทยาน ร.2
ก่อนจะข้ามเรือกลับมา เป็นอันครบรอบทัวร์เชิงวัฒนธรรม 1 ยกเล็ก

วัดภุมรินทร์กุฎีทอง,ท่องเที่ยว,อัมพวา
รอยพระพุทธบาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด

ซึ่งถ้าต้องการทัวร์ยกใหญ่ในคลองอัมพวายังมีโปรแกรมทัวร์ให้เลือกใช้บริการอีกเพียบ

กลับมาที่วัดภุมรินทร์กุฎีทอง ซึ่งจริงๆ แล้วเมื่อก่อนวัดนี้มีชื่อแค่ "วัดภุมรินทร์"
แต่ "กุฎีทอง" นั้นมาเพิ่มเข้าไปในภายหลังเมื่อมีการนำ "กุฎีเรือนไม้สักทอง"
ซึ่งสมเด็จพระชนกของสมเด็จพระอมรินทร์ทรามาตย์ พระมเหสีในรัชกาลที่ 1 สร้างถวายวัดบางลี่น้อย
ซึ่งอยู่ตรงหัวคุ้งน้ำแม่กลอง (วัดภุมรินทร์อยู่เยื้องเข้ามาด้านใน) มาไว้ที่วัดแห่งนี้ก่อนที่จะพังลงน้ำไปเสียหมด

เล่ากันถึงเรือนไม้สักทองนี้ว่า...
กาลครั้งหนึ่งมีเศรษฐีตระกูลหนึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บริเวณวัดจุฬามณี แขวงบางช้าง ซึ่งปัจจุบันคืออัมพวานี่เอง
เศรษฐีทองและเศรษฐีสั้นแม้จะมีบุตรธิดาอยู่หลายคน
แต่หนึ่งในนั้นซึ่งมีชื่อว่า "นาค" นั้น จัดได้ว่าเป็นกุลสตรีที่มีความงามเป็นที่เลื่องลือ
กระทั่ง พระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยา ส่งคนไปทาบทามสู่ขอ
แต่เศรษฐีผู้พ่อรู้สึกสงสารธิดา ซึ่งไม่สมัครใจเป็นนางสนมในวัง ในที่สุด จึงพร้อมด้วยเจ้าเมืองสมุทรสงคราม
นำความเข้าหารือกับหลวงพินิจอักษร (ทองดี) เสมียนตรามหาดไทย

หลวงพินิจอักษรได้เกิดปัญญาว่า นาย "ทองด้วง" บุตรชายได้บวชเรียนแล้วยังไม่มีคู่ครอง
ทั้งมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดรับราชการในวัง หากได้ธิดาเศรษฐีทองมาเป็นภรรยาก็นับว่าเหมาะสมกันยิ่งนัก
ทั้งสองเห็นดี จึงทำฎีกากราบทูลขอพระราชทานธิดาของเศรษฐีบางช้าง ว่า
หลวงพินิจอักษรนั้นได้สู่ขอให้นายทองด้วง ผู้บุตรชายแล้ว

หลังจากนั้นเศรษฐีทองได้ชวนภรรยาและธิดาไปทำบุญที่วัดบางลี่บน
และขอให้สมภาร ซึ่งก็คือ "หลวงปู่ทิม" เจ้าอาวาสรูปที่ 2 ของวัดภุมรินทร์ ตรวจดวงชะตา
พร้อมทั้งกำหนดฤกษ์วันวิวาห์ สมภารตรวจดูแล้วกล่าวว่า "ธิดาของท่านจะมีบุญวาสนามาก
จะได้เป็นนางพญามหากษัตริย์ ยกวงศ์ตระกูลให้เป็นสุข เป็นที่พึ่งแก่คนทั้งหลาย"

เศรษฐีทองจึงให้คำมั่นว่า ถ้าเป็นจริง จะสร้างกุฎีทองถวายพระพุทธรูปห่มจีวรลายดอกพิกุล หาดูที่อื่นไม่ได้
กุฎีที่เศรษฐีทองสร้างถวายหลวงพ่อ มีทั้งหมด 3 หลัง แต่ถูกกระแสน้ำค่อยๆ กัดกร่อนพังลงน้ำไป 2 หลัง
หลวงพ่อเกีย เจ้าอาวาสรูปที่ 3 ของวัดภุมรินทร์ เห็นว่าเหลือเพียงหลังเดียวเลยรื้อมาปลูกไว้ที่วัดภุมรินทร์

นั่นเป็นเรื่องราวที่ร้อยโยงกันระหว่างสองวัดริมแม่กลอง ในส่วนของวัดภุมรินทร์เองก็มีที่มาเช่นกัน
ท่านเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน เล่าว่า วัดภุมรินทร์ เมื่อก่อนชาวบ้านเรียกว่า "วัดปากคลอง"
เพราะตั้งอยู่ปากแม่น้ำแม่กลอง บ้างก็เรียก "วัดกะลิงปลิง"

"สภาพวัดก่อนนั้นทรุดโทรมมาก หลังคาก็ยุบ ไม่มีคนมาทำบุญ โยม "ภู่" พงษ์พิทักษ์ เศรษฐินีอัมพวา
เจ้าของโรงงานน้ำตาลที่นครปฐม กลับมาบ้านเห็นวัดทรุดโทรม จึงนำทรัพย์สินส่วนตัวมาบูรณะวัด
แล้วถวายให้หลวงพ่อดูแล ตอนนั้นราวปี พ.ศ.2325 วัดนี้ก็เลยให้ชื่อว่า "วัดภุมรินทร์" แปลว่า "แมลงภู่หรือผึ้ง"

น่าเสียดายที่วันที่แวะเข้าไป กุฎีทองกำลังอยู่ในระหว่างการปฏิสังขรณ์พอดีจึงได้มุมภาพออกมาไม่สวยเท่าที่ควร

นอกชานที่แดดลามเลียอยู่ตั้งแต่เช้า เมื่อสัมผัสกับเท้าที่ถือว่าเป็นส่วนที่ (ผิว) หนังหนาที่สุดของร่างกายแล้ว
ยังอดเต้นเป็นหนุมานลุยไฟไม่ได้

วัดภุมรินทร์กุฎีทอง,ท่องเที่ยว,อัมพวา
พระพุทธรูปห่มจีวรลายดอกพิกุล หาดูที่อื่นไม่ได้

ภายในมี ด.ช.ไพรวัลย์ ปิ่นวิเศษ มัคคุเทศก์น้อย ทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวยามมีลูกค้าก้าวผ่านเรือนชานเข้ามา

"...หลวงพ่อปลัดทิม ท่านได้ทำนายดวงชะตาแก่ นางสาวนาค ลูกสาวของเศรษฐีทองและเศรษฐีสั้น
ว่าต่อไปภายหน้า นางสาวนาคจะได้เป็นใหญ่เป็นโตเป็นเจ้าฟ้ามหากษัตริย์
ภายหลังได้เป็นพระมเหสีในรัชกาลที่ 1 เศรษฐีทองเลยสร้างกุฎีทองถวายหลวงพ่อ 3 หลัง
ผุพังลงน้ำไป 2 หลัง เหลือหลังนี้หลังเดียวที่บูรณะไว้ได้

ตอนนี้ อายุได้ 226 ปีแล้ว เหลือเสาต้นกลางเพียงต้นเดียวที่เป็นเสาเก่า นอกนั้นเป็นของใหม่
ส่วนเพดาน ฝาข้าง บานประตู เป็นของเก่าหมด"
ส่วนห้องด้านในซึ่งในอดีตเป็นที่พักของท่านเจ้าอาวาสนั้น ปัจจุบัน ปรับเป็นพื้นที่จัดแสดงข้าวของ
มีเจ้า "มารวย" แมวเหมียวที่อาสามาทำหน้าที่เฝ้ากุฎีทองให้ตั้งแต่แรกเปิดประตูเรือน

จากบนกุฏิ เราแวะเข้าไปดูในอีกส่วนที่สำคัญที่สุดของวัดแห่งนี้ คือ พิพิธภัณฑ์ อยู่ชั้น 2 ของศาลาการเปรียญ
เป็นที่เก็บรักษาพระพุทธรูปโบราณ ส่วนใหญ่อยู่ในยุคต้นรัตนโกสินทร์
มีทั้งที่เป็นพระพุทธรูปที่หล่อจากปูน จากโลหะ ลักษณะแปลกตา เช่น พระพุทธรูปที่ห่มจีวรลายดอกพิกุล
พระพุทธรูปที่มีรอยยิ้มเยื้อนแสดงความเมตตา ฯลฯ

รวมทั้งพระพิฆเณศ ที่เชื่อกันว่า ใครที่มาอธิษฐานจิต ขอพรให้การงานรุ่งเรืองพร้อมกับก้มศีรษะลงแตะกับ
องค์พระพุทธรูป จะพบกับความสำเร็จสมหวัง

ที่น่าทึ่งคือ พระพุทธรูปไม้ มีทั้งองค์เล็กองค์ใหญ่ ได้มาจากการที่ท่านเจ้าอาวาสเห็นว่า
กุฏินั้นหลังคาผุพังไปมาก สั่งให้รื้อปฏิสังขรณ์เสีย
จึงพบกรุพระอยู่บนหลังคากุฏิ ที่คนรุ่นเก่าใช้เป็นที่เก็บซ่อนสิ่งมีค่าไว้เพื่อให้พ้นจากน้ำมือของโจรปล้นชิงต่างๆ
พระพุทธรูปเหล่านี้จึงยังคงมีเหลือตกทอดมาเป็นสมบัติความรู้แก่คนรุ่นหลังๆ
จัดแสดงร่วมกับบรรดาโบราณวัตถุ ที่ชาวบ้านพร้อมใจกันนำมาถวายวัด

พอเวลาบ่ายคล้อย ท้องเริ่มอุทธรณ์ ลูกทัวร์ทั้งหมดที่มีทั้งสิ้น 2 ชีวิต มุ่งไปที่เต๊นท์ขายอาหารที่เรียงรายอยู่ริมน้ำ
ใช้บริการเย็นตาโฟกันคนละชาม กับกาแฟเย็นอีกคนละแก้ว

ระหว่างที่กำลังสุขสำราญกับอาหารมื้อเที่ยง ฝั่งตรงข้ามที่อาคาร ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรมไทย
"ชฎานางหุ่นกระบอก" เด็กน้อย 2 คนในเสื้อขาวโจงกระเบนแดง ยืนซ้อมหุ่นกระบอกมือ

แอบเข้าไปเมียงๆ มองๆ จึงได้ทราบว่า ชฎานางหุ่นกระบอก มาจาก ครูปิ๊ก-คชาภรณ์ สำราญใจ
ลูกศิษย์ครูชื้น สกุลแก้ว ผู้หลงใหลงานศิลปะประเภทหุ่นละคร เข้ามาเปิดสอนให้เด็กๆ ในละแวกนั้น
ที่สนใจได้เรียนรู้ทั้งแต่ศิลปะการรำ การเชิดหุ่น ไปจนถึงการทำส่วนประกอบฉากต่างๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

เห็นว่าเร็วๆ นี้ทางวัดยังจะมีตลาดวัฒนธรรมเพิ่มเติมเข้ามาอีก

ให้ครบเครื่องเป็น "เอดูเทนเมนต์" แบบไทยๆ สไตล์วัดภุมรินทร์

โดย พนิดา สงวนเสรีวานิช
ที่มา มติชน




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2552
1 comments
Last Update : 29 มิถุนายน 2552 12:12:37 น.
Counter : 1076 Pageviews.

 

เจ๋งคับ


ขอแปะ link ท่องเที่ยวของเราไว้หน่อยนะคับ

เทศกาลปีใหม่โล้ชิงช้า ปีใหม่ของชนเผ่าอาข่า ทัวร์3วัน2คืน เริ่ม 2,3,4,กันยายน52

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=khundoi&group=3


//www.hilltribeguide.com/autopage/show_page.php?h=1&s_id=3&d_id=4



 

โดย: ไกด์ดอย (guide doi ) 1 กรกฎาคม 2552 11:44:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.