Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
4 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 

อะเมซิ่ง "เมืองโบราณ" แดนอีสาน

พระพุทธไสยาสน์ วัดธรรมจักรเสมาราม
พระพุทธไสยาสน์ที่วัดธรรมจักรเสมาราม

ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ ใครบางคนอาจมองว่าเป็นดินแดนที่ร้อนและแห้งแล้งนั้น
แต่ถ้าค้นลึกลงไปจะพบว่าอีสานเป็นภูมิภาคที่รวมเอาสิ่งดีๆทางการท่องเที่ยว ที่น่าสนใจไว้ไม่น้อยเลย
ไม่ว่าจะเป็น วัดวาอาราม ประเพณีวิถีวัฒนธรรม ดินแดนไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี หรือธรรมชาติอันสวยงาม

นอกจากนี้อีสานยังเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณในยุคก่อนประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ ที่สำคัญมากต่อชาติไทยแล้ว
ยังเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลกอีกด้วย ซึ่งทริปนี้มีโอกาสเดินทางสู่อีสานในเส้นทาง
"ตามรอยอารยธรรมโบราณ" ที่จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)
โดยเริ่มต้นที่จังหวัดนครราชสีมาหรือเมืองโคราช ประตูสู่อีสาน ที่ ต.เสมา อ.สูงเนิน เพื่อเที่ยวชม “เมืองเสมา”
มีร่องรอยของชุมชนโบราณในสมัยทวารวดี ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 12
และมีพัฒนาการสืบเนื่องมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 16-17 ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมขอมโบราณ

อะเมซิ่ง เมืองโบราณ แดนอีสาน
หลุมขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท

เมืองเสมา มีการค้นพบโบราณวัตถุมากมาย โดยมีโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ คือคือ “พระพุทธไสยาสน์” หรือ
“พระนอนหินทราย”
ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดธรรมจักรเสมาราม พระนอนองค์นี้ทำจากหินทรายขนาดใหญ่
หลายๆก้อนมาประกอบกัน เป็นพระนอนหินทรายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 13.30 เมตร
สูง 2.80 เมตร โดยรอบๆองค์พระไสยาสน์ยังพบเสมาหินปักล้อมรอบอยู่ด้วย

นอกจากนั้นในบริเวณเดียวกันยังขุดพบโบราณวัตถุอย่างธรรมจักรหินทราย อันเก่าแก่ เป็นรูปซี่กงล้อ
ตอนล่างสลักลายคล้ายหน้าพนัสบดี และเสาสำหรับประดิษฐานธรรมจักร รวมทั้งโบราณวัตถุอื่นๆ
เช่น ฐานตั้งรูปเคารพ ส่วนยอดของเจดีย์ แท่นบดยา ชิ้นส่วนประกอบอาคาร
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้นำมาจัดแสดงไว้ในศาลาภายในวัดธรรมจักรเสมารามนั่นเอง

ปราสาทเมืองแขก
ฐานที่ตั้งเทวรูปในปราสาทเมืองแขก

ส่วนโบราณสถานที่ยังหลงเหลือหลักฐานให้เห็นว่ามีชุมชนโบราณอยู่ที่ นี่ก็มีอยู่ 3 แห่งด้วยกัน คือ
ปราสาทเมืองแขก ปราสาทโนนกู่ และปราสาทเมืองเก่า
ปราสาทเมืองแขกเป็นโบราณสถานขนาดค่อนข้างใหญ่ ก่อด้วยอิฐและหินทราย มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ในการขุดแต่งพบทับหลังแกะสลักลวดลายต่างๆ ประติมากรรมเทวรูป และศิลาจารึก
สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์

ส่วนปราสาทโนนกู่เป็นปราสาทขนาดเล็ก สันนิษฐานว่าเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู
และปราสาทเมืองเก่านั้นสันนิษฐานว่าเป็นโบราณสถานในศาสนาพุทธลัทธิมหายานประ เภทอโรคยาศาล

ที่โคราชยังมีแหล่งอารยธรรมโบราณอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญ ทั้งยังเป็นแหล่งโบราณคดีแห่งที่สองต่อจากบ้านเชียง
ที่จัดทำในลักษณะพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง นั่นก็คือ “แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท” ในอำเภอโนนสูง
ซึ่งมีหลุมขุดค้นที่ตกแต่งและเปิดให้ชมทั้งหมด 3 แห่งด้วยกัน
โดยระดับของหลุมขุดค้นทั้งสามที่มีความลึกที่สุดคือประมาณ 5.50 เมตร ขุดพบโครงกระดูกของมนุษย์ในยุค
3,000 ปีก่อน ส่วนในระดับชั้นดินที่ตื้นขึ้นมาก็จะพบโครงกระดูกมนุษย์ที่มีอายุน้อยลง
ซึ่งก็ทำให้เห็นหลักฐานการอยู่อาศัย และประเพณีการฝังศพของผู้คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์
ตั้งแต่เมื่อ 3,000 ปีก่อน และมีการอยู่อาศัยต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน

การขุดค้นนี้พบโครงกระดูกจำนวน 60 โครง มีทั้งเพศชาย เพศหญิง เด็กและทารก ทั้งยังพบโบราณวัตถุ
อย่างเครื่องประดับ กำไลเปลือกหอย ลูกปัด แหวนสำริด กำไลสำริด ภาชนะดินเผา รูปปั้นดินเผา เป็นต้น
สำหรับใครที่สนใจอยากจะใช้เวลาเรียนรู้ประวัติศาสตร์อยู่ในบ้านปราสาทนานๆ
ที่นี่เขาก็มีโฮมสเตย์ไว้รองรับนักท่องเที่ยวด้วยละ

จากโคราช เดินทางกันต่อมาถึงเมืองน้ำดำ จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่อำเภอกมลาไสยนั้นก็มีเมืองโบราณที่มีร่องรอยของ
การอยู่อาศัยมาตั้งแต่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15
นั่นก็คือ “เมืองฟ้าแดดสงยาง”

โบราณวัตถุที่พบมากที่สุดในเมืองฟ้าแดดสงยางก็คือใบเสมาหินทราย ซึ่งพบกระจัดกระจายอยู่รอบๆพื้นที่
โดยเฉพาะบริเวณศาสนสถานที่สำคัญทางศาสนา เช่น เจดีย์ อุโบสถ หรือเนินดินที่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ซึ่งเข้าใจว่าเป็นสถานที่ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยใบเสมาเหล่านี้แบ่งได้หลายประเภทด้วยกัน
ทั้งแบบแผ่นเรียบไม่มีการแกะสลัก แบบแผ่นหินอกเลาสลักรูปกลีบบัวที่ฐาน
แบบแท่งหินรูปสี่เหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยม รวมไปถึงแบบแผ่นหินที่สลักเรื่องราวทางศาสนาไว้

พระธาตุยาคู
พระธาตุยาคู พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองฟ้าแดดสงยาง

แผ่นหินเหล่านี้ส่วนหนึ่งเก็บรักษาไว้ที่วัดโพธิ์ชัยเสมาราม
โดยเสมาสลักภาพที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดชิ้นหนึ่งนั้นเป็นใบเสมาสลักภาพเล่า เรื่องพิมพาพิลาป
หรือเรื่องราวเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดนางพิมพา พระชายาของพระองค์เมื่อครั้งที่ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ใบเสมาชิ้นนี้ถูกก่อปูนยึดไว้กับพื้นอย่างดี เพราะหาไม่คงจะถูกยกไปขายเสียนานแล้ว

โบราณสถานในเมืองฟ้าแดดสงยางที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่จะพลาดชมไม่ได้ก็คือ “พระธาตุยาคู”
พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ในสมัยทวารวดีที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในเมืองฟ้า แดดสงยาง
เนื่องจากได้รับการบูรณะในหลายยุค จึงทำให้พระธาตุยาคูมีฐานแบบทวารวดี ตอนกลางพระธาตุเป็นแบบอยุธยา
ส่วนตอนปลายเป็นแบบรัตนโกสินทร์ และยังพบใบเสมารอบๆ องค์เจดีย์อีกหลายชิ้นด้วยกัน
พระธาตุองค์นี้เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านในแถบนี้เป็นอย่างมาก
มีเรื่องเล่าปาฏิหาริย์มากมายหลายเรื่องเกี่ยวกับองค์พระธาตุ หากอยากรู้คงต้องหาโอกาสมาฟังด้วยตนเอง

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง
ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง

มาที่จังหวัดอุดรธานีกันบ้าง “แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง” อันได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม
คงจะเป็นที่การันตีได้ถึงความเก่าแก่ และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ โดยแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงนี้เป็นแหล่ง
โบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย อายุราว 5,600 ปี
มีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานและวัฒนธรรมของชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีความ
เจริญรุ่งเรืองและมีการพัฒนาในทุกด้าน โดยโบราณวัตถุที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเชียงนั้นก็คือ
เครื่องปั้น ดินเผาลายเขียนสีนั่นเอง

หากอยากทราบเรื่องราวเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงอย่างละเอียดก็ต้องมาเริ่มต้นที่
“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง” พิพิธภัณฑ์ทันสมัยที่รวบรวมเอาโบราณวัตถุหลายหมื่นชิ้นที่ขุดค้นพบ
มาจัดแสดง ไว้ให้ชม พร้อมทั้งมีข้อมูลความรู้เกี่ยวกับบ้านเชียงอย่างครบถ้วน
แต่หากอยากเห็นสภาพพื้นที่จริงซึ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดหรือหลุมขุดค้น ก็ต้องมาที่ “วัดโพธิ์ศรีใน” ที่ยังคง
รักษาสภาพการขุดค้น มีโครงกระดูกและเครื่องปั้นดินเผาที่แสดงให้เห็นถึงประเพณีการฝังศพของคนในสมัยนั้น

หอนางอุสา

ที่ “อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” ในอำเภอบ้านผือ
ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานีซึ่งมีร่องรอยของอารยธรรมโบราณแฝงอยู่ ในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
แสดงถึงอารยธรรมของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศในเวลาเดียวกัน

ที่ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศนั้นก็เพราะในอุทยานฯนี้ มีโขดหินทรายน้อยใหญ่ที่ถูกขัดเกลา
จากกระบวนการกัดกร่อนของธรรมชาติทั้งลม และฝน จนทำให้โขดหินเหล่านั้นมีรูปร่างต่างๆกัน
และก่อเกิดเป็นตำนานพื้นบ้านอย่างเรื่อง “นางอุสา-ท้าวบารส”

และโขดหินเหล่านี้นั้นก็มีร่องรอยของมนุษย์ในยุคโบราณก่อนประวัติ ศาสตร์ ราว 2,000-3,000 ปี
ซึ่งมาพักอาศัยอยู่บนโขดหินและเพิงผาธรรมชาติ มีหลายจุดในภูพระบาทที่พบสถานที่ซึ่งสันนิษฐานว่า
เคยเป็นที่อยู่อาศัยใช้ เป็นห้องนอนและสถานที่ประกอบอาหาร
อีกทั้งยังพบภาพเขียนสีธรรมชาติเป็นรูปคน และสัตว์ตามเพิงหินอีกด้วย

หอนางอุสา
หอนางอุสา แหล่งอารยธรรมที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

บริเวณนี้ยังได้รับอิทธิพลในสมัยทวารวดีอีกด้วย เพราะโขดหินหลายๆ แห่งได้ใช้เป็นศาสนสถาน ทั้งหอนางอุสา
เพิงหินคอกม้าน้อย ถ้ำฤาษี เป็นต้น เพราะพบหลักฐานจากการปักใบเสมาหินขนาดใหญ่ล้อมรอบเอาไว้
ไม่เพียงแต่ในยุคทวารวดีเท่านั้น แต่ยังพบอิทธิพลจากเขมร และวัฒนธรรมล้านช้างบนภูพระบาทอีกด้วย

ปิดท้ายเส้นทางอารยธรรมโบราณแห่งสุดท้ายในเส้นทางกลับที่ “เมืองโบราณโนนเมือง” ที่อำเภอชุมแพ
จังหวัดขอนแก่น ชุมชนเก่าแก่ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมาจน ถึงสมัยทวารวดี
การขุดค้นพบว่ามีการสร้างเมืองขนาดใหญ่โดยขุดคูเมืองและก่อคันดินเป็นกำแพงเมือง
อีกทั้งยังพบกลุ่มใบเสมาในตัวเมืองโนนเมือง จึงเชื่อว่าเมืองแห่งนี้อาจเป็นศูนย์กลางทางศาสนา
หรือเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาอีกด้วย

เมืองโบราณโนนเมือง
หลุมขุดค้นที่เมืองโบราณโนนเมือง

ในหลุมขุดค้นที่มีการขุดขึ้นที่โนนเมืองนั้น พบโครงกระดูกทั้งหมด 34 โครง พบว่า
เป็นโครงกระดูกมนุษย์ในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายทั้งสิ้น คือมีอายุประมาณ 2,500-2,000 ปีมาแล้ว
อีกทั้งยังพบเครื่องมือเหล็กประเภทจอบ ใบมีด เคียว และกระดูกสัตว์อย่างวัว ควาย เก้ง กวาง และปลาหลายชนิด
ทำให้ทราบว่าผู้คนในเมืองนี้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยเกษตรกรรมและเลี้ยงสัตว์ดังเช่นชุมชนโบราณอื่นๆ ในสมัยเดียวกัน

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ ใน “เส้นทางตามรอยอารยธรรมโบราณ”
ซึ่งหากใครที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์ อยากเห็นหรือสัมผัสกับมนุษย์โบราณอย่างใกล้ชิด
“ตะลอนเที่ยว” แนะนำว่าไม่ควรพลาดเส้นทางนี้ด้วยประการทั้งปวง

* * * * * * * * * * *

การท่องเที่ยวในเส้นทาง “ตามรอยอารยธรรมโบราณ”
หากอยากเที่ยวให้สนุก ควรมีมัคคุเทศก์ที่สามารถบรรยายถึงความเป็นมาของสถานที่แต่ละแห่ง
ผู้ที่สนใจท่องเที่ยวในเส้นทางนี้สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่ ททท. Call Center 1672
สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ โทร.0-2270-1505 ถึง 8
สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย โทร.0-2246-5659
สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย โทร.0-2887-8802 ถึง 3
สมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย โทร.0-2998-0744

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2552
0 comments
Last Update : 4 มิถุนายน 2552 12:28:06 น.
Counter : 2281 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.