มกราคม 2558

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
Wa-ka-ya-what? Wakayama!! เมืองโนเนมที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปสัมผัส


“Oh, sh**!! .... ตกลงไอ้สองคืนสุดท้ายในญี่ปุ่นเนี่ย เราไปพักที่โอซาก้าหรือโกเบไม่ได้แล้วนะ”

ฉันร้องบอกสองหนุ่มด้วยความตกใจ หลังจากที่ตัวเองจองตั๋วเครื่องบินและห้องพักสำหรับทริป 12 วันในคันไซ (ญี่ปุ่น) และโซล (เกาหลีใต้) เรียบร้อยไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน พอวันนี้มานั่งเช็คเรื่องการเดินทางไป-กลับสนามบิน แล้วพบว่ารถไฟเที่ยวเช้าจากโกเบ (ที่จองโรงแรมเสร็จไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน) หรือโอซาก้านั้นมาถึงสนามบินคันไซไม่ทันเวลาเที่ยวบินเช้าที่ฉันทำการจองไปกับสายการบิน Peach ซึ่งเป็นสายการบินโลว์คอสของญี่ปุ่น

“แล้วทำไงอ่ะ” คุณสามีถาม

“ดี จะได้ไม่ต้องไป ไม่อยากไป” เจ้าลูกชายบอก

“ยังไม่รู้เลย เดี๋ยวขอฉันเช็คดูก่อน” ฉันตอบคุณสามี แล้วก็หันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เจ้าลูกชายวัยทีนที่ชอบแหย่แม่มันอยู่ตลอดเวลา

หลังจากเข้าไปเช็คข้อมูลในเว็บไซต์ของ Peach แล้ว ฉันก็พบว่าหากต้องการเปลี่ยนไฟลท์ขากลับจากคันไซมาฮ่องกง เราจะต้องเพิ่มเงินอีกคนละสองพันกว่าเหรียญ (ฮ่องกง) ทั้ง ๆ ที่ราคาตั๋วในช่วงที่ฉันจองและซื้อไป (ช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่) ก็โหดสัสกว่าปรกติอยู่แล้วเนื่องจากเป็นช่วงพีคซีซั่น ฉันตัดสินใจในทันทีว่าจะไม่เปลี่ยนไฟลท์เด็ดขาด และจะเก็บโรงแรมในสนามบินหรือโรงแรมใกล้กับสนามบินคันไซไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย

จากนั้นฉันก็เข้าไปดูในเว็บไซต์ของ JR แล้วก็พบว่ารถไฟเที่ยวเช้าจากเมืองหรือย่านต่าง ๆ ในแถบคันไซที่จะมาถึงสนามบินคันไซได้เร็วที่สุดคือรถไฟจาก Wakayama แล้วพอกูเกิลพบว่าเมืองเล็ก ๆ ที่ตัวเองไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนอย่าง Wakayama นี้ มันก็มีสิ่งที่น่าสนใจพอให้ฉันได้ใช้เวลาสองวันสุดท้ายในญี่ปุ่นได้อย่างไม่น่าเกลียดนะ ฉันก็ป่าวประกาศกับสองหนุ่มอย่างเป็นทางการ ...

“Ok guys, we are going to Wakayama!”

“Wa-Ka-Ya-What?” คุณสามีถาม

“Wa-Ka-Ya-Where? คุณลูกเอาบ้าง

“Wakayama, 50 minutes train journey from the airport” ฉันตอบ แล้วก็เข้าสู่โลกส่วนตัว ง่วนกับการยกเลิกการจองโรงแรมในโกเบที่ทำไปเมื่อวันก่อน แล้วจองโรงแรม Hotel Granvia ใน Wakayama แทน ด้วยเหตุผลที่ว่ามันอยู่ติดกับสถานีรถไฟ จึง (น่าจะ) สะดวกสำหรับเราที่จะขึ้นรถไฟเที่ยวตีห้าสิบหกนาทีไปยังสนามบินคันไซในวันสุดท้าย





วันสุดท้ายในกรุงโซลเราออกจากโรงแรมซึ่งอยู่ในย่าน Mapo กันตั้งแต่เจ็ดโมงกว่า ระหว่างที่ยืนรอเรียกแท็กซี่ไปสนามบินอินชอนอยู่นั้น หิมะก็โปรยตัวลงมาช้า ๆ บรรดาแขกในล็อบบี้ของโรงแรมที่กำลังรอรวมตัวกันขึ้นรถบัสไปยังสนามบิน (มั้ง) ก็กรูกันออกมาด้านหน้า แล้วก็ส่งเสียงกันใหญ่ว่า “หิมะโว้ย หิมะ” ฉันอมยิ้มอยู่ในใจ ถึงแม้ว่าวันนี้จะต้องตื่นเช้าตั้งแต่หกโมง แต่วันใหม่ในเมืองที่เคยมาเป็นครั้งแรกและภาษาไทยที่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ยินก็ทำให้ฉันยิ้มออก

เจ้าลูกชายจอมกวนนั่งหลับไปตลอดทางจนถึงสนามบิน เราผ่านขั้นตอนเช็คอินและพิธีการตรวจคนออกจากเมืองแล้วก็เหลือเวลาอยู่นิดหน่อย ตั้งใจจะหาอะไรกินกันในสนามบินก่อนขึ้นเครื่อง ฉันปล่อยสองหนุ่มออกไปเดินหากันก่อน ส่วนตัวเองยืนเฝ้าของรออยู่

สองหนุ่มหายไปนานแถมกลับมามือเปล่า บอกว่าไม่มีอะไรที่เจ้าลูกชายกินได้เลย ฉันอาสาออกไปเดินหาบ้างพร้อมกำเงินวอนที่เหลืออยู่หลายหมื่น ตั้งใจว่าจะใช้ให้หมดด้วยการซื้ออาหารเช้าและเครื่องสำอางของเกาหลี (ที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นติ่ง ไม่ได้รู้จัก หรือชอบยี่ห้อไหนเป็นพิเศษ)

ก็ไปเจอร้านขายแซนด์วิชอยู่ร้านหนึ่ง รีบคว้ามา 3 กล่องแล้วก็ไปต่อแถวยาวเหยียดรอจ่ายเงิน พอถึงคิวจ่ายเงินสั่งกาแฟเพิ่มแล้วก็ต้องรออีก หมดเวลาที่นี่ไปไม่ต่ำกว่า 20 นาที วิ่งกลับไปหาสองหนุ่ม ส่งมอบแซนด์วิชให้เสร็จ ฉันก็วิ่งตื๋อกลับไปช้อปปิ้งต่อ โดยมีเวลาเหลืออีกเพียง 10 นาทีก่อนถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่อง

เมื่อคืนก่อนนอน ด้วยความที่ไม่รู้จักและไม่เคยสนใจเครื่องสำอางเกาหลีมาก่อน (แต่ตั้งใจว่าจะลองซื้อและลองใช้กันในทริปเกาหลีนี้) ก็เลยกูเกิลดูว่าจะซื้ออะไรยี่ห้อไหนดีหนอ ที่สุดก็ไปปิ๊งกับ innisfree ที่เป็นแบรนด์ออร์แกนิก ก็เม็มไว้ในมือถือว่าจะซื้ออะไรบ้าง

พอถึงตอนนี้เลยคว้าไอ้ที่เม็มไว้เมื่อคืนส่งต่อให้น้อง BA ช่วยหาของ แถมบอกน้องบีเอไปว่า “ป้าไม่รู้นะว่ามีเงินพอหรือเปล่า ตะกี้ซื้ออาหารเช้าไปหลายพันวอนแล้ว ลองใช้เครื่องคิดเลขคิดเงินให้ป้าดูก่อนว่าเท่าไหร่” น้องบีเอก็ "โอเคโอเค" แต่ไม่ทำตามวะ?? นางคีย์รหัสของสินค้าที่นางคว้า ๆ มาเข้าเครื่องไปเลย (ไรว้า !!) ครบหมดแล้วก็ขอบอร์ดดิ้งพาสของยัยป้าหน้าตาเฉย

ฉันชะโงกดูค่าของทั้งหมดแล้ว เสียดายจัง จ่ายเงินแล้วก็ยังเหลือเงินอีกหลายหมื่น ซื้อของได้อีกตั้งหลายชิ้น (ทั้งฉันและคุณสามีเพิ่งจะลั่นวาจาไว้ว่า “ครั้งเดียวก็เกินพอสำหรับโซล” ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บเงินที่เหลือไว้ ตั้งใจใช้ให้หมดที่สนามบินนี่แหละ) ละล้าละลังจะซื้อของเพิ่มเหรอก็ไม่มีเวลาแล้ว ได้เวลาเรียกขึ้นเครื่อง เลยตามเลยค่ะ จ่ายตังค์แล้วก็วิ่งแจ้นไปสมทบกับสองหนุ่มเพื่อต่อแถวขึ้นเครื่อง






คณะของเราอันประกอบด้วยเด็ก สตรี และคนชรามาถึง Terminal 2 ของสนามบินคันไซกันด้วยอาการสะโหลสะเหล หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อย เราก็ขึ้น Shuttle Bus ไปยัง Terminal 1 ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟ JR สายตะวันตกไปยังเมืองต่าง ๆ

ซื้อตั๋วเสร็จก็ลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟ เพียงแค่ 10 นาทีเราก็ถึงจุดหมายแรกคือ Hineno ซึ่งเราต้องลงที่นี่ แล้วขึ้นรถไฟอีกสายหนึ่งไปยัง Wakayama โดยมีเวลาเปลี่ยนรถไฟแค่ 5 นาที คุณสามีอาสาลากกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ 2 ใบออกมาจากรถไฟ แล้วพวกเราก็ออกมายืนงงกันที่ชานชาลา เพราะสถานีนั้นมีอยู่ชานชาลาเดียวก็จริงแต่มีทางรถไฟ 2 ฝั่ง แล้วเราต้องขึ้นกันฝั่งไหนล่ะเนี่ย?

ฉันรีบวิ่งแจ้นไปหานายท่า แล้วพูดแค่ว่า “ Wakayama (วะกะยาหมะ)” เท่านั้นนายท่าก็ชี้ให้ดูว่าต้องข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เราตาลีตาเหลือกวิ่งไปขึ้นบันไดไปยังสะพานข้าม คุณสามีหิ้วกระเป๋าทั้ง 2 ใบ (น้ำหนักรวมกันประมาณ 50 กิโล) เดินขึ้น-ลงบันได ทันรถไฟอีกสายไปยัง Wakayama พอดี ก่อนจะขึ้นรถไฟสายตาฉันเหลือบไปเห็นว่า สถานีเล็ก ๆ แห่งนี้มันมีลิฟต์ให้ผู้โดยสารใช้ขึ้นลงกันด้วย อ๊ายยยย แค้นใจ!!

พอถึง Wakayama เราก็ถามทางกับนายท่า (อีกแล้ว) ว่าโรงแรมของเราอยู่ที่ไหน ก็ได้รับการชี้ไม้ชี้มือว่า "ออกประตูนั้น" แค่เดินออกไปจากสถานีนิดเดียวก็พบกับโรงแรม เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางอันทรหดตั้งแต่ช่วงเช้ายันบ่าย เช็คอินเอาข้าวของเข้าห้องทั้ง 2 ห้องเรียบร้อยแล้ว หิวซ่กกันขึ้นมาเลยค่ะ เพราะแซนด์วิชกล่องน้อยที่รองท้องมาเมื่อเช้ามันหายไปกับการวิ่งขึ้น-ลงสะพานที่สถานี Hineno หมดแล้ว ลงไปถึงล็อบบี้เห็นคาเฟ่ของโรงแรมเปิดอยู่ ดูเมนูด้านหน้าแล้วทุกคนโอเค ก็ตกลงปลงใจฝากท้องกันไว้ที่นี่แล





หลังกินอิ่ม (อย่างไม่ได้ดั่งใจเท่าไรนัก พวกเราว่าอาหารที่นี่รสชาติพอกินได้เท่านั้น) ฉันกับคุณสามีก็ขึ้นลิฟต์ไปส่งลูกชายที่ห้องให้เธอพักผ่อนเล่นเกมไปตามประสา (ตลอดระยะเวลา 12 วันในเกียวโต โซล และวากายามานี้ เจ้าลูกชายออกไปเที่ยวกับเราเพียงวันเดียวตอนที่เราไป Nara นอกนั้นเธอเป็นนางห้องเฝ้าโรงแรมตลอด) ส่วนเราสองคนตั้งใจว่ายังจะไม่ออกเที่ยวในวันนี้ เพราะดูเวลามันก็บ่ายแก่ ๆ แล้ว ก็เดินเล่นกันอยู่ในโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ติดกับห้างสรรพสินค้าที่ไม่ธรรมดาเลยเพราะมีบูติกระดับ Louis Vuitton มาเปิดร้านอยู่กับเขาด้วย

เราใช้เวลาดูของดาด ๆ ในห้างสรรพสินค้ากันอยู่พักนึง แล้วก็เดินออกไปยังสถานีรถไฟ JR Wakayama ไปพบกับเคาน์เตอร์การท่องเที่ยวเมืองวากายามาเข้า (เราไม่ได้วางแผนการท่องเที่ยวกันมาเลยล่ะค่ะ งานรัดตัวกันทั้งสองคน) ก็เข้าไปทักทาย ขอคำแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในเมืองกันเลย

วันที่เราไปถึงวากายามานั้นคือวันที่ 31 ธันวาคมค่ะ เจ้าหน้าที่สาวที่เคาน์เตอร์คว้าแผนที่มาให้ เอาปากกามาวงสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจต่าง ๆ ให้เราสองคนดู แล้วก็เอ่ยประโยคเด็ดออกมาว่า

“พรุ่งนี้มันเป็นวันหยุดขึ้นปีใหม่ เกือบทุกที่ปิดหมดนะยู ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ตลาด ย่านช้อปปิ้งต่าง ๆ ในเมือง”

อ๊ายยยย ฉันอยากจะกรี๊ด โกรธตัวเองที่เจ็บแล้วไม่จำ เรื่องราวมันเป็นอย่างไรน่ะเหรอ?

เมื่อปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ฉันและครอบครัวไป Fukuoka กันค่ะ แล้วก็ประสบปัญหาที่ว่าวันสิ้นปีและวันขึ้นปีใหม่นั้น ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ปิดหรือไม่ก็ปิดทำการเร็วกว่าปรกติ ตลาดต่าง ๆ ปิด ที่น่าเสียดายคือตลาดปลาที่เขาว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของคิวชูก็ปิด ร้านอาหารในโรงแรมก็ปิด เป็นอะไรที่เข็ดมาก

วันสิ้นปีเราหาร้านอาหารกันไม่ได้ ต้องไปกินอาหารเย็นกันที่ Yoshinoya ใกล้กับโรงแรมซึ่งเป็นร้านเดียวที่เปิดโด่เด่อยู่ในคืนนั้นเป็นที่อนาถใจของตัวเอง เพราะอยู่ฮ่องกงฉันยังไม่เคยเข้าเลยนะ Yoshinoya เนี่ย ตอนนั้นโกรธตัวเองที่ไม่ (มีเวลา) ได้วางแผนท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้า ตั้งใจไว้ว่าจะไม่มาญี่ปุ่นช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่อีกแล้ว

พอเจ้าหน้าที่สาวกล่าวประโยคเด็ดดังกล่าวข้างต้น ฉันก็นึกถึงไอ้ที่สัญญิงสัญญากับตัวเองไว้แต่ลืมสนิทขึ้นมาทันที หมดอารมณ์เที่ยวค่ะ นึกห่วงเรื่องกินขึ้นมาเลย (ฮา) เย็นนี้ร้านอาหารในโรงแรมจะปิดไหมวะ? แล้วในห้างมันมีร้านอาหารด้วย มันจะเปิดหรือเปล่า? ก็กึ่งลากกึ่งจูงคุณสามีที่เพิ่งจะกินอาหารกันไปเมื่อตะกี้ไปเดินหาที่กินกันก่อน (แหม พูดแล้วก็อาย) ก็พบว่าร้านอาหารในห้างจะปิดตอนหกโมงเย็น ส่วนห้องอาหารญี่ปุ่นของโรงแรมจะเปิดบริการในช่วงเย็นตั้งแต่ 5 โมงไปจนถึง 3 ทุ่ม (ครัวปิด 2 ทุ่มค่ะ) มีที่กินแล้ว ยิ้มออกสิคะ เรื่องเที่ยวไว้คืนนี้ค่อยตัดสินใจว่า ไอ้ส่วนน้อยที่ไม่ปิดวันปีใหม่น่ะ มันมีที่ไหนบ้าง แล้วฉันจะไปที่ไหนดี


ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือปลุกของตัวเอง ด้วยความที่นอนกันคนละห้องกับสองหนุ่ม (โรงแรมไม่มี Triple Room) ก็นัดแนะกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ว่าฉันต้องโทรศัพท์ไปปลุกสองหนุ่มตอนเก้าโมงเช้า เพื่อไปกินอาหารเช้ากันก่อน 10 โมงเช้าอันเป็นเวลาที่เขาปิดบริการ (นี่มันกระทู้เที่ยวหรือกระทู้กินกันเนี่ย ??)

ไปถึงห้องอาหารเช้า คนเต็มเลยวะ ไม่มีโต๊ะว่างเลย แถมยังมีแขกทยอยเข้ามาอีกหลายคน ฉันต้องควักสันดาน เอ้ย … แนวปฎิบัติของชาวฮ่องกงมาใช้ในทันที ปล่อยให้สองฝรั่งยืนเจี๋ยมเจี้ยมรอพนักงานหาโต๊ะให้อยู่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ

คือคนฮ่องกงเนี่ยนะ เขาสามารถไปยืนค้ำหัว จ้องคนที่กำลังนั่งกินกันอยู่ในร้านอาหารเพื่อรอโต๊ะกันได้อย่างไม่รู้สึกผิด ส่วนไอ้คนที่นั่งกินอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายหรือเกรงใจแต่อย่างใด ยังตั้งหน้าตั้งตาคุย หรือดื่มน้ำชิลล์ ๆ หรือแคะขี้ฟันกันได้อย่างหน้าตาเฉยน่ะ

สักพักแขกของโรงแรมชาวญี่ปุ่น (โต๊ะที่ฉันไปยืนคุมอยู่ห่าง ๆ ไม่ให้น่าเกลียดนัก) ก็ลุกจากโต๊ะ (คงจะด้วยความเขินอายหรือเกรงใจ กร๊ากกส์) ฉันโค้งคำนับพร้อมกล่าวคำขอบคุณ (แน่ะ คนฮ่องกงคนไหนทำอย่างฉันบ้างวะ) ได้โต๊ะวิวดีติดหน้าต่างกันแล้ว สามเราก็เริ่มเดินไปจกอาหารกันในทันที





หลังจากอิ่มหนำกับอาหารเช้าวันขึ้นปีใหม่ กลับขึ้นไปทำธุระหนักเบาในห้องพักกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันกับคุณสามีก็เตรียมพร้อมออกไปดูเมืองกันในเวลาเกือบเที่ยง โดยที่เมื่อคืนฉันกูเกิลวางแผนการท่องเที่ยวเรียบร้อย เราเดินออกจากโรงแรมไปยังสถานี JR Wakayama ที่อยู่ติดกันเพื่อขึ้นรถไฟไปยังสถานี JR Kainan

ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถไฟ ฉันเห็นป้าคนนึง (คือวัยขนาดป้าของฉันอีกทีนึงน่ะนะ) เธอนั่งอ่านหนังสืออยู่โดยที่วางกระเป๋าเป้ไว้บนพื้นข้างตัว แล้วจู่ ๆ ป้าก็วางหนังสือลงบนเบาะ ถอดแว่นสายตาวางทับ แล้วเดินหายไปนานร่วม 10 นาที

“ถ้าเป็นเมืองไทยนะ ไม่แว่นก็กระเป๋าหาย แต่หนังสืออยู่นะ คนไทยอ่านหนังสือปีละไม่เกิน 8 บรรทัด” ฉันเมาท์มอยราวกับตัวอิจฉาในละครหลังข่าว

“ถ้าเป็นที่อังกฤษนะ เปอร์เซ็นต์หายกับเปอร์เซ็นต์อยู่เนี่ยเท่ากัน แล้วแต่คน แล้วแต่สถานการณ์” หนุ่มอังกฤษฝอยบ้าง

แล้วป้าก็เดินกลับมาตัวเบาเชียว (รู้นะว่าไปไหนมา!!) มานั่งอ่านหนังสือต่อ โดยที่ของไม่หายแต่อย่างใด ส่วนฉันก็ถึงสถานีปลายทางที่ตั้งใจพอดีค่ะ

ออกจากสถานี JR Kainan เราก็เดินหาป้ายจอดรถโดยสารไปยัง Wakayama Marina City กันค่ะ ที่นั่นเป็นรีสอร์ทซึ่งมีโรงแรม ออนเซน จุดท่องเที่ยวเล็ก ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป และที่สำคัญคือตลาดปลาที่ฉันตั้งใจจะมาดู หลังจากที่เมื่อวานสาวการท่องเที่ยวเธอว่าตลาดปลาในเมืองปิด ฉันเสิร์ชหาข้อมูลพบว่าตลาดปลาทีมีชื่อว่า Kuroshio ใน Marina City แห่งนี้มันเปิด คนชอบตลาดปลาอย่างฉันก็ไม่พลาดมาดูให้เห็นกับตา (ฉันว่าฉันไปเที่ยวตลาดปลา Tsukiji ที่โตเกียวก่อนที่เขาจะฮิตกันอีกนะ)

เดินออกจากสถานีไปนิดเดียว ฉันก็พบกับป้ายรถโดยสารไปยัง Marina City ซึ่งมีหนึ่งหนุ่มกับสามสาว (รุ่นลุง-ป้าเช่นเดียวกัน) ยืนรอรถกันอยู่ก่อนแล้ว ฉันได้ยินเสียง (ภาษา) ที่พวกเขาคุยกันก็แอบยิ้มกับคุณสามี เพราะทั้งสี่เป็นคนฮ่องกงค่ะ ไม่อยากจะเชื่อว่าคนฮ่องกงก็มาเที่ยว Wakayama กันด้วย ฉันทำงานแปลเนื้อหาเกี่ยวกับโรงแรมให้ Booking.com มา 4 ปีกว่า เพิ่งจะได้ยินชื่อ Wakayama ก็เพราะเหตุสุดวิสัยนี้เอง เดาเอาว่าพวกเขาน่าจะซื้อตั๋วของ Peach แล้วประสบปัญหาเดียวกันกับฉันละกระมัง (ก็ยังไม่อยากจะเชื่อนี่ ว่าใครหนอจะรู้จัก Wakayama กันด้วย)

ฉันปรามาสอากาศของ Wakayama ไปนิดค่ะ เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนฉันพักอยู่เกียวโต แล้วอุณหภูมิมันเท่า ๆ กันกับที่นี่ในวันนี้นี่แหละ แต่แหม .. วันนี้เนี่ยมันหนาวไปถึงกระดูกเลยนะ ความชื้นในอากาศมันมีส่วนอยู่มากนะคะ ขอเปรียบเทียบฮ่องกงซึ่งอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 10 องศา แต่ด้วยความที่อากาศชื้นมันเลยหนาวกว่าเกียวโต โอซาก้าที่อุณหภูมิ 1-3 องศาเสียอีก ที่นี่ก็เหมือนกันค่ะ

ยืนรอรถอยู่ประมาณ 10 นาทีเห็นจะได้ เราสองหนาวจนฟันกระทบกันโดยไม่ได้นัดหมาย เลยตัดสินใจไม่รอแล้วเรียกแท็กซี่ไปดีกว่า จะหันไปเรียก 4 ลุง-ป้าที่ยืนหนาวให้ขึ้นรถไปด้วยกันก็อ่ะนะ ที่นั่งไม่พอ กลัวผิดกฎหมายเขาด้วย นั่งแท็กซี่ไปได้ประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น เราก็มาถึง Marina City กันแล้ว รู้งี้ไม่เสียเวลายืนหนาวตั้งนานหรอกนะเนี่ย






เข้าไปในตลาดปลากันแล้วเนี่ย แทนที่จะเดินเที่ยว เรากลับเดินหาเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์กันก่อน อากาศข้างนอกมันหนาวมากเสียจนเรากลัวว่าจะแข็งตายหากขากลับเราต้องยืนรอรถนาน แล้วรถโดยสารมันจอดที่ไหนกันบ้างก็ไม่รู้ จุดบริการรถแท็กซี่ก็ไม่เห็นมี พนักงานก็พยายามอธิบายด้วยภาษามือและภาษาอังกฤษอย่างกระท่อนกระแท่น ว่าป้ายรถเมล์ไปยัง JR Kainan มันอยู่ตรงไหน สายอะไร รถออกเมื่อไหร่ พอได้ข้อมูลครบก็เบาใจ เดินเที่ยวกันล่ะค่ะ

ทางตลาดประกาศแจ้งเวลาประมูลทูน่ารอบต่อไปพอดี ซึ่งต้องรออีกเกือบชั่วโมงแน่ะ แต่เราสองไม่ใช่พวกที่ใช้เวลาที่ไหนนาน ๆ ค่ะ (นอกจากที่กิน) และไม่ได้ใส่ใจจะดูด้วย ก็เลยเดินดูแค่สินค้าในตลาดนี่แหละ ก็เป็นสินค้าแนวหลอกกินเงินนักท่องเที่ยวอ่ะนะคะ อาหารก็ไม่ได้ถูกกว่าข้างนอกเลย (แต่น่ากินอยู่นะ ฮ่าฮ่า) เดินเป็นพระยาน้อยชมตลาดจนทั่วแล้ว เราก็เดินขาสั่นไปป้ายรถเมล์ ถ่ายรูปเขื่อนกั้นคลื่นกั้นน้ำในความเห็นข้างบน สักพักรถเมล์ก็มาพอดี โชคดีจัง






เรานั่งรถโดยสารกลับไปที่ JR Kainan อีกครั้ง จากที่นั่น เราจะนั่งรถไฟกลับไปยังตัวเมือง Wakayama โดยจะลงที่สถานี JR Kimii-dera เพื่อไปวัดที่มีชื่อเดียวกับสถานี สักพักเราก็มาถึงสถานีดังกล่าว มองหาป้ายบอกทางไปยังวัดก็หาไม่เจอ เห็นหนุ่มสาว 3-4 คนลงรถไฟที่สถานีเดียวกัน เราก็เดินตามเขาไปต้อย ๆ เลยล่ะค่ะ เดาว่าเขาน่าจะไปที่เดียวกับเรา

ปรากฏว่าเข้าใจผิดสิคะ หลงตามไปจนมั่นใจว่าเขาไม่ได้ไปวัด (กร๊ากส์) หันไปเห็นทางขึ้นด้านข้างของวัด (ไม่คึกคักเท่าทางขึ้นด้านหน้าซึ่งเรามาพบตอนขากลับ) เราก็เดินขึ้นเขาตามเส้นทางนั่นไปทันที

เรามาที่วัด Kimii-dera นี้กันในวันขึ้นปีใหม่พอดี คนญี่ปุ่นชอบมาไหว้พระขอพรกันในวันนี้นะคะ คนเต็มวัดเลย ทำให้วัดมีบรรยากาศคึกคักไปอีกแบบ





เราเดินขึ้นบันไดสูงไปจนถึงด้านบนของวัด ก็ได้เห็นทิวทัศน์ของเมืองเล็ก ๆ ริมทะเลนี้กันเกือบเต็มตา โดยมีต้นไม้และกิ่งไม้แห้ง ๆ ในหน้าหนาวปิดบังวิวบางส่วนไว้อย่างน่ากวนโทสะ

เดินลงเขามาถึงเบื้องหลังก็พบกับทางขึ้นวัดด้านหน้า มีร้านรวงต่าง ๆ สองข้างทาง ทั้งร้านอาหารและร้านขายสินค้าที่ระลึก เราได้แต่เข้าไปดู ๆ ดม ๆ ค่ะ กระเป๋าเต็มแล้ว มาคราวนี้ไม่ได้ตั้งใจมาซื้ออะไรเป็นพิเศษ

หลังจากนั้นเราก็เดินออกจากวัดตรงเข้าเมือง ตั้งใจจะหาแท็กซี่หรือรถโดยสารไปยัง Wakayama Castle ที่หมายสุดท้ายของเราในวันนี้


เราเดินออกไปยังถนนใหญ่ ก็เห็นหนุ่มคนนึงยืนโบกรถให้ทางอยู่กลางสี่แยกจราจร ดูการแต่งกายแล้วก็ไม่น่าจะใช้ตำรวจนะ พอเห็นเราทั้งคู่เดินผ่าน หนุ่มคนนั้นก็ตะโกนพูดกับเราว่า “Happy New Year” เอ้า .. เข้าทางป้าสิคะ ฉันจูงคุณสามีเดินรี่เข้าไปถามทางหนุ่มคนนั้นทันที

“How can we go to Wakayama Castle from here?”

หนุ่มคนนั้นหัวเราะเสียงดัง แล้วตอบกลับมาเร็ว ๆ รัว ๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น โนเนะ โนเนะ ฉันฟังไม่ออกสักคำ คุณสามีควักแผนที่ที่ได้มาจากสาวการท่องเที่ยวคนเมื่อวาน แล้วชี้ไปที่เป้าหมาย ฉันยังพูดคำว่า “บัสสึ” ตามไปด้วย หนุ่มคนนั้นก็เข้าใจทันที ชี้ว่าป้ายรถเมล์อยู่อีกฝั่งหนึ่ง แหม... น่ารักจริง ๆ

เราเดินจากหนุ่มคนนั้นมากำลังจะข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง ก็เห็นแท็กซี่ผ่านหน้ามาพอดี เรียกขึ้นทันทีสิคะ บอกไปว่า Wakayama Castle (ออกเสียงว่า “วะกะยาหมะ” เหมือนคนญี่ปุ่นเองด้วยนะ) คนขับไม่รู้เรื่องค่ะ กร๊ากกส์ ควักแผนที่อันเดิมขึ้นมาโชว์ คุณคนขับก็ อ๋อ “วะกะยาหมะ-โจ” โจก็โจค่ะ!!

ก่อนมา ฉันกูเกิลมาแล้วว่าวันนี้ Wakayama Castle ปิด ตัวฉันเองไม่ได้ชอบเข้าไปดูในวัด ปราสาท หรือพิพิธภัณฑ์อะไรซักเท่าไหร่เลย ชอบดูคน ดูอาคาร ชอบถ่ายรูปข้างนอกมากกว่า ก็ไม่ได้ติดใจอะไร กะว่าเดินขึ้นเขาไปถ่ายรูปตัวปราสาทกับทิวทัศน์ตัวเมืองด้านล่างก็พอใจแล้ว

กึ่งเดินกึ่งคลานโต้ลมหนาวขึ้นเขาไปจนถึงด้านล่างของปราสาท เห็นตู้ขายตั๋วตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้า พนักงานนั่งขายตั๋วหน้าสลอนให้คนเข้าไปชมข้างใน อ๊าย ผิดคาด เปิดทำไม?? อย่าเปิด ไม่อยากเข้าไปดู!!

แล้วฉันก็ไม่ได้ซื้อตั๋วขึ้นไปดูจริง ๆ นะ ถ่ายรูปด้านนอกกันหลายช็อต พอใจแล้วก็เดินลงเขามา ตั้งใจจะกลับโรงแรมไปเล่นกับลูกกันล่ะ เดินดูเมืองกันนิดหน่อย รู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองร้างค่ะ ออกไปยืนถ่ายรูปกลางถนนมาด้วย แทบไม่มีรถ ไม่มีคนกันเลยทีเดียว เจอแท็กซี่ผ่านมาก็เรียกขึ้น บอกจุดหมายเสร็จสรรพ แป๊บเดียวก็มาถึงหน้า JR Wakayama เมืองเขาเล็กจริง ๆ ค่ะ





ก่อนเข้าโรงแรม เราตั้งใจแวะหากาแฟดื่มกันก่อน ฉันกะว่าจะซื้ออาหารเช้าพวกแซนด์วิชสำหรับมื้อเช้าวันพรุ่งนี้ติดตู้เย็นไว้ด้วย เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันตอนตีห้ากว่า ๆ เพื่อให้ทันขึ้นเครื่องตอนแปดโมงเช้า กลัวว่าจะไม่มีเวลาหาหรือซื้ออะไรกินที่สนามบิน

เราแวะดื่มกาแฟกินขนมกันที่ Mister Donut (เป็นร้านเดียวที่เปิดบริการในวันนั้น) แวะซื้อแซนด์วิชกันที่ Family Mart ตกเย็นก็ออกจากห้องตั้งใจไปกินอาหารเย็นมื้อวันขึ้นปีใหม่กันที่ห้องอาหารญี่ปุ่นของโรงแรมเหมือนเดิม ปรากฏว่าไปถึง บอกพนักงานว่า "ขอโต๊ะ 3 คน" พนักงานยิ้มหวานตอบกลับมาว่า "แขกจองโต๊ะไว้เต็มหมดแล้ว" แป่ว !!! ทำไมโชคชะตาช่างใจร้าย??

เราลงลิฟต์ไปดูคาเฟ่ด้านล่างของโรงแรม อีก 5 นาทีจะหกโมงเย็นค่ะ พนักงานต้อนรับบอกว่าครัวจะปิดใน 5 นาทีนี้แล้ว ส่วนคาเฟ่จะปิดตอนหนึ่งทุ่ม เราโอเคมั้ย ไม่โอก็ต้องโอล่ะค่ะ

มื้อสุดท้ายในญี่ปุ่นในวันพิเศษแบบนี้ เราได้กินอาหารอย่างเดียวกับที่อาศัยกินแก้หิวกันไปเมื่อวันก่อน จบทริปญี่ปุ่นของเราไปอย่างงง ๆ ค่ะ









Create Date : 25 มกราคม 2558
Last Update : 25 มกราคม 2558 11:53:26 น.
Counter : 2450 Pageviews.

0 comments

ป้าเดซี่
Location :
堅尼地城  Hong Kong SAR

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]





เจ้าของบล็อกนี้มีชื่อไซเบอร์ว่า "ป้าเดซี่" ค่ะ ย้ายตามครอบครัวมาปักหลักและทำงานที่ฮ่องกงเป็นปีที่ 8

เป็นมนุษย์เงินเดือนไทยในต่างแดนมาก็หลายงาน ตั้งแต่เลขานุการผู้บริหาร พนักงานติดตามเร่งรัดหนี้สิน นักแปล ล่าม ฯลฯ

ปัจจุบันเป็นนักแปลอิสระสัญชาติไทยประจำบริษัทรับจองห้องพักออนไลน์สัญชาติดัตช์มากว่า 4 ปี เป็นผู้จัดการชุมชนออนไลน์สัญชาติไทยประจำบริษัทศึกษาวิจัยทางการตลาดสัญชาติฝรั่งเศสมากว่า 3 ปี และเป็นจิตอาสาทำงานแปลเอกสารให้กับมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ประเทศไทยมากว่า 4 ปีค่ะ

บล็อกนี้ก็เป็นบล็อกเกี่ยวกับการใช้ชีวิต และอาการวิปริตทางความคิดและจิตใจของผู้หญิงไทยสายสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมาใช้ชีวิตแบบสุขบ้าง ทุกข์บ้างในฮ่องกง

หวังว่าทุกท่านที่พลัดหลงเข้ามาในบล็อกนี้คงได้รับความไร้สาระกลับออกไปบ้างตามยถากรรมนะคะ