สิงหาคม 2556

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
ความฝันสีลูกกวาด Melissa Dreams by Vivienne Westwood VS Jason Wu


ป้าเดซี่เป็นคนชอบรองเท้าพลาสติกสีสันสดใสมานานแล้วค่ะ แต่ก่อน Jaspal กับ Chaps เค้าทำรองเท้าพลาสติกออกมาบ้างเป็นบางซีซั่น สนนราคาเต็มในตอนนั้นก็ประมาณคู่ละ 2000 กว่าบาท (8-9 ปีก่อนได้แล้วค่ะ) อิชั้นก็รอตอนเซลส์แล้วซื้อมาใส่ 2 คู่ 2 สีแบบเดียวกันนี่แหละ แต่ใส่ได้ไม่นานก็พังค่ะ มันไม่สมบุกสมบันสมราคาเอาเสียเลย


หลังจากนั้นอิชั้นก็ย้ายมาอยู่ฮ่องกงเป็นการถาวร (6 ปีก่อน) ร้าน Crocs เพิ่งจะเปิดตัวใหม่ ตอนเปิดตัวมีรองเท้าอยู่สไตล์เดียวแต่หลากสีสัน อิชั้นก็ไปลองใส่ ปรากฏว่าขนาดเท้าของอิชั้นมันไปคร่อมระหว่างสองเบอร์ เบอร์เล็กกว่าก็คับไป เบอร์ใหญ่กว่าก็หลวมไป เลยไม่ได้ซื้อ แถมอิชั้นยังไม่ค่อยชอบแบบเท่าไหร่ด้วย


จน Crocs เข็นรองเท้ารุ่นที่สองออกมาแบบมีสายคาดสไตล์รองเท้านักเรียนหญิงเมืองไทยน่ะแหละค่ะ อิชั้นก็ไปดูอีก คราวนี้เลือกเบอร์ใหญ่ พอมันมีสายคาดแล้วถึงมันจะหลวมนิด ๆ แต่ใส่เดินแล้วมันไม่หลุดเหมือนรุ่นแรก ก็เลยตัดสินใจซื้อ


หลังจากนั้น Crocs ก็ออกรองเท้ารุ่นแล้ว รุ่นเล่า จนกลายเป็นรองเท้ามหาชนไปเนอะ อิชั้นก็สะบัดบ๊อบ ไม่ชอบอะไรที่คนอื่นใส่หรือใช้กันเยอะ ๆ ก็บอกลา Crocs ไป


หมดจากยุคนั้น รองเท้าพลาสติกก็เป็นเรื่องไกลตัวไปเลย จนอิชั้นได้งานใหม่ ได้เจอเพื่อนร่วมงานสาวชาวเกาหลีวัยอ่อนกว่าอิชั้น 10 ปี เธอมารื้อฟื้นความฝันสีลูกกวาดของอิชั้นให้กลับมาอีกครั้ง เธอบอกเล่าว่าความฝันนั้นชื่อ .... Melissa


Melissa เป็นแบรนด์รองเท้าสีลูกกวาดสัญชาติบราซิล ตัวแทนจัดจำหน่ายรองเท้าแบรนด์นี้ในฮ่องกงคือ M Dreams ขณะที่ตัวแทนจัดจำหน่ายในเมืองไทยคือ Jelly Dreams ใครที่สนใจจะซื้อหาก็ตามชื่อร้านไปเลยนะคะ กระซิบให้ฟังนิดว่า ถ้าราคาเต็มตามปรกติแล้ว รองเท้ารุ่นเดียวกันแบบเดียวกัน Jelly Dreams ในเมืองไทยจะถูกกว่า M Dreams ที่ฮ่องกงค่ะ แต่เวลาเซลส์ Jelly Dreams จะเซลส์ 40% ขณะที่ M Dreams จะเซลส์ 50% นะ


นอกจากจะมีดีไซเนอร์ในบ้านของตัวเองแล้ว Melissa ก็ยังร่วมมือกับดีไซเนอร์นอกบ้านที่มีชื่อเสียงหลายคน ดีไซน์รองเท้ารุ่นพิเศษขึ้นมาโดยเฉพาะ และรองเท้าของดีไซเนอร์ที่อิชั้นไปสอยมาประดับความฝันของตัวเอง ก็คือของ Queen of Punk อย่าง Vivienne Westwood และ First Lady's Favourite Designer อย่าง Jason Wu ค่ะ

มาดูกันนะว่าหน้าตาของมันเป็นอย่างไร





Melissa 3 คู่แรกในชีวิต อิชั้นสั่งซื้อออนไลน์มาจากเว็บไซต์ NonNon UK ค่ะ








ที่ต้องสั่งซื้อ เพราะอยากได้รุ่นนี้แล้วฮ่องกงมันหมดสต็อกไปนานแล้ว เพราะเป็นรองเท้าของปีก่อน








ไปดูรุ่นใหม่ของ Vivienne Westwood ในร้าน ก็ไม่ชอบ เพราะดีไซน์ของปีนี้จะเน้นสีพาสเทล ซึ่งอิชั้นไม่ชอบเท่าไหร่








พอไปเจอในเว็บไซต์นี้ว่ามันยังมีรุ่นเก่าของปีก่อนอยู่ แถมสีสันสดใสสะใจแบบนี้ ก็เลยกัดฟันสั่งซื้อ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า UK นั้น VAT มันสูงถึง 20% ขณะที่ฮ่องกงมัน 0% น่ะ







เรียกว่ากัดทั้งฟันกัดทั้งเหงือกสั่งซื้อกันไปเลย แล้วพอเห็นว่าจะสั่งคู่เดียวหรือสามคู่ ค่าส่งมันเท่ากันอีก เอาวะ สั่งมัน 3 คู่ เอามาเฉลี่ยค่าส่งละกัน






ก็ได้ Vivienne Westwood รุ่นปีก่อนมา 2 คู่ แล้วคู่นี้แถมมาเป็น in-house designer ซึ่งเค้าเรียกกันสั้น ๆ ว่ารองเท้า Mel








ไม่ชอบสี ไม่ชอบโบว์ยักษ์เท่าไหร่ แต่ใส่กระชับดีค่ะ








หลังจากนั้นก็เป็นช่วงที่ครอบครัวอิชั้นมาพักร้อนกันที่ภูเก็ต 1 เดือนเต็ม วันนึงก็ไปเดินเล่นที่จังซีลอน ไปเห็นร้าน Jelly Dreams เข้าก็กรี๊ดวิ่งถลาเข้าไปทันที







ตอนนั้นที่ร้านยังไม่เซลส์ รองเท้าของ Vivienne Westwood ซึ่งราคาที่ฮ่องกงประมาณ 1000 เหรียญ เค้าขายอยู่ประมาณ 3200 กรี๊ดเลย ถูก ถูก (ถูกตรงไหน ?? เนอะ งั้นกรี๊ดใหม่ ถูก ถูก ถูกกว่าฮ่องกง !!)







เวลาผ่านไป 1 เดือน ได้ไปเดินจังซีลอนอีกครั้งก่อนกลับมาฮ่องกง ทางร้านกำลังลดราคา 40% ไม่ซื้อไม่ได้แล้วค่ะ








ชั่งใจระหว่าง Vivienne Westwood รุ่นที่ชอบ กับ Jason Wu เออ ชั้นมีเจ๊วิแล้วตั้ง 2 คู่ 2 สี ชั้นจะซื้อไปทำไมอีก 2 คู่ 2 สีวะ







Jason Wu รุ่นนี้ก็น่ารักเนอะ ก็เอาวะ เอา Jason Wu ละกัน ราคาเต็ม Jason Wu จะแพงกว่า Vivienne Westwood อยู่ประมาณ 200 บาทค่ะ ก็สอยมาสองคู่



ตอนแพ็คของกลับฮ่องกงก็เอาน้อง Jason Wu ทั้งสองใส่กล่องรองเท้าโดยห่อกระดาษในกล่องก่อนอย่างดี แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทางอีกที พอมาถึงสนามบินภูเก็ตต้องผ่าน x-ray scan คุณพนักงานก็เรียกให้หยุดแล้วให้เปิดกระเป๋าให้หล่อนดู โกรธอ่ะ !! หล่อนจะมาเช็คอะไรกับกระเป๋าขาออกวะ ประสาทหรือเปล่า ?


อิชั้นก็ถามว่า "ทำไมต้องเช็ค เห็นวัตถุต้องสงสัยอะไรเหรอ กระเป๋าดิฉันมันเปิดยาก ทั้งเสบียง ทั้งของที่ช้อปมา ทั้งของฝากอีก" เธอก็ตอบว่า "มีทุเรียนหรือเปล่าคะ" อิชั้นก็บอกว่า "ไม่มี" เธอไม่เชื่อค่ะ นั่งยันให้อิชั้นเปิดให้ดูให้ได้


เปิดกระเป๋าแล้วเธอก็มาค้น ๆ จนเจอกล่องรองเท้า (คือถ้ามีทุเรียนอ่ะนะ เปิดกระเป๋ามาแล้วมันต้องส่งกลิ่นบ้างล่ะ) ก็พบวัตถุต้องสงสัยห่อกระดาษมิดชิดส่งกลิ่นหอมจรุงใจ (รองเท้า Melissa มันจะหอมมาก กลิ่นเหมือนลูกกวาดน่ะค่ะ) จนเธอหายสงสัย บอก "ขอบคุณค่ะ" คำเดียว ปล่อยให้อิชั้นพยายามปิดกระเป๋าหนักกว่า 30 กิโลกรัม อย่างยากลำบากอีกครั้งนึง คิดดูเถอะว่ากระเป๋าเดินทางของอิชั้นมันจะบวมปลิ้นแทบจะระเบิดขนาดไหน ก่อนปิดกระเป๋าที่บ้านยังต้องขอให้ลูกชายมานั่งทับกระเป๋าให้กว่าจะปิดล็อกได้น่ะ เฮ้อ !!


ประเด็นคือ อิชั้นสงสัยว่า ถ้าใครมันจะหอบทุเรียนโหลดขึ้นเครื่องแล้วมันผิดประเวณีตรงไหนเหรอวะคะ ไม่ได้หิ้วขึ้นเครื่องนี่ ? ผู้รู้วานไขข้อข้องใจให้หน่อยสิคะ


เริ่มต้นเป็นลูกกวาด ไหงตอนจบกลายเป็นทุเรียน เอวังด้วยประการฉะนี้ พบกันใหม่บล็อกหน้า สวัสดีค่ะ




Create Date : 10 สิงหาคม 2556
Last Update : 11 สิงหาคม 2556 20:01:12 น.
Counter : 8935 Pageviews.

0 comments

ป้าเดซี่
Location :
堅尼地城  Hong Kong SAR

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]





เจ้าของบล็อกนี้มีชื่อไซเบอร์ว่า "ป้าเดซี่" ค่ะ ย้ายตามครอบครัวมาปักหลักและทำงานที่ฮ่องกงเป็นปีที่ 8

เป็นมนุษย์เงินเดือนไทยในต่างแดนมาก็หลายงาน ตั้งแต่เลขานุการผู้บริหาร พนักงานติดตามเร่งรัดหนี้สิน นักแปล ล่าม ฯลฯ

ปัจจุบันเป็นนักแปลอิสระสัญชาติไทยประจำบริษัทรับจองห้องพักออนไลน์สัญชาติดัตช์มากว่า 4 ปี เป็นผู้จัดการชุมชนออนไลน์สัญชาติไทยประจำบริษัทศึกษาวิจัยทางการตลาดสัญชาติฝรั่งเศสมากว่า 3 ปี และเป็นจิตอาสาทำงานแปลเอกสารให้กับมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ประเทศไทยมากว่า 4 ปีค่ะ

บล็อกนี้ก็เป็นบล็อกเกี่ยวกับการใช้ชีวิต และอาการวิปริตทางความคิดและจิตใจของผู้หญิงไทยสายสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมาใช้ชีวิตแบบสุขบ้าง ทุกข์บ้างในฮ่องกง

หวังว่าทุกท่านที่พลัดหลงเข้ามาในบล็อกนี้คงได้รับความไร้สาระกลับออกไปบ้างตามยถากรรมนะคะ