walk1 การเดินทางของฉัน การเดินทางของเธอ และ การเดินทางของเรา. . . ร่ อ น เ ร่ . . . พ เ น จ ร . . .

Animas
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Group Blog
 
 
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
21 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Animas's blog to your web]
Links
 

 

Peru : Machu Picchu

Machu Picchu



"เมืองสาบสูญแห่งอินคา" The lost city of the Incas


อยู่ห่างจากเมือง Cusco ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 70 กิโลเมตร


และอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,350 เมตร




การเดินทางไปยัง Machu Picchu มีด้วยกันหลายวิธีนะคะ วิธีที่เค้าฮิตๆกันก็จะมีอยู่ 2 วิธี คือ ...


1.โดยรถไฟ จาก San Pedro Station ในเมือง Cusco ไปยังเมืองเล็กๆ ชื่อ Aguas Calientes (ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง)


รถไฟแบ่งเป็น - Local เฉพาะชาวเปรูเท่านั้น ราคาไม่แพงเลย


- BackPacker ราคาพอประมาณ รับได้ค่ะ


- Vistadome แพงขึ้นมาอีกพอสมควร แต่หลังคารถไฟจะเป็นกระจก สามารถเห็นวิวรอบทุกทิศ


เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มด่ำกับบรรยากาศเป็นอย่างยิ่ง


- The Hiram Bingham อันนี้แพงกว่าเกินเหตุค่ะ ...ignore ไปเลย


พอไปถึง Aguas Calientes แล้วก็นั่งรถบัสต่อไปอีกนิดนึง หรือว่าจะ trekking ขึ้นไปก็ได้...จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง


2.โดย 2 เท้าของท่านเอง



ตอนแรกที่คุยกับเพื่อนว่าไปกันมั้ย ตอนนั้นยอมรับว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้แค่ว่า Machu Picchu คือ World Heritage เท่านั้น


ไม่ได้ศึกษาข้อมูลมากเท่าที่ควร(สมน้ำหน้าตัวเองเป็นที่สุด) และเมื่อมารู้ถึงวิธีที่เพื่อนเลือกที่จะไป...ทำเอาอึ้งไปเป็นนาน


เธอเลือกเดิน...เดินขึ้นไปค่ะ...เดินขึ้นไปข้างบนนู้น...เดินทั้งหมด 49 กิโลเมตร...เดินกัน 4 วัน 3 คืน Smiley


พอทำใจได้(นานน่าดูล่ะ)ก็"ม้ำมึก"(แปลเป็นไทยว่า"ตัดอกตัดใจ"มั้งคะ) เอ้า!ตายเป็นตาย ไปก็ไปวะ


มีการเตรียมตัวเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่า trip ไหนๆที่ผ่านมา ทั้งกิน calcium บำรุง ทั้งเข้า fitness ทั้งออกกำลังกายสารพัด


เราไป join group ของ SAS Travel ที่ Cusco ...ก่อนเดินทาง 1 วันมีการรวมกลุ่มประชุมว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง


Group เรามีทั้งหมด 11 คน...10 คนเคย trekking แบบมืออาชีพมาทั้งนั้น แล้วทายซิคะว่าใครเอ่ยที่เป็นมือสมัครเล่น




ตื่นตั้งแต่ก่อนตี 4 เพื่อไปขึ้นรถที่ office ของ SAS Travel ในเมือง Cusco


นั่งรถ(คล้ายๆรถตู้บ้านเรา แต่ใหญ่กว่า แต่ไม่ใช่ mini-bus นะ)ไปจนฟ้าสาง แวะกินอาหารเช้าที่เค้าเตรียมแพ็คมาให้


กินกันตรงลานกว้างข้างถนนระหว่างทางนั่นแหละค่ะ


ไปต่อจนถึง Ollantaytambo ซึ่งที่นี่เป็นที่สุดท้ายที่จะซื้อของ เช่น ครีมกันแดด หมวก ถุงมือ


Walking Pole สำหรับช่วยปีนเขา(ชาวบ้านทำเอง แกะสลักสวยดี)




ออกจาก Ollantaytambo ซักพักถนนก็เริ่มแคบ ด้านขวาเป็นภูเขา ด้านซ้ายเป็นลำธารลึก เวลารถสวนกันที..ลุ้นกันน่าดู


ไปต่อเรื่อยๆจนถึงกิโลเมตรที่ 82 ที่ตรงนี้แหละค่ะที่จะเริ่ม trekking


หลังจากเช็ค passport เช็ครายชื่อ...จำนวนคนแล้ว ก็ถ่ายรูปเป็นหลักฐานซะหน่อยว่าตอนเริ่มต้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ขนาดไหน




มือสมัครเล่นเตรียมพร้อมค่ะ อุปกรณ์เสริมเพียบ จุดหมายคงอยู่ที่หลังเขาลูกใดลูกหนึ่งลิบๆตานู่นแหละค่ะ




ยินดีต้อนรับสู่ INKA TRAIL ต่อจากนี้เราก็จะตั้งหน้าตั้งตาเดิน---เดิน---เดิน---เดิน---เดิน---เดิน---เดิน---เดิน---




เริ่มเดินได้ประมาณชั่วโมงกว่าๆ มองลงไปข้างล่างก็เห็นจุดตั้งต้นลิบๆ


ตอนแรกที่เริ่มเดินก็ยังคุยกันจ้อ เป็นใคร...ที่ไหน...ยังไง พอผ่านไปซักพัก...ใครจะอยู่ที่ไหน...เป็นยังไง...ไม่สนแล้ว(โว้ย)




การเดินขึ้นไปเรื่อยๆมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้เลย สัมภาระบางส่วนต้องให้ลูกหาบช่วยขนขึ้นไปให้


เค้ามีกฎของเค้าเองว่าห้ามลูกหาบแบกน้ำหนักเกินคนละ 20 กิโลกรัม เพื่อสุขภาพของตัวลูกหาบเองด้วย


แต่ละกรุ๊ปที่ trekking จะมีลูกหาบมากกว่าคน trekking เสมอ เพราะมีของเยอะมากที่จำเป็นต่อการค้างคืนระหว่างทาง


เต้นท์ - เครื่องครัว - อาหารทุกมื้อ รวมทั้งยาหอมยาลมยาดมยาหม่อง...มีครบค่ะ


ส่วนของส่วนตัวที่ต้องรับผิดชอบเอาไปเอง มีตามรายการนี้เลยค่ะ


Original Passport - Backpack - Warm clothes - Wool socks - ยากันแมลง - กระดาษทิชชู


Water purifying Tablets (เค้าจะต้มน้ำเดือดให้คนละ 1 ลิตร หลังอาหารมื้อเช้า เพราะฉะนั้นต้องมีขวดที่ใส่น้ำเดือดได้)


ยาส่วนตัว - Sleeping bag - เสื้อกันฝน - ยากันแดด - หมวก - ไฟฉาย - Walking Pole




วิวระหว่างทางค่ะ หันไปทางไหนก็สวยไปหมดค่ะ แรกๆก็ตื่นตาตื่นใจมาก...มัวแต่ถ่ายรูปจนเดินตามกลุ่มแทบไม่ทัน


วิวแบบนี้มีให้เห็นตลอดทั้ง 3 วันที่ trekking นะคะ


ข้อแตกต่างของการ trekking กับการนั่งรถไฟไป Machu Picchu ก็คือเราจะได้เห็นสิ่งที่ชาวอินคาได้หลงเหลือไว้เกือบครบทั้งหมด


ความลับนะคะ...


สำหรับมือสมัครเล่น...พอเหนื่อยแล้ว ไอ้วิวที่กิ้วก๊าวอยู่หยกๆก็ไม่สนใจละ...เหมือนๆกันหมดแหละ(สงสัยเหนื่อยจนตาลาย)




พวกผู้ชายทิ้งเป้ไว้แถวนี้แล้วก็แว้บไปฉี่หลังกำแพงนี่ล่ะค่ะ ส่วนพวกผู้หญิงก็เชิญตามอัธยาศัย




นี่คือสภาพของมื้อเที่ยงวันแรก...หลังจากเดินมาได้ประมาณ 4 ชั่วโมง ดีนะคะที่เค้ารับผิดชอบทำอาหารให้ทุกมื้อ


ถ้าต้องมาเตรียมอาหารเองมีหวังกรณีก่องข้าวน้อยฆ่าแม่คงมีให้เห็นทุกครั้งที่หยุดพักแน่ๆ




ที่พักของคืนแรกค่ะ พอมือสมัครเล่นลากสังขารมาถึงที่ ก็เห็นเต้นท์ทั้งหมดกางเรียบร้อยโดยพวกลูกหาบที่(วิ่ง)ล่วงหน้ามาก่อน


ส่วนพวกมืออาชีพ...นู่นค่ะ...เตะลูกบอลเล่นกันอยู่ด้านบนนู่น...พลังงานช่างเหลือเฟือจริงจริ้ง(น้ำเสียงโทนอิจฉาปนหมั่นใส้)


เต้นท์ใหญ่ที่เห็นคือเต้นท์กินข้าว เค้าเรียกกินข้าวก่อน 6 โมง...ก่อนฟ้ามืดค่ะ อาหารอร่อยทุกมื้อ...กินได้เยอะมากๆ


มี main course มีซุป มีของหวานผลไม้ มีชากาแฟพร้อม


อ้อ...เค้าแนะนำให้เอาใบโคคาบี้ๆผสมน้ำใส่กระติกไว้กินระหว่างวัน เพื่อเพิ่มพลังมั้งคะ แต่มือสมัครเล่นคงแพ้ต้นหมากรากไม้


จิบไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เกิดอาการจะอ้วก...เหมือนเมาๆ...เลยเลิกดีกว่า ไม่ต้องเพิ่มพลังเราก็ไปแบบสบายๆอยู่แล้ว 555


ส่วนกาละมังสีแดงที่วางอยู่นั่น คือน้ำล้างมือค่ะ ล้างตามลำดับเลย น้ำหนึ่ง-น้ำสอง-น้ำสาม-น้ำสุดท้าย ไม่มีการเปลี่ยนถ่าย


และถุงก้อบแก้บที่แขวนนั่นใช้ใส่เศษอาหารและขยะ


เค้าจะแจกถุงก้อบแก้บให้คนละใบ เพื่อให้ใส่ขยะทุกอย่างลงไปในนั้น ห้ามทิ้งลงพื้นเด็ดขาด


ถึงไม่มีใครเห้นพระเจ้าก็เห็น...น่าน...เอาพระเอาเจ้าเข้าขู่กันเลย ขยะทุกชิ้นจะรวบรวมไว้ให้ลูกหาบหอบกลับไปทิ้งในที่ทิ้งขยะในเมือง


ขยะนี่หมายถึงของที่เราจะทิ้งทุกอย่างเลยค่ะ รวมทั้งกระดาษชำระที่ใช้แล้วด้วย


ดีมากๆเลยนะคะ...สภาพป่าของเค้าคงอยู่เหมือนเดิมไปได้อีกนาน โดยไม่มีพลาสติก-กระป๋องอะไรให้เห็นรกตา




ลานกางเต้นท์ของคืนแรก มีห้องน้ำให้ด้วย เย้


2 ห้องส้วม 1 ห้องอาบน้ำ ไม่มีประตูเลยซักบาน ใครอยู่ในนั้นก็ต้องคอยส่งเสียงตลอดเวลาว่ามีคนอยู่ในนี้น้าาาาาาา


เวลาเข้าส้วมก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบนึงนะคะ...เห็นไร่ข้าวโพด...ภูเขาสูง...วิวส้วยสวย...


อ้อ...อย่าลืมเตรียมรองเท้าแตะไปด้วยคู่นึงนะคะ เผื่ออึดอัดจากรองเท้าปีนเขา




ตื่นเช้า(ขอบอกว่าเช้ามากๆ ประมาณก่อนตี 5)ต้องเก็บถุงนอน-ข้าวของให้พร้อมก่อนกินอาหารเช้า


ส่วนเต้นท์...เราขอขอบคุณลูกหาบที่รับภาระไปแทน


ตอนที่ไปอากาศหนาวมากๆค่ะ นอนในถุงนอนปิดหูปิดหน้าก็ยังได้ยินเสียงลมพัดวิ้ว-วิ้วอยู่ข้างหู


แถมคืนที่ 2 ฝนตกหนักอีก...น้ำไหลเป็นทางผ่านเต้นท์ที่นอนเหมือนได้นอน Boutique Hotel กลางสายน้ำเด๊ะๆ


ส่วนคืนที่ 3 เป็นคืนสุดท้าย...เริ่มสนิทกันแล้ว ดึกดื่นเที่ยงคืนไม่ยักหลับไม่ยักนอนแฮะ คุยกันข้ามเต้นท์จนเกือบเช้า




ห้องน้ำนี้เป็นห้องน้ำระหว่างทางที่ลงจากเขา (ลูกไหนก็ไม่รู้...จำไม่ได้แล้ว...มีหลายลูกเกินค่ะ)


แต่ก็ไม่เห็นมีใครแวะใช้บริการเลย ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาจ้ำเอาจ้ำเอา...เหมือนกลัวทางข้างหน้าจะหายไป





เคยได้ยินมั้ยคะ...


จะรู้ว่าโลกนี้...มันกว้างใหญ่


ก็ต่อเมื่อ...เราได้ออกเดินทาง




เดินทาง - - - ตามหา - - -


ไขว่คว้าวันเวลาดีดี...ที่หายไป


ไกลแสนไกล


ในหมอกม่านกาลเวลา




ฝนตกค่ะ


บางคนเห็นเป็นเรื่องลำบาก บางคนเห็นเป็นเรื่องสนุก บางคนเห็นเป็นเรื่องท้าทาย


แล้วคุณล่ะคะ...คิดยังไง?



คืนสุดท้ายได้นอนนิดนึง...ลุกขึ้นมาเก็บของแต่เช้า(คราวนี้ก่อนตี 4 ด้วยซ้ำ)


ก่อนที่จะเริ่มเดิน...ต้องมีการกำชับแล้วกำชับอีกว่า "ห้ามวิ่ง" ฟ้ายังมืดตื๋ออยู่เลย ไฟฉายก็ช่วยได้นิดหน่อยเท่านั้น


ไกด์เล่าให้ฟังว่ามีอยู่ trip นึง ผู้ชายคนนั้นคงอยากไปถึง Machu Picchu ก่อนใครๆ พอเค้าเริ่มออกเดินทาง


ชายหนุ่มก็วิ่งหน้าเริ่ดไปก่อน...วิ่งๆๆๆๆ...สุดท้ายวิ่งไปตกเขาตายค่ะ อ้าว...เรื่องจริงนะคะ ไม่ได้โม้นะ


เราใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงที่ที่สามารถเห็น Machu Picchu จากด้านบน...พร้อมๆกับที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น


ประทับใจมากค่ะ ทุกคนในกรุ๊ปยิ้มแฉ่งกันเป็นแถว นั่งดื่มด่ำอยู่ตรงนั้นตั้งนาน


และแล้วก็ได้รู้ด้วยตัวเองว่าที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินจนขาแทบหลุด ผลที่ได้รับมันคุ้มค่าที่สุดเลยค่ะ




"We did it!"


จบ trip นี้โดยได้ certificate มาใบนึง เค้าเขียนไว้ว่า...


We have survived "Dead Woman's Pass" 13,776 feet above sea level...


and successfully completed the 49 KM. in 4 day Inca trail trek to Machu Picchu in one piece!








 

Create Date : 21 ตุลาคม 2551
14 comments
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 11:54:30 น.
Counter : 1975 Pageviews.

 

ขอปรบมือให้ดัง ๆ และนานนนนน ๆ แบบเหมือนตอนไปดูคอนเสิร์ทแล้วถูกใจมาก ๆ น่ะค่ะ

เก่งจังเลยนะคะ สามารถพิชิตมาชูพิชูได้ พี่เคยไปเหมือนกันค่ะ แต่ว่าเมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว ไม่มีปัญญาเดินขึ้นเขาหรอก แม้แต่จะคิดก็ไม่เคยค่ะ แต่ว่านั่งรถไฟแบบชาวบ้าน ๆ ไปน่ะค่ะ จำได้ว่าอากาศในรถไฟหนาวเย็นมาก ๆ เลย

พอขึ้นไปถึงยอดเขาต้องทานยาที่ซื้อเอาที่นั่นน่ะค่ะ แค่เคี้ยวใบโคคาเอาไม่อยู่

อ่านแล้วทำให้นึกถึงความหลัง ขอบคุณมาก ๆ ที่เอามาแบ่งปัน เล่าละเอียดดีจัง รูปก็แจ่มค่ะ

 

โดย: edelweiss 21 ตุลาคม 2551 1:47:40 น.  

 

เจ๋งมากค่ะ วันนึงล๊อปปี้ต้องไปให้ได้...ถ้าว่างช่วยกรุณาโพสต์ให้ที่บล็อกล๊อปปี้ได้มั๊ยคะ ว่ารวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไหร่ในทริปนี้ เอาตั้งกะออกจากบ้านเลยน๊า ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

 

โดย: loppy-poompuy 21 ตุลาคม 2551 3:10:22 น.  

 

สุดยอดเลยค่ะ
อยากไปบ้างจัง

 

โดย: jumwilly 21 ตุลาคม 2551 6:52:55 น.  

 

เห็นด้วยกับประโยคสุดท้ายที่ว่า
"ผลที่ได้รับมันคุ้มค่าที่สุดเลย"
ที่นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ผมอยากจะไปใหถึง ..ด้วย 2 เท้า
Yes, I will do it as you did

 

โดย: กุมภีน 21 ตุลาคม 2551 9:04:13 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

เจ๋ง นับถือคุณแน่มากๆ สุดยอดเลยค่ะ

 

โดย: อุ้มสี 21 ตุลาคม 2551 9:19:05 น.  

 

สุดยอดไปเลยครับ
นี่ก็เป็นอีกสถานที่นึงที่ผมอยากไปให้ได้ในชีวิตนี้

แต่เดินเท้าสี่วันเลยหรอ

คงต้องฟิตร่างกายเป็นเดือนก่อนไปล่ะมั้งนี่

 

โดย: jonykeano 21 ตุลาคม 2551 10:51:37 น.  

 

เกาะติดเป้มาเลยค่ะ
รูปสวยสุดยอด
คนเดินเก่งสุดยอด

 

โดย: tuk-tuk@korat 21 ตุลาคม 2551 13:04:34 น.  

 

แหม...อ่านที่ post กันเอาไว้ ทำเอาเขินเลยค่ะ
จริงๆแล้วไม่ได้เก่งกล้าสามารถอะไรนักหรอกนะคะ
ก็อย่างที่บอกไว้...ว่าเพื่อนเป็นคนเลือกที่จะเดิน
ค่ะ...เดินทั้ง 4 วัน (ไม่อยากบอกเลยว่าแทบรากเลือด)
วันแรกที่เดินก็ยังใจสู้อยู่...ฟิตร่างกายมาพอควร
แต่พอตกบ่าย...ชักไม่ไหวแล้ว
ทางมันชันขึ้นไปเรื่อยๆ...แบบที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ภาวนาอยู่ในใจว่าพอพ้นเนินข้างหน้านี้...มันคงเป็นทางลาดลงมั่งล่ะว้า
ที่ไหนได้...มันชันขึ้นไปแบบไม่เกรงใจฟ้าดินกันเลย

บ่ายแก่ๆก็ไปเลียบๆเคียงๆไกด์นำทาง
ว่าถ้าเดินไม่ไหวนี่...เห็นว่าจะมีเฮลิคอปเตอร์มารับใช่มั้ย?
เค้าบอก...มีซิ แต่ต้องกรณีฉุกเฉินเท่านั้น เช่น...ชักแด็กๆ กำลังจะหมดลมประมาณนั้น
เลยยื่นคำขาดว่า...ถ้าเดินไม่ได้ ไม่เดินแล้วโว้ย จะทำไง
เค้าบอก...เค้าจะให้ลูกหาบเอาเราขึ้นหลัง แล้วเปลี่ยนกันแบกไปจนถึงให้ได้
เฮ้อ...ขืนเป็นงั้น อายชาวประชาตายเลยนะคะ

สุดท้ายก็ต้องเดินอย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ
มีบ้างเป็นบางขณะ(ค่อนข้างบ่อย)ที่ก่นด่าเพื่อนว่า...ลากกันมาลำบากแท้ๆ
พร้อมทั้งก่นด่าตัวเองว่า...โง้ โง่ อยู่บ้านดีๆไม่ชอบ ชอบมาเดิน เดิน เดิน
หลากหลายอารมณ์มากๆค่ะ บอกไม่ถูก

ตอนนี้ถ้าให้ไปอีก...คงต้องคิดหนัก สังขารไม่อำนวยเสียแล้ว
แต่ถ้าใครมีโอกาศก็อยากให้ไปนะคะ
ระหว่างที่เดินๆๆๆๆอยู่ คุณจะพบอะไรที่ไม่คาดคิดมาก่อนเลย
โดยเฉพาะคูณ(อาจ)จะพบว่าตัวเองมาเดินอยู่ตรงนี้ ด้วยเหตุผลอะไร เพื่ออะไร หรือเพื่อใคร

 

โดย: Animas (Animas ) 21 ตุลาคม 2551 14:45:25 น.  

 

สุดยอด เก่งจังเลยค่ะ
แค่ขี่ม้า + เดินขึ้นเขาวัดทักซังที่ภูฎาน ก็กระอักแล้วค่ะ
โอ้โฮนี่ตั้ง 4 วัน

 

โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) 21 ตุลาคม 2551 15:46:00 น.  

 

โอ้ว สุดยอดค่ะ อยากไปเที่ยวแบบนี้บ้างจังเลย สรุปว่าเดินทั้งหมดกี่วันคะเนี่ย ระยะทางเท่าไหร่ แล้วทางเดินอันตรายมั้ยคะ

 

โดย: Yai Kaew 21 ตุลาคม 2551 22:09:00 น.  

 

 

โดย: podclassic 22 ตุลาคม 2551 13:04:30 น.  

 

โอว้ ชาตินี้ต้องไปให้ได้เลยที่นี่น่ะ


แต่ต้องเก็บตังค์(อย่างมหาศาล)ก่อน


อิจฉาๆ

 

โดย: อาราอิ (อาราอิ ) 22 ตุลาคม 2551 15:46:22 น.  

 

เข้ามาอ่านเพราะอยากไปมากๆ ครั้งนึงในชีวิต ต้องไปให้ได้ค่ะ (เเต่ขอไปทางรถไฟน้า)

ปรบมือให้ดังๆเลยค่ะ 4 วัน อึดมากๆ

 

โดย: ellie@aggie 22 ตุลาคม 2551 16:07:56 น.  

 

ว้าวๆๆๆๆ Machu Pichu สวยมากค่ะ เป็นอีกที่นึงที่อยากไปมากๆ
ว่าแต่เดินขึ้นไปด้วยสุดยอดๆๆๆค่ะสุดยอด สาวไทยพิชิตยอดเขา Machu Pichu เจ๋งไปเลยค่ะ แค่เดินขึ้นภูกระดึงก็แทบแย่แล้วอ่ะค่ะ อยากลองแบบนี้บ้างจังแต่ไม่รู้จะรอดรึเปล่าน๊า
รูปแต่ละรูปสุดยอดเลยค่ะ

 

โดย: แมวขี้อ้อน 12 พฤศจิกายน 2551 18:56:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.