สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป
จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค ๑ - ตอนที่ ๔๘
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑ / ปรับปรุงแก้ไข :
๔๘-๑
“ทูลเสด็จแม่ จากพระจริยวัตรของอดีตหวงตี้ที่ทรงปฏิบัติต่อผู้อื่นและตนเองนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะทรงปลดหลิวเช่อออกจากราชบัลลังก์แบบนี้นะเพคะ” ไท่โห้วโต้วทรงกริ้วขึ้นมาทันทีทันใด ทรงตวาดเสียงใส่หวงโห้วหวัง “พอ..ไม่ต้องพูดแล้ว พระพินัยกรรมฉบับนี้ เป็นสิ่งที่หวงตี้ทรงทำไว้ก่อนจะสิ้นพระชนม์ ทรงมอบให้กับแม่ด้วยมือของพระองค์เอง เจ้าคิดว่ามันเป็นของปลอมอย่างนั้นหรือ” “หม่อมฉันไม่บังอาจคิดเช่นนั้นหรอก เพคะ” ไท่โห้วโต้วทรงเห็นอาการที่สงบนิ่งของหวงโห้วหวังแล้วก็ค่อยๆสงบพระอารมณ์ ทรงปลอบหวงโห้วหวังว่า “ฅนตายไปแล้วไม่อาจฟื้น ถึงเจ้าจะดิ้นรนต่อสู้ให้กับลูกเช่อไม่ว่าจะสักกี่ครั้ง เค้าก็ไม่อาจฟื้นขึ้นมาเป็นหวงตี้ได้อีกแล้ว” “บางทีสวรรค์ท่านอาจประทานโชคชะตาให้หม่อมฉันได้เป็นหวงโห้วเท่านั้น แต่ไม่ได้ประทานวาสนาในการเป็นไท่โห้วให้กับหม่อมฉันก็เป็นได้ หม่อมฉันไม่กล้าที่จะฝันไปไกลเกินเอื้อม แต่ว่า..ที่หม่อมฉันต้องดิ้นรนก็เพื่อชื่อเสียง(名誉)ของบุตรชาย หม่อมฉันจะพยายามจนถึงที่สุด ในฐานะที่หม่อมฉันเป็นแม่ของเค้า หม่อมฉันไม่อาจที่จะทนดูเค้าตายไปเฉยๆ แถมเค้ายังจะต้องแบกรับคำครหาว่าเป็นไท่จื่อที่ถูกถอดจากตำแหน่ง” ไท่โห้วโต้วสดับฟังแล้วก็ทรงถอนพระทัย ทรงปลอบหวงโห้วหวังว่า “ไม่มีใครกล้าที่จะพูดเช่นนั้นหรอก นี่แม่ก็กำลังพยายามต่อสู้เพื่อให้เค้าได้ใช้พระราชพิธีฝังพระศพของหวงตี้อยู่” จากนั้นก็ทรงหันไปต่อว่าทุกคน “พวกท่านเป็นอะไรกันไปหมด ทุกคนต่างเชื่อมั่น ต่างคิดว่าเหตุผลของตนเองถูก(理直气壮) แล้วเราไม่มีเหตุผลหรืออย่างไร ยายแก่คนหนึ่ง ลูกชายตาย หลานชายก็ยังมาตายอีก สวรรค์ลงโทษ(惩罚)เราแค่นี้ยังไม่พอ ต้องให้พวกเจ้ามาลงโทษเราอีกด้วยอย่างนั้นใช่ไหม” ตรัสเสร็จไท่โห้วโต้วก็ทรงกรรแสง หวงโห้วหวังเข้ามาปลอบ “เสด็จแม่ อย่างทรงกรรแสงไปเลย เพคะ” ก่วนเถากงจู่เห็นแล้วรู้สึกใจไม่ดีกระซิบบอกหลานสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆด้วยกัน “ผิงหยาง อะ..อารู้สึกกลัวขึ้นมายังไงไม่รู้สิ” “คงไม่มีอะไรหรอก เสด็จอา” ผิงหยางกงจู่ปลอบ “เราก็แค่คิดอยากจะจัดพิธีที่ยิ่งใหญ่ให้กับลูกชายและหลานชายของเราเป็นครั้งสุดท้าย ให้พวกเค้าสองพ่อลูกได้กลับคืนสู่ดินแดนแห่งความเป็นอมตะ ไปเป็นเซียนเป็นเทพ ในเมื่อราชสำนักนี้เราจัดการไม่ได้ ยุ่งไม่ได้ เราก็จะไม่ยุ่งอีกแล้ว แค่พิธีที่ยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายนี้ พวกเจ้าก็ไม่ยอมให้เราทำ นี่คงอยากจะให้เราตามสองพ่อลูกไปให้พ้นๆกันเต็มแก่แล้วสินะ” อ๋องเหลียงรีบทูลปลอบ “เสด็จแม่ ทรงพระทัยเย็นเอาไว้ พิธีศพของหวงตี้กับหลิวเช่อจะต้องเรียบร้อยอย่างแน่นอน พระเจ้าค่ะ” “ส่วนใครที่บังอาจฉกฉวยใช้โอกาสนี้มาก่อความวุ่นวายขึ้นในพระราชพิธีจะถือว่าเป็นกบฎ ถือเป็นการหมิ่นพระเกียรติ(大不敬) กองทหารรักษาวังหลวงก็พร้อมจะเข้ามาจัดการตลอดเวลา” โต้วอิงพูดเป็นเชิงข่มขู่กลายๆ “เริ่มพิธีเถอะ” ไท่โห้วโต้วมีรับสั่งกับอ๋องเหลียง “ขอให้ท่านทั้งหลาย แสดงการไว้อาลัยให้กับอดีตหวงตี้และอดีตไท่จื่อ เริ่มพิธีได้” เมื่ออ๋องเหลียงตรัสจบ ทุกคนในที่นั้นก็คุกเข่าลงแสดงการไว้อาลัย “เสด็จพี่ ลูกเช่อ..” หวงโห้วหวังเสด็จไปที่โลงพระศพแล้วร้องไห้คร่ำครวญ ทันใดนั้นก็มีทหารห้านายกรูกันเข้ามา โต้วอิงตกใจรีบเข้าไปยืนขวาง แล้วออกปากไล่ “พวกเจ้าเป็นทหารรักษาวังหลวงเข้ามาในนี้ทำไมกัน ออกไปๆ” ทหารนายหนึ่งถอดหมวกออกแล้วตรงปรี่เข้าไปหาหวงโห้วหวัง คนอื่นในที่นั้นต่างตกตะลึงไปตามๆกัน “เสด็จแม่” ไท่จื่อสวมกอดมารดาด้วยความคิดถึง “ลูกแม่ เจ้าคือลูกเช่อของแม่จริงๆใช่ไหม” ไท่จื่อคลายจากกอดแล้วหันมาประกาศต่อหน้าทุกคน “เสด็จอา เสด็จลุง ทุกท่าน อีกทั้งขุนนางทุกฝ่าย รวมทั้งเสด็จย่า เสด็จอา(ก่วนเถากงจู่) เสด็จพี่(ผิงหยางกงจู่) ขอพวกท่านได้โปรดให้อภัยแก่ข้าด้วย ที่ข้ามาส่งพระศพของเสด็จพ่อช้าเกินไป..” ไท่จื่อคุกเข่าลงร่ำไห้ต่อหน้าโลงพระศพ “เสด็จพ่อ ลูกอกตัญญูของท่านกลับมาแล้ว” อ๋องเหลียงรีบส่งสัญญาณบางอย่างให้กับโต้วอิง
๔๘-๒
โต้วอิงรีบหลบออกไปที่หน้าประตูแล้วร้องเรียกทหารรักษาวังหลวงให้เข้ามาในท้องพระโรง แต่เหล่าทหารรักษาวังหลวงต่างยืนประจำจุดรักษาการณ์อยู่อย่างนิ่งเฉย “พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือไง ข้าบอกให้พวกเจ้าเข้ามาไง” โต้วอิงชักโมโหที่ทุกคนยังยืนเฉย จึงตรงเข้าไปลากพลทหารคนหนึ่งออกมาจากแถว “ข้าสั่งพวกเจ้าให้เข้าไปไง” จากนั้นก็ถีบส่งจนล้มคว่ำ แต่พลทหารคนนั้นกลับรีบลุกขึ้นมาแล้วยืนนิ่งเฉย “บ๊ะ..ไอ้นี่ วอนซะแล้ว ข้าเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของพวกเจ้า เจ้าอยากจะตายหรือไง” พลทหารผู้นั้นก็ยังยืนนิ่งเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งแต่อย่างใด โต้วอิงหงุดหงิด รีบลงบันไดพระราชฐานมุ่งหน้าหมายจะไปเฉ่งผู้บังคับบัญชาแต่ละหน่วยที่ต่างยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ “นี่..พวกเจ้าได้ให้สัตย์สาบาน(盟誓)ไว้ว่าอย่างไร แล้วทหารของพวกเจ้าเป็นอะไรกันไปหมด ขัดขืนคำสั่ง สั่งอะไรไปก็ไม่ทำ พวกเจ้าไม่ได้กรีดเลือดสาบานใช่ไหม” “พวกเราก็กรีดเลือดสาบานกันแล้วนี่” นายพลคนหนึ่งตอบ “แล้วรักษาคำสาบานหรือเปล่าล่ะ” “รักษาสิ” นายพลคนเดิมตอบ “งั้นก็ตามข้าเข้าไปในตำหนักเดี๋ยวนี้ ไปอารักขาหวงตี้” “กำหนดผู้ที่ขึ้นเป็นหวงตี้องค์ใหม่แน่นอนแล้วหรือ” “แน่นอนแล้วสิ ผู้ที่ขึ้นเป็นหวงตี้ก็คืออ๋องเหลียง” “นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ไท่จื่อจะเสด็จกลับวังหลวง แต่ตอนนี้คงไม่ใช่แล้วกระมัง” “ถึงไท่จื่อจะกลับมา ผู้ที่ขึ้นเป็นหวงตี้ก็ยังเป็นอ๋องเหลียงอยู่ดี” “คงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องกระมัง ตอนแรกท่านกดดันพวกเราให้กล่าวคำสัตย์สาบานว่า ใครที่ขึ้นเป็นหวงตี้ พวกเราจะต้องภักดีต่อคนๆนั้น ข้าเห็นว่าไว้รอให้มีการประกาศแต่งตั้งหวงตี้ที่ชัดเจนลงมาก่อนแล้วค่อยมาตกลงกันอีกทีดีกว่า”
๔๘-๓
“ในเมื่อไท่จื่อปลอดภัย เราก็สบายใจเป็นที่สุด นี่ล้วนเป็นเพราะพระบารมีของอดีตหวงตี้” ไท่โห้วโต้วตรัสต่อหน้าทุกคนแล้วหันไปทางหลานชาย “ลูกเช่อ เจ้าคงเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” “ไท่จื่อตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วก็ควรจะขึ้นครองบัลลังก์ได้แล้วสิเพคะ” ผิงหยางกงจู่รีบทูลไท่โห้วโต้ว “เรื่องกระบวนการสืบราชบังลังก์ เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะออกความเห็น” ไท่โห้วโต้วทรงดุหลานสาวทันที หวงโห้วหวังจึงทูลถามขึ้นว่า “แล้วหม่อมฉัน ผู้ที่เป็นภรรยาของอดีตหวงตี้ เป็นแม่แท้ๆของไท่จื่อ หม่อมฉันมีสิทธิ์ที่จะพูดไหม เพคะ” “เป็นสิทธิ์ความรับผิดชอบโดยตรงของพระองค์ พระเจ้าค่ะ” ซือหม่าถานกราบทูลขึ้น หวงโห้วหวังจึงตรัสกับเหล่าขุนนางขึ้นว่า “หลายปีก่อนเมื่อครั้งที่ทรงแต่งตั้งหลิวเช่อขึ้นดำรงตำแหน่งไท่จื่อ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่(王公大臣)เกือบจะทุกท่าน(十有八九)ก็ได้เข้าร่วมเป็นประจักษ์พยาน และเมื่อสักครู่นี้ไท่โห้วได้ทรงตรัสเอาไว้ว่า ไท่จื่อไม่ได้ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง ดังนั้นการให้หลิวเช่อได้ขึ้นครองราชย์ก็เป็นเรื่องที่สมควร(理所当然)แล้ว” ไท่โห้วโต้วทรงแย้งขึ้นทันที “การแต่งตั้งรัชทายาท(储君)ของราชวงศ์ฮั่นที่ผ่านมา มีทั้งแต่งตั้งคนอายุมาก(长) คนอายุน้อย(幼) และพระญาติใกล้ชิด(嫡) แต่ว่าครั้งนี้ควรจะแต่งตั้งบุคคลที่มีความสามารถ(贤) พระพินัยกรรมของอดีตหวงตี้ก็อยู่ตรงนี้ เขียนระบุไว้อย่างชัดเจน จะไม่ทำตามพระประสงค์อย่างนั้นน่ะหรือ...” ทรงทอดเสียงลงก่อนจะตรัสต่ออีกว่า “นี่ขนาดเพิ่งจะทรงสิ้นพระชนม์ได้ไม่นาน(尸骨未寒)เองนะ” “พระพินัยกรรมอะไร ขอหลานดูหน่อยได้ไหม” ไท่จื่อเอ่ยถาม ซือหม่าถานนำพระพินัยกรรมมายื่นให้ ไท่จื่อรับมาเปิดอ่านดูสักครู่แล้วก็ฟันธงลงทันทีว่า “พระพินัยกรรมฉบับนี้เป็นของปลอมนี่” “จางทัง” ไท่จื่อเรียกพร้อมกับโยนพระพินัยกรรมไปให้จางทังตรวจสอบ จางทังคลี่พระพินัยกรรมออกดูแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “จะว่าเหมือนก็ไม่เหมือน แต่ก็ดูคล้ายทีเดียว ถึงแม้ว่าจะเลียนแบบจนดูเหมือนลายพระหัตถ์(御笔)ของหวงตี้ แต่ก็ยากที่จะเลียนแบบน้ำหนักในการจรดปลายพู่กันได้ พวกท่านลองดูสิ” พูดจบจางทังก็กางพระพินัยกรรมให้เหล่าขุนนาง และเชื้อพระวงศ์ดู เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มดังขึ้นจนอ๋องเหลียงต้องรีบแย้ง “จะเป็นของปลอมไปได้อย่างไร” ซือหม่าถานรีบทูลขึ้นทันที “ที่กองประวัติศาสตร์(太史府)ส่วนใหญ่จะมีเก็บรักษาลายพระหัตถ์ของอดีตหวงตี้เอาไว้ หากต้องการจะแยกแยะความแตกต่างว่าจริงหรือปลอมก็คงต้องเทียบอักษรกันตัวต่อตัว” “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำมันซะเลยสิ” อ๋องหวยหนานเห็นด้วย “ท่านไท่สื่อลิ่ง..ท่านรีบไปนำมันมาตรวจสอบโดยไวเลย” “ไม่จำเป็นต้องไปเอามันมาหรอก” ไท่โห้วโต้วตรัสขึ้น “เดิมทีพระพินัยกรรมฉบับนี้ก็ไม่ได้เขียนด้วยลายพระหัตถ์ของอดีตหวงตี้อยู่แล้ว ทรงให้คนอื่นเขียนตามคำที่ทรงตรัส(口述)” “เสด็จแม่ แล้วใครเป็นคนเขียนกันล่ะเพคะ” หวงโห้วหวังทูลถาม “อ๋องเหลียง” ไท่โห้วโต้วโยนลูกไปให้บุตรชาย “เจ้าเป็นคนเขียนใช่ไหม” “ใช่ หม่อมฉันเป็นคนเขียนเอง แต่ว่า..ทุกตัวอักษรในพระพินัยกรรมนั้น ล้วนเป็นคำที่ทรงตรัสออกมาด้วยตัวเองทั้งสิ้น” “เสด็จอา ที่ท่านพูดมานั้น เป็นความจริงหรือเปล่า” ไท่จื่อถามเพื่อที่จะจับผิด “เป็นความจริงอย่างแน่นอน” อ๋องเหลียงยืนยัน “ในเมื่อเสด็จอายืนยันอย่างหนักแน่น(一口咬定)เช่นนี้ หลานก็คงจะต้องเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย(深信不疑) หลานเลือกที่จะเชื่อมากกว่าที่จะไม่เชื่อไม่ได้ แต่ว่าตัวหลานเองในที่นี้ก็มีพระพินัยกรรมอยู่ด้วยเหมือนกัน อยากให้เสด็จอาช่วยคลายความสงสัยให้กับหลานด้วย” ไท่จื่อพูดจบก็หยิบพระพินัยกรรมออกมา อ๋องเหลียงเอื้อมมือหมายจะหยิบมาดู แต่ก็ถูกไท่จื่อเบี่ยงพระพินัยกรรมหลบไปทางซือหม่าถานเสียก่อน พร้อมกับบอกว่า “การอ่านประกาศพระพินัยกรรมดูเหมือนจะเป็นหน้าที่โดยตรงของไท่สื่อลิ่ง” “ท่านซือหม่าถาน รบกวนท่านหน่อยนะ” ไท่จื่อยื่นพระพินัยกรรมให้ซือหม่าถาน ซือหม่าถานรับพระพินัยกรรมมาแล้วก็เปิดออกอ่านให้ได้ยินกันทุกคนว่า “เรารู้ตัวเองดีว่าเราปกครองแผ่นดินต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงขอมอบราชบังลังก์ให้กับไท่จื่อหลิวเช่อ” อ๋องเหลียงรีบแย้งขึ้น “พระพินัยกรรมที่อยู่กับเค้าเป็นของปลอม ที่อยู่กับเราต่างหากที่เป็นของจริง” “อันไหนจริง อันไหนปลอม แค่ส่งต่อให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทุกท่านร่วมกันอ่านเปรียบเทียบดู เดี๋ยวก็รู้” ไท่จื่อเสนอ ซือหม่าถานรีบรับไปดำเนินการให้ทันที ไท่โห้วโต้วรู้สึกสงสัยจึงเสด็จเข้าไปตรัสถามไท่จื่อใกล้ๆได้ยินกันแค่สองต่อสอง “เจ้าไปเอาพระพินัยกรรมนี่มาจากไหน” “จากเสด็จพ่อขณะที่ยังทรงมีลมหายใจเหลืออยู่น้อยนิด ท่านได้มอบให้กับคนๆหนึ่งด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง” “เป็นไปไม่ได้” ไท่โห้วโต้วไม่ทรงเชื่อ “ในช่วงเวลานั้น ไม่มีบุคคลที่สองอยู่ข้างกายเค้า” “แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีบุคคลที่สองอยู่ด้วยจริงๆ พระเจ้าค่ะ” ได้ยินแล้วไท่โห้วโต้วก็แทบจะประทับยืนไม่อยู่ “หลังจากที่คนๆนั้นได้พระพินัยกรรมแล้ว ก็ยังไม่ได้ออกจากที่นั่นในทันที แถมยังได้เห็นคนอีกคนหนึ่งหยิบพระพินัยกรรมที่ได้เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วออกมาบังคับให้เสด็จพ่อประทับตราพระราชลัญจกร(玺)อีกด้วย” “เป็นความจริงแน่เหรอ” ไท่โห้วโต้วลองหยั่งเชิงถาม “เค้าผู้นั้นเห็นมากับตาตนเอง พระเจ้าค่ะ” “เค้าคนนั้นเป็นใคร” “ขอได้ทรงโปรดให้อภัยที่ตอนนี้หม่อมฉันยังบอกเสด็จย่าไม่ได้” “แล้วคนอีกคนนั้นเป็นใคร” “คนที่ถือพระพินัยกรรมปลอมหรือ พระเจ้าคะ” “เห็นหน้าคนนั้นชัดเจนด้วยใช่ไหม” ไท่โห้วโต้วรู้สึกร้อนพระองค์ทันที “แต่ว่าเค้าผู้นั้นคงจะไม่เปิดปากพูดตลอดไป” “เจ้ารับรองเค้าได้เหรอ” “ก็เหมือนกับที่หม่อมฉันรับรองตนเอง พระเจ้าค่ะ” ไท่โห้วโต้วนิ่งสักครู่ “เห็นที ย่าคงต้องให้อ๋องเหลียงเป็นแพะรับบาป(牺牲)ใช่ไหม” “สำหรับเสด็จอานั้น หม่อมฉันจะไม่เอาความ” “แล้วคนสกุลโต้วล่ะ” “คนในครอบครัวเดียวกัน จะหักกระดูกก็เจ็บถึงเนื้อเปล่าๆ พระเจ้าค่ะ” ได้ยินแล้วไท่โห้วโต้วก็ทรงถอนพระทัย ทำพระทัยอยู่นานก่อนจะตัดสินพระทัยตรัสเรียกบุตรชายสุดที่รัก “อ๋องเหลียง” “เราอยู่นี่” อ๋องเหลียงขานรับอย่างลืมตัวคิดว่าตนเองเป็นหวงตี้อยู่ เมื่อนึกขึ้นได้จึงเปลี่ยนคำขานรับใหม่ “หม่อมฉัน อยู่นี่ พระเจ้าค่ะ” “เจ้ารู้ความผิดที่เจ้าก่อไหม” “เสด็จแม่..” อ๋องเหลียงงงที่จู่ๆไท่โห้วโต้วก็เสียงดังใส่ “อีกนิดเดียว แม่ก็โดนเจ้าหลอกไปแล้ว” “เสด็จแม่..” “เจ้าคิดปิดฟ้าข้ามทะเล(瞒天过海) ขโมยวันเปลี่ยนดวงอาทิตย์(偷天换日) หมายปองของสูง(窥视九鼎) วางอุบายแย่งชิงบัลลังก์(谋夺大位) เจ้าในครั้งนี้กับอ๋องทั้งเจ็ดที่คิดก่อกบฎในครั้งนั้นไม่ต่างกันจริงๆ” อ๋องเหลียงตกใจรีบคุกเข่าลงคำนับ “เสด็จแม่ ยกโทษไว้ชีวิตให้ลูกด้วย เสด็จแม่” “เจ้าไปขอร้องหวงตี้โน่น” ไท่โห้วโต้วโบ้ย “หวงตี้?” อ๋องเหลียงงง อ๋องหวยหนานกระซิบกับบุตรสาว “ดูเหมือนว่า สถานะการณ์ทั้งหมดจะตกลงกันได้แล้ว” ไท่โห้วโต้วจับมือหลานชายแล้วพาเดินไปประกาศต่อหน้าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ “พระพินัยกรรมของหวงตี้ถือเป็นที่สุด ให้ไท่จื่อหลิวเช่อขึ้นครองราชย์เป็นหวงตี้ ณ บัดนี้” สิ้นเสียงตรัสของไท่โห้วโต้ว เสียงเฮลั่นด้วยความดีใจของกัวเส่อเหริน หลี่หลิง ก้วนฟู และจางทังก็ดังขึ้น ผิงหยางกงจู่รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมากที่น้องชายของตนเองได้ขึ้นครองบัลลังก์เสียที เสียงถวายพระพรให้กับหวงตี้องค์ใหม่ของเหล่าขุนนางก็ดังขึ้นไม่ขาดระยะ “ขอทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นๆปี...”
-- จบบทที่ ๑ --
|
แปลได้สนุกมากคับ ได้อารมณ์ดี
แ้ล้วผมจะตามติดและติดตามอ่านต่อไปคับ