สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป
ตีพิมพ์ครั้งแรก : ๑๕ เมษายน ๒๕๕๑ / ปรับปรุงแก้ไข : ผู้แปล : เจี่ยงตงจื้อ
จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค ๓ - ตอนที่ ๑๔
๓-๑๔-๑
“กราบทูลพระชนนี” เมื่อเห็นหลิวซี่จวินพูดยังไม่ถูกต้อง ชิวฉานจึงบอกให้นางลองพูดใหม่อีกรอบ “กราบทูลพระชนนี” หลิวซี่จวินก็ยังพูดผิดเหมือนเดิม ชิวฉานจึงพูดให้ฟังเป็นตัวอย่าง “หม่อมฉันกราบทูลพระชนนี เพคะ” หลิวซี่จวินพูดตามอีกครั้ง “ม่อมชั้นกราบทูลพระชนนี เพคะ” ชิวฉานชักระอา “หม่อมฉัน สองคำนี้ ออกเสียงไม่ต้องเพี้ยนมากนัก” “บ่าวจะจำไว้ค่ะ” “หากคิดว่าเป็นการบังคับเจ้ามากเกินไป ก็ไม่ต้องไป” “บ่าวไม่ได้ถูกบังคับค่ะ บ่าวเต็มใจไปค่ะ” “เจ้าอยากไปจริงแน่นะ” ชิวฉานถามย้ำ “จริงค่ะ” “ในวังหลวงจะทำอะไรตามอำเภอใจเหมือนกับอยู่ที่นี่ไม่ได้ จะหยิบจับเดินเหิรอะไรต้องเป็นระบบระเบียบแบบแผน เมื่อเจ้านายไม่ได้ถาม เจ้าต้องสงบปากสงบคำไว้ไม่ต้องพูดไม่ต้องสอด” “บ่าวจะจำไว้ค่ะ” “เจ้าอาจไม่ชอบที่นี่ที่ดูเงียบๆไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้น หรือไม่ก็พยายามสร้างจุดเด่น” หลิวซี่จวินสะดุ้ง “ไม่ใช่นะค่ะ ถ้าหากว่าฟูเหรินยอมถอนคำพูดที่ให้ไว้ หลิงจือก็จะไม่ไปค่ะ” “เจ้าไปก็ดีแล้วล่ะ แต่ว่าเจ้าต้องจำไว้ว่า ไม่ว่าใครถามเจ้า เจ้าจะต้องบอกว่าเจ้าโตมาเหมือนแม่ ไม่เหมือนพ่อแม้แต่นิดเดียว” “บ่าวจะจำไว้ค่ะ”
๓-๑๔-๒
ณ พระตำหนักหย่งหมิง(永明殿) สถานที่สำหรับออกว่าราชกิจ ฮั่นอู่ตี้กำลังโน้มน้าวเหล่าขุนนางที่ยืนเรียงรายอยู่เบื้องหน้าให้เห็นด้วยในเรื่องที่จะยกกองกำลังทหารเข้าตีซีหนาน(西南 ดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้) “ครึ่งหนึ่งของซีหนาน(西南)ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของสองจักรพรรดิ์ในสมัยโบราณกาล เหยียนตี้(炎帝)กับหวงตี้(黄帝) แต่นับตั้งแต่ที่ราชวงศ์ฮั่นปกครองมาแล้วหลายปี ก็ดูเหมือนจะยิ่งไกลเกินกว่าที่จะควบคุมเอาไว้ได้(鞭长莫及) เราไม่ต้องการจะปล่อยให้สถานะการณ์เช่นนี้ดำเนินอีกต่อไป ตั้งแต่ที่อีจื้อเสีย(伊稚邪)หนีถอยเข้าไปในดินแดนทะเลทรายตอนเหนือ กองทัพจำนวนนับแสนของเราต่างเกียจคร้านว่างงานไม่มีอะไรจะทำ เรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไรดี อย่าบอกนะว่าจะให้ปลดอาวุธ(刀枪入库)ปลดประจำการ(马放南山)พวกเค้า เราต้องการให้เป็นสถานที่ที่พวกเค้าจะได้แสดงความสามารถ(用武之地) ให้โอกาสพวกเค้าในการสร้างคุณงามความดีต่อประเทศ” ต้าซือหนง(大司农 ผู้มีหน้าที่จัดหาเสบียงสำหรับกองทัพ)ซึ่งยืนอยู่ในแถวได้ทูลขึ้นเสียงดังว่า “ข้าพระองค์มีเรื่องขอกราบทูล พระเจ้าค่ะ” ฮั่นอู่ตี้มีรับสั่งให้ต้าซือหนงออกจากแถว ต้าซือหนงเดินออกจากแถวมายืนอยู่หน้าเบื้องพระพักตร์ของฮั่นอู่ตี้ แล้วกราบทูล “ข้าพระองค์ขอทูลปรึกษา ทรงต้องการทำศึกกับซีหนานใช่หรือไม่ พระเจ้าคะ” “ในที่สุดก็มีคนฟังเข้าใจเรื่องที่เราพูด” “ข้าพระองค์ขอบังอาจทูลขอร้องให้ฝ่าพระบาททรงใคร่ครวญไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ก่อนแล้วค่อยลงมือ(三思而后行) พระเจ้าค่ะ” “เจ้าคิดจะพูดอะไร” “ทูลฝ่าพระบาท กองทัพจะทำศึกได้เสบียงก็ควรจะต้องเตรียมให้พร้อมก่อน(兵马未动 粮草先行) ส่วนจะเคลื่อนทัพเข้าโจมตีหรือไม่นั้นไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของข้าพระองค์ การเตรียมเสบียงนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพันธะหน้าที่(责无旁贷)ของข้าพระองค์ หลายปีที่ผ่านมาที่ทรงส่งกำลังทหารไปที่อีจื้อเสียนั้น ทำให้ใช้เสบียงที่เก็บสะสมไว้ในคลังหลวง(国库)หมดเกลี้ยงลง คำนวณดูแล้วก็เท่ากับทหารจำนวนหนึ่งแสนแปดหมื่นนายที่ไปทำศึกอยู่ที่ดินแดนของฉานอี๋ว์ซึ่งถือได้ว่าเพียงพออย่างเต็มที่แล้ว หากจะทรงเปิดศึกที่ซีหนาน(西南)อีก เห็นทีเสบียงในคลังหลวงคงจะไม่มีเหลือให้ใช้อีกแล้ว พระเจ้าค่ะ” “ถึงแม้จะไม่ทำศึก พวกนายทหารและพลทหาร(将士)ของเราก็ไม่ต้องกินต้องใช้หรือยังไง” “หากทรงเลื่อนการทำศึกออกไป นายทหารและพลทหารก็จะว่างเว้นจากศึกสงครามสามารถกลับไปทำไร่ทำนา บุรุษผู้มีความแข็งแรงเหล่านี้ ดาบของพวกเค้าก็จะใช้เป็นเครื่องมือสำหรับเพาะปลูกบนที่นาของเค้าเอง สักปีสองปีก็ไม่ต้องหวั่นวิตกกับยุ้งฉางที่อุดมไปด้วยข้าวแล้ว พระเจ้าค่ะ” “เจ้าดีดลูกคิดคำนวณไว้ซะดิบดีอย่างนี้ แล้วคนอื่นๆล่ะว่าไง” “พวกข้าพระองค์เห็นด้วยกับต้าซือหนง พระเจ้าค่ะ” เสียงของเหล่าขุนนางแทบจะทุกคนสนับสนุนคำพูดของต้าซือหนง ทำให้ฮั่นอู่ตี้รู้สึกไม่พอพระทัย รีบลุกจากที่ประทับเสด็จกลับตำหนักทันที
๓-๑๔-๓
ณ พระตำหนักซวนซื่อเก๋อ(宣室阁) ที่ประทับของฮั่นอู่ตี้ ฮั่นอู่ตี้เสด็จกลับตำหนักของตนเองอย่างไม่สบอารมณ์ ขันทีคนหนึ่งรีบยกน้ำชามาถวาย “ฝ่าพระบาท เสวยพระสุธารสก่อน พะย่ะค่ะ” “เราไม่ดื่ม” ฮั่นอู่ตี้ปัดถาดน้ำชาออกจากตัว “ไร้เหตุผลสิ้นดี ทำเอาเราท้อแท้ หมดกำลังใจเต็มที”
๓-๑๔-๔
ณ พระตำหนักกันเฉวียน(甘泉宫) ที่ประทับของพระนางเว่ยจื่อฟู หลิวซี่จวินเดินเข้าไปคุกเข่าถวายความเคารพอยู่เบื้องพระพักตร์ของเว่ยจื่อฟู “หม่อมฉัน หลิงจือ คารวะพระชนนี ขอทรงพระเจริญพันปี พันๆปี เพคะ” เว่ยจื่อฟูหันมาตรัสกับชิวฉานที่นั่งอยู่ข้างๆ “ชิวฉาน เราแค่พูดล้อเล่นเท่านั้น เจ้าคิดจะนำนางมามอบให้กับเราจริงๆนะหรือ” “พระชนนี้ยังไม่ได้รับสั่งให้นางลุกขึ้นยืนเลย เพคะ” “เจ้าลุกขึ้นได้” “ขอบพระทัย เพคะ” หลิวซี่จวินลุกขึ้นยืน ชิวฉานกราบทูลต่อไปอีกว่า “มักมีคำกล่าวกล่าวไว้ว่า กษัตริย์ตรัสคำไหนคำนั้น(君无戏言) คำพูดของพระชนนีจึงเป็นคำตรัสที่มีน้ำหนัก(一言九鼎)กระทบพื้นก็ยังมีเสียงสะท้อน ถึงแม้ว่าหม่อมฉันจะเสียดาย ก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าการนำนางไปขัดสีฉวีวรรณให้ดูสดชื่นขึ้นแล้วนำตัวมาที่นี่ เพคะ” “เสด็จแม่ ทอดเนตรสิเพคะ นางยืนตรงนั้นแล้วทำเอาเหล่านางกำนัลทั้งหลายดูหมองลงถนัดตาเลยเพคะ” เว่ยจางกงจู่ที่ประทับอยู่ด้วยตรัสกับมารดา “หลิงจือ เจ้าเข้ามาให้กงจู่เห็นหน้าเจ้าชัดๆหน่อยสิ” ชิวฉานบอกหลิวซี่จวิน “ค่ะ” หลิวซี่จวินเดินเข้าไปใกล้ๆ “หม่อมฉัน หลิงจือคารวะกงจู่ เพคะ” “ลูกแม่ เจ้าพานางไปเดินชมรอบๆตำหนักไป แล้วจัดการทุกอย่างให้แก่นางด้วย” “แต่ลูกอยากอยู่คุยกับหู้กว๋อฟูเหรินนี่เพคะ” ชิวฉานรีบบอกเว่ยจ่างกงจู่ “กงจู่ หม่อมฉันจะรอพระองค์อยู่ที่นี่เพคะ” “ท่านอย่าเพิ่งกลับไปก่อนล่ะ” “ทรงวางพระทัยเถิดเพคะ” “ไปกันเถอะ เราจะพาเจ้าไปดูสวนดอกไม้” เว่ยจ่างกงจู่รีบจูงมือหลิวซี่จวินเดินออกไปจากห้อง “แล้วเรื่องนั้นเป็นยังไงบ้างเพคะ” ชิวฉานทูลถามขึ้น “ไปๆมาๆดูท่าจะไม่ใช่เรื่องนั้นแล้วล่ะ ความคิดของหวงตี้ช่างลึกล้ำยากที่จะเข้าใจนัก แต่ก็ทรงคิดจะใช้จี้อันซื่อมาเป็นเครื่องมือในการสร้างพระราชอำนาจ” ชิวฉานได้ฟังแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ “ฝ่าพระบาททรงคิดจะทำอะไรของเค้ากันแน่นะ”
๓-๑๔-๕
ณ พระตำหนักของไท่จื่อ ไท่จื่อหลิวจี้ว์กำลังคุยปรึกษาอยู่กับจี้ฉินหู่และหลี่ฮั่น “ฝ่าพระบาทเสด็จแล้ว” เสียงร้องของขันทีทำให้ไท่จื่อต้องรีบบอกให้คนทั้งสองหลบไปก่อน “หม่อมฉันถวายบังคมเสด็จพ่อ ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี พระเจ้าค่ะ” ไท่จื่อหลิวจี้ว์รีบถวายความเคารพเมื่อฮั่นอู่ตี้เสด็จเข้ามา ฮั่นอู่ตี้ทอดพระเนตรไปรอบๆห้อง แล้วตรัสถาม “เจ้าอยู่คนเดียวหรือ” “เอ่อ..หม่อมฉันกำลังศึกษาตำราอยู่ พระเจ้าค่ะ” “แล้ว..ม้าสองตัวที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นของใครกันล่ะ” เมื่อโดนฮั่นอู่ตี้จับได้ว่าพูดปดไท่จื่อหลิวจี้ว์ก็รีบทูล “หม่อมฉันสมควรตาย โทษฐานที่โกหกเสด็จพ่อ พระเจ้าค่ะ” “ในเมื่อรู้ว่าโทษถึงประหาร ก็รีบเรียกผู้ร่วมขบวนการของเจ้าออกมาเสีย” หลี่ฮั่นกับจี้ฉินหู่ได้ยินแล้วก็รีบเดินออกมาจากที่ซ่อนตรงเข้ามาถวายความเคารพต่อฮั่นอู่ตี้ “ข้าพระองค์ หลี่ฮั่น” “ข้าพระองค์ จี้ฉินหู่” “ถวายบังคมฝ่าพระบาท พระเจ้าค่ะ” ทั้งสองเอ่ยพร้อมกับคุกเข่าลง “เอาล่ะๆ ลุกขึ้นเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับว่าราชกิจ เป็นตำหนักของไท่จื่อ ทำตัวเหมือนอยู่ที่บ้านก็พอแล้วล่ะ” “ข้าพระองค์ ไม่บังอาจ” “ไม่บังอาจอะไรกัน ไท่จื่อก็คือลูกชายของเรา พวกเจ้าก็คือคนรุ่นลูกรุ่นหลานของเรา ลุกขึ้นยืนก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ” เมื่อทั้งสองลุกขึ้นแล้วฮั่นอู่ตี้จึงตรัสต่อว่า “หลี่ฮั่น พ่อของเจ้าหลี่หลิงเมื่อก่อนชอบมาขลุกอยู่ที่ตำหนักนี้ทุกวัน ไม่ยอมจะกลับบ้าน” ตรัสเสร็จก็ทรงพระสรวล “เสด็จพ่อ เป็นเรื่องจริงหรือพระเจ้าคะ” “ในตอนนั้น พ่อยังดำรงตำแหน่งเป็นไท่จื่อ พวกเค้าทุกคนล้วนเป็นเพื่อนเรียนหนังสือมาด้วยกันกับพ่อ ที่ตรงนั้นเป็นที่ๆจางทังมักจะนั่งเป็นประจำ กัวเส่อเหรินก็ชอบที่จะนั่งตรงนี้ หลี่ฮั่น ที่ๆเจ้ายืนอยู่เป็นที่ๆพ่อของเจ้าในตอนนั้นใช้นั่งเรียนหนังสือ” “ฝ่าพระบาททรงมีความจำเป็นเลิศ พระเจ้าค่ะ” หลี่ฮั่นกล่าวชมฮั่นอู่ตี้ “ได้กลับมาในที่ๆคุ้นเคย(旧地重游)ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ(恍如昨日) ในตอนนั้นพวกเรายังหนุ่มยังแน่นทีเดียว” ไท่จื่อหลิวจี้ว์รีบทูล “ตอนนี้เสด็จพ่อก็ยังทรงกระฉับกระเฉงแข็งแรง(龙马精神) แม้อายุจะมากแต่ความสามารถก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย(宝刀不老) พระเจ้าค่ะ” “พวกเจ้าต่างโตเป็นผู้ใหญ่กันหมด แล้วพ่อจะไม่แก่ได้อย่างไรกัน เมื่อตะกี้นี้พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่” “พวกหม่อมฉันกำลังแลกเปลี่ยนความรู้กันพระเจ้าค่ะ” “แลกเปลี่ยนความรู้กันในเรื่องอะไรหรือ” “ซุนจื่อปิงฝ่า(孙子兵法 - กลยุทธ์การรบของซุนจื่อ 1)ทั้ง ๑๓ บท พระเจ้าค่ะ” “กลยุทธ์การรบไม่ใช่ว่าอยู่แต่ในห้องแล้วจะศึกษาเข้าใจหรอกนะ พวกเจ้าตามเรามา”
๓-๑๔-๖
ฮั่นอู่ตี้ทรงม้าขี่นำคนทั้งสามมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อทรงเห็นว่าทั้งสามคนขี่ม้าตามมากันช้าก็เลยหยุดม้ารอ “พวกเจ้าสามคนขี่ม้าวนไปวนมาทิ้งระยะห่างจากเราเสมอ มันเกิดอะไรขึ้น ที่อยู่ข้างหน้าโน่นก็คือสุสาน พวกเจ้าทั้งสามลองแข่งกันดูสิว่าใครจะไปถึงหลุมฝังศพฮั่วชี่ว์ปิ้งได้ก่อนกัน เร่งความเร็วกันให้เต็มที่ล่ะ” “น้อมรับพระบัญชา พระเจ้าค่ะ” รับคำเสร็จทั้งสามคนก็เร่งม้าขี่แข่งกันออกไป
๓-๑๔-๗
ที่หน้าหลุมฝังศพฮั่วชี่ว์ปิ้ง ฮั่นอู่ตี้ได้ตรัสถามขึ้นว่า “พวกเจ้าใครพอที่จะบอกเราได้บ้างว่า ทำไมหลุมศพนี้ถึงถูกปกคลุมในลักษณะเช่นนี้” “ลูกได้ยินมาว่า เป็นการเลียนแบบรูปลักษณ์ของสิ่งปกคลุมบนเขาฉีเหลียน(祁连山) พระเจ้าค่ะ” “ทั่วแผ่นดินมีเขาที่มีชื่อเสียงแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่(名山大川)ตั้งมากมาย ทำไมจะต้องเป็นรูปลักษณ์ของเขาฉีเหลียนล่ะ” จี้ฉินหู่ทูลตอบไปว่า “ดูเหมือนว่า ขุนพลชนะศึก(冠军侯)ก่อนตายได้ตีข้าศึกมาจนถึงเขาฉีเหลียน พระเจ้าค่ะ” หลี่ฮั่นช่วยเสริม “อีกทั้งยังได้บันทึกจารึกข้อความไว้บนก้อนหินที่นั่น พระเจ้าค่ะ” “ฮั่วชี่ว์ปิ้ง เจ้าได้ยินหรือเปล่า เด็กรุ่นหลังเหล่านี้ยังจดจำเจ้าได้ ขุนพลชนะศึก(冠军侯)มาเป็นทหารตั้งแต่อายุยังน้อย อายุสิบแปดปีก็ได้เป็นเพี้ยวฉีเจียงจวิน(骠骑将军) หลังจากมุ่งหน้าขับไล่ศัตรู ก็พิชิตข้าศึกได้อย่างมหัศจรรย์ สู้ได้แม้แต่ในดินแดนทะเลทราย เป็นครั้งเดียวที่นำธงของราชวงศ์ฮั่นไปปักไว้บนเขาฉีเหลียน ช่างน่าเสียดายนัก โลกนี้มีคนที่มีความสามารถ แต่สวรรค์กลับไม่ต่ออายุให้ ช่วงเวลาที่เค้าใช้ชีวิตจึงมีแค่ยี่สิบสี่ปีเท่านั้น วัยก็เท่าๆกับพวกเจ้าในตอนนี้ ความรักที่สวรรค์มีต่อเราจึงได้ส่งฮั่วชี่ว์ปิ้งมาให้เรา และความใจแคบที่สวรรค์มีต่อเราจึงได้ส่งฮั่วชี่ว์ปิ้งเพียงคนเดียวให้กับเรา ถ้าหากต่ออายุให้เค้าอีกสักยี่สิบสี่ปีแล้วล่ะก็แผ่นดินนี้ก็สงบไปตั้งนานแล้ว” หลี่ฮั่นรีบทูล “ฝ่าพระบาท แม้จะไม่มีขุนพลชนะศึก(冠军侯)แล้ว แต่ก็ยังมีคนรุ่นหลังอยู่อีก พระเจ้าคะ” “จะยังมีอีกหรือ เราได้รอมาด้วยความทุกข์ทรมานยาวนานถึงสิบแปดปีแล้ว” “ขอเพียงแค่ฝ่าพระบาททรงมีพระบรมราชโองการ ข้าพระองค์ยินดีที่จะนำกองทหารบุกเข้าโจมตีดินแดนทะเลทรายที่อยู่ตอนเหนือ สืบต่อภาระกิจที่ขุนพลชนะศึกยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ พระเจ้าค่ะ” หลี่ฮั่นเสนอตัว “แล้วถ้าไม่ใช่ดินแดนทะเลทรายทางตอนเหนือ แต่เป็นที่อื่นล่ะ” “ฝ่าพระบาทตั้งเป้าหมายไปที่ไหน ก็จะมีธงของแผ่นดินฮั่นไปปักถึงที่นั่น” “ยังมีข้าพระองค์ด้วยอีกคน พระเจ้าค่ะ” จี้ฉินหู่ขอร่วมด้วย “เสด็จพ่อ ได้โปรดให้โอกาสพวกเค้าด้วย พวกเค้าจะได้เป็นเหมือนอย่างฮั่วชี่ว์ปิ้ง ตัดหัวข้าศึกโบกธงผู้ชนะ” “พ่อให้โอกาสพวกเค้าแน่” ได้ยินแล้วจี้ฉินหู่ก็รีบขอบคุณ “ทรงพระเจริญ พระเจ้าค่ะ” “จี้ฉินหู่ เจ้าได้ไปเยี่ยมพ่อของเจ้าแล้วหรือยัง” “ข้าพระองค์ยังไม่ได้พบท่านพ่อเลย พระเจ้าค่ะ” “ความภักดีของขุนนางให้ดูที่ความกตัญญูต่อบุพการี(忠臣必于孝子之门) พ่อเจ้าอยู่ในคุก(囹圄)แต่เจ้ากลับไม่ไปเยี่ยม ช่างเป็นลูกที่อกตัญญูยิ่งนัก” ไท่จื่อหลิวจี้ว์รีบแก้ตัวแทนให้ “ไม่ใช่เค้าไม่ไปนะ เสด็จพ่อ ทางคุกหลวงไม่อนุญาตให้เค้าเข้าพบต่างหากล่ะ พระเจ้าค่ะ” ฮั่นอู่ตี้แปลกพระทัย “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ พ่อไม่เชื่อ” “ขอเสด็จพ่อทรงมีรับสั่งอนุญาตให้เค้าทำหน้าที่ลูกกตัญญูด้วย พระเจ้าค่ะ” “เอาอย่างนั้นก็ได้ เราจะมอบกระบี่อาญาสิทธิ์(御用宝剑)ให้เป็นตัวแทนคำสั่งของเราแก่เจ้า” “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ พระเจ้าค่ะ” จี้ฉินหู่คุกเข่าขอบคุณฮั่นอู่ตี้ด้วยความดีใจ
[1 孙子兵法(ซุนจื่อปิงฝ่า) หรือ กลยุทธ์การรบของซุนจื่อ ประพันธ์โดย ซุนอู่(孙武 นักการทหารในสมัยชุนชิว) มีด้วยกันทั้งหมด ๑๓ บท เป็นตำราทฤษฎีทางด้านการทหารของจีนที่มีชื่อเสียงและถูกนำไปใช้กันอย่างกว้างขวาง ซุนอู่ได้รับการยกย่องจากนักการทหารทั้งในจีนและต่างประเทศให้เป็นปรมาจารย์นักการทหาร]
|