Group Blog
 
<<
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
4 มกราคม 2549
 
All Blogs
 

จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 1 - ตอนที่ 5, 6


สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนที่ 5 | ตอนที่ 6 | ตอนถัดไป

ตอนที่ 5 ศึกชิงนาง


ผู้จัดการสำนัก : เนี่ยนหนูเจียวหรือ”
กัวเส่อเหรินเอ่ยถามขึ้น “สาวๆในสำนักของเจ้ามีคนที่ชื่อเนี่ยนหนูเจียวหรือเปล่าล่ะ”
ผู้จัดการสำนัก : “มีสิท่าน แต่ว่านางคนนี้ ไม่เหมือนกับบรรดาสาวๆคนอื่นๆหรอกนะ”
ไท่จื่อ : “แน่นอนล่ะ สาวๆพวกนี้ดูแล้วธรรมดา จะไปเปรียบเทียบกับเดือนอย่าง
เนี่ยนหนูเจียวได้อย่างไร”

ผู้จัดการสำนัก : “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง แต่ว่านางคนนี้มีลักษณะแปลก อย่างแรก
นางจะเป็นผู้เลือกรับแขกด้วยตนเอง ดังนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะร่ำรวยพกเงินมามากมาย
ขนาดไหนก็ตาม ถ้านางไม่เลือกท่านแล้วล่ะก็ ท่านมาที่นี่ถามหานางก็คงเสียเวลาเปล่า
อย่างที่สอง พูดไปแล้วก็น่าขำ คือนางคนนี้ขายแต่ศิลปะไม่ขายร่างกาย ที่ข้าพูดมาเช่นนี้
ท่านคงเข้าใจนะ”

ไท่จื่อ : “อืม งั้นเจ้าไปเรียกนางมาหาข้าทีสิ ถ้าหากว่านางไม่เลือกข้าแล้วล่ะก็
ข้าก็จะไปจากที่นี่”

กัวเส่อเหรินหันไปไล่บรรดาสาวๆให้หนีไป แล้วหันไปกระซิบบอกกับผู้จัดการสำนัก
“ถ้าเจ้าเรียกเนี่ยนหนูเจียวมาพบคุณชายของข้าได้แล้วล่ะก็ ข้ามีรางวัลให้กับเจ้าอย่างงาม
เลยทีเดียว”

ผู้จัดการสำนักได้ยินปุ๊บ รีบเอ่ยขึ้นว่า “ท่านทั้งสองรออยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะไปตามนางมาให้”
สักพักหนึ่งผู้จัดการสำนักก็เดินกลับมาบอกว่า “ข้าตามเนี่ยนหนูเจียนมาพบท่านแล้ว ”
ไท่จื่อเห็นเนี่ยนหนูเจียวเดินเข้ามาหาก็รู้สึกดีใจเอ่ยขึ้นว่า
“แม่นาง ข้ามาที่นี่เพื่อนำเงินที่เจ้าทำหล่นไว้มาส่งคืนให้กับเจ้า”
พูดจบก็หยิบเงินออกมาส่งให้กับเนี่ยนหนูเจียว
เนี่ยนหนูเจียวกล่าวคำขอบคุณ แล้วหันหลังเดินกลับไป
ไท่จื่อเห็นดังนั้นรีบเอ่ยขึ้น “หยุดก่อนแม่นาง”
กัวเส่อเหรินเอ่ยขึ้นว่า “แม่นาง จิ่วเกอนายของข้ารู้สึกชื่นชอบติดใจในชื่อ หนูเจียว ของ
แม่นาง ที่มาวันนี้ก็คิดอยากจะคบหาและอยากได้แม่นางไว้เป็นเพื่อนพูดคุยด้วยสักหน่อย”

เนี่ยนหนูเจียวนิ่งเงียบเฉยไม่ตอบ กัวเส่อเหรินจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า
“ไม่ทราบแม่นางจะคิดค่าชั่วโมงสักเท่าไร จิ่วเกอของข้าสามารถจ่าย
เพิ่มให้แม่นางได้อีกเป็นสองเท่า ใช่หรือเปล่าจิ่วเกอ”

ไท่จื่อพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าทราบมาว่าแม่นาง เป็นคนที่ต้อนรับแขกไม่ได้ง่ายๆ
ต้องมีการเลือกเฟ้นแขกที่จะให้การต้อนรับด้วยเหมือนกัน ใช่หรือไม่”

เนี่ยนหนูเจียว : “ตามที่ท่านได้ยินมานั้นไม่ผิด”
ไท่จื่อ : “ถ้าอย่างงั้น ข้ามีสิทธิ์ที่จะได้รับการคัดเลือกจากแม่นางหรือไม่”
หลังจากที่ไท่จื่อพูดจบ ผู้จัดการสำนักรีบเอ่ยขึ้นว่า
เนี่ยนหนูเจียว คุณชายท่านนี้มีรูปร่างที่สง่างาม หน้าตาก็หล่อเหลา
เจ้ารีบเลือกคุณชายท่านนี้เถอะ”

เนี่ยนหนูเจียว : “ได้ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนคุยกับคุณชายท่านนี้ละกัน”
ไท่จื่อ : “ขอบคุณแม่นาง ที่ให้เกียรติข้า”
เนี่ยนหนูเจียว : “คุณชาย เชิญนั่ง”
ไท่จื่อ : “วันนี้ที่ได้พบแม่นางโดยบังเอิญ ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก อดคิดไม่ได้ว่าแม่นาง
ต้องเป็นแม่นางซีซือ(西施 - ซีซือ หรือไซซี หนึ่งในสี่สุดยอดสาวงามในประวัติศาสตร์จีน)
กลับชาติมาเกิดแน่ๆ”

เนี่ยนหนูเจียว : “ไม่ทราบว่าคุณชาย มีแซ่ว่าอะไร”
ไท่จื่อ : “ข้าแซ่ฮั่น(汉)”
เนี่ยนหนูเจียว : ฮั่น? มีน้อยคนนักที่จะใช้ “ฮั่น” มาเป็นแซ่ของตนเอง ข้าไม่ค่อยได้พบ
เห็นคนแซ่นี้สักเท่าไร”

ไท่จื่อเอ่ยย้อนกลับ “แล้วแซ่เนี่ยน(念)ของเจ้าเนี่ย ไม่ยิ่งน้อยกว่ารึ?”
เนี่ยนหนูเจียว : “จะให้ข้าเรียกคุณชายว่าอะไรดี”
ไท่จื่อ : “ในบรรดาพี่น้องของข้า นับดูแล้วข้าอยู่ในลำดับที่เก้า”
เนี่ยนหนูเจียว : “ งั้นข้าเรียกท่านว่า คุณชายจิ่ว ล่ะกัน”
ไท่จื่อ : “เรียกข้าว่า จิ่วเกอ ก็ได้”
เนี่ยนหนูเจียว : “ข้าฟังจากน้ำเสียงของท่านแล้ว ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นคนมาจากเมืองหลวง”
ไท่จื่อ : “ไม่ผิด ข้าเกิดและโตที่ฉางอัน(长安)”
เนี่ยนหนูเจียว : “ท่านคงจะรับใช้ทางการ?”
ไท่จื่อ : “ช่างน่าเสียดายที่ข้าไร้วาสนา ชั่วชีวิตนี้ของข้าคงไม่มีโอกาสในการเข้ารับราชการหรอก”
เนี่ยนหนูเจียว : “งั้นท่านก็คงจะเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี หรือไม่ก็เป็นลูกชายของผู้มียศถา
บรรดาศักดิ์?”

ไท่จื่อ : “ไม่ทราบว่าแม่นางให้ความสำคัญกับสถานะทางบ้านของข้าเป็นพิเศษหรือไม่ ถ้าใช่
ข้าคิดว่าคงต้องทำให้แม่นางผิดหวัง เพราะว่าครอบครัวของข้าก็ฐานะปานกลางไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง
มีชื่อเสียง หรือลาบยศใดๆทั้งสิ้น”

เนี่ยนหนูเจียว : “แต่ว่าข้าดูแล้วไม่เหมือน”
ไท่จื่อ : “ถ้างั้น แม่นางคิดว่าข้าเป็นอย่างไรล่ะ”
เนี่ยนหนูเจียว : “ขอโทษด้วยคุณชาย วันนี้ข้ารู้สึกเหนื่อย และก็เพลีย
ไม่สามารถอยู่คุยเป็นเพื่อนคุณชายได้ เอาไว้โอกาสหน้าล่ะกัน”

เนี่ยนหนูเจียวพูดจบก็เดินหนีไปโดยไม่สนใจคำพูดที่ไท่จื่อเอ่ยขึ้นไล่มาตามหลัง
“แต่ว่าแม่นาง ข้ายังมีคำพูดที่อยากจะคุยกับเจ้าอีกเยอะเลย”

**********

ที่บริเวณหน้าอาคารของสำนักนางคณิกาไห่ถัง ไท่จื่อรู้สึกกระวนกระวายใจบ่นออกมาว่า
เนี่ยนหนูเจียวคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่ นางช่างเย็นชาเหลือเกิน แถมไม่ไว้หน้าข้าอีก เสด็จแม่กับ
พี่หญิงยังไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนเช่นนี้กับข้าเลย”

กัวเส่อเหรินแปลกใจในคำบ่นของจิ่วเกอเอ่ยถามขึ้น
จิ่วเกอท่านพูดออกมาเช่นนี้ หมายความว่า ท่านไม่ได้รักนางหรอกเหรอ”
ไท่จื่อ : “รักอยู่ แต่ดูเหมือนว่าว่านางคงจะไม่ชอบข้า”
กัวเส่อเหริน : จิ่วเกอ ท่านอย่าโกรธที่ข้าจะพูดล่ะ ข้ามีความรู้สึกว่าแม่นางหนูเจียวคนนี้
ดูแล้วก็ไม่ค่อยมีเสน่ห์หรือความสวยสักเท่าไร ดูๆไปก็เหมือนกับคนประเภท ถูจือหมัวเฝิ่น (涂脂抹粉)
ที่งามได้เพราะการเสริมแต่ง พอถอดล้างเครื่องประทินโฉมหรือเอาอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่ออก
เนื้อแท้รูปร่างหน้าตาก็คงจะดูไม่ได้เลยทีเดียว”

ไท่จื่อได้ยินแล้วรู้สึกไม่พอใจจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าหุบปาก แล้วห้ามพูดถึงนางเช่นนั้นอีก
ถ้าหากเจ้าพูดขึ้นมาอีกล่ะก็ข้าจะตบปากเจ้า”


**********

ภายในอาคารของสำนักนางคณิกาไห่ถัง หลังจากที่เนี่ยนหนูเจียวบ่ายเบี่ยงปฏิเสธที่จะอยู่เป็น
เพื่อนคุยกับไท่จื่อไปแล้วนั้น นางก็ออกมาให้การต้อนรับแขกประจำของนาง

**********

ไท่จื่อกับกัวเส่อเหรินได้ยินเสียงเพลงดังแว่วมาว่า
“สิบห้าค่ำ จันทร์เต็มดวง เฝ้าดูต้นอบเชย ส่งกลิ่นหอมโชย......”
กัวเส่อเหริน : “ท่านฟังสิ นั่นเป็นเสียงของเนี่ยนหนูเจียวนี่ นางต้องกำลังร้องเพลงอยู่กับแขกแน่ๆ
นางช่างทำตัวน่ารังเกียจเสียจริง ดูสิร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้”

ไท่จื่อเองรู้สึกโกรธมากที่นางปฏิเสธตนเองด้วยการบอกว่าเหนื่อย อ่อนเพลีย
แต่กลับกลายเป็นว่านางไปปรนนิบัติต้อนรับแขกคนอื่นอยู่ เมื่อเป็นอย่างนี้จะต้องเข้าไปถามนางให้รู้เรื่อง
จึงรีบเดินกลับเข้าไปในสำนักนางคณิกาอีกครั้ง แต่ก็ได้รับการขัดขวางจากผู้จัดการสำนัก
ผู้จัดการสำนัก : “ท่านเข้าไปไม่ได้นะ วันนี้แขกเต็มหมดแล้ว”
ไท่จื่อ : “อะไรนะ แขกเต็มแล้ว แล้วเนี่ยนหนูเจียวล่ะ”
ผู้จัดการสำนัก : “เนี่ยนหนูเจียว นางอ่ะ รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ตอนนี้เข้านอนแล้ว”
ไท่จื่อ : “ถ้าอย่างนั้น แล้วคนที่กำลังร้องเพลงอยู่เป็นใครกัน”
ผู้จัดการสำนัก : “เป็นคนอื่นที่ร้องเพลง”
ไท่จื่อไม่เชื่อในคำพูดของผู้จัดการสำนักจึงรีบเดินเข้าไปดูเพื่อให้เห็นกับตาตนเอง
เมื่อเข้าไปข้างในก็เห็นเนี่ยนหนูเจียวกำลังนั่งร้องเพลงอยู่กับแขกอยู่อย่างเพลิดเพลิน
(แขกผู้นี้มีนามว่า หลิวอี้(刘义) เป็นบุตรชายของเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ)
ไท่จื่อเดินเข้าไปหาเนี่ยนหนูเจียวแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธว่า
“ข้าไม่คิดว่า้เจ้าจะ็เป็นคนหัวสูงเช่นนี้”
เนี่ยนหนูเจียวชะงักกับคำพูดของไท่จื่อ หยุดร้องเพลงแล้วนั่งนิ่งเงียบๆโดยไม่ตอบโต้ใดๆ
หลิวอี้ซึ่งกำลังเมาอยู่เอ่ยขึ้นว่า เจียวเจียว เจ้าดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้าสักแก้วสิ”
เนี่ยนหนูเจียวเหลือบมองไท่จื่อนิดนึง แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อคุณชายให้ข้าดื่ม งั้นข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่าน”
ไท่จื่อเห็นหลิวอี้ยื่นถ้วยเหล้าส่งให้เนี่ยนหนูเจียว ประกอบกับกิริยาอาการที่เนี่ยนหนูเจียว
แสดงต่อหลิวอี้ ยิ่งทำให้ไท่จื่อเกิดอาการหึงหวง รีบเดินเข้ามาดึงถ้วยเหล้าออกจากมือเนี่ยนหนูเจียว
แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าเหนื่อย เจ้าบอกว่าเจ้าง่วง
เจ้าบอกว่าเจ้าเพลีย เจ้าบอกว่าขายศิลปะแต่ไม่ขายตัวไง”

พูดจบก็ขว้างถ้วยเหล้าในมือทิ้งด้วยความโกรธ
เนี่ยนหนูเจียวรู้สึกโกรธผลุดลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเอ่ยว่า
“แล้วเจ้ายุ่งอะไรด้วย ข้าจะขายตัวหรือไม่มันก็เป็นสิทธิ์ของข้า”
ไท่จื่อ : “ถ้าเจ้าอยากขายล่ะก็ ต้องขายให้กับข้าเพียงผู้เดียว เจ้าต้องการเงินเท่าไร ข้าก็มีให้เจ้า”
เนี่ยนหนูเจียวเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธว่า “เงินน่ะข้าไม่ต้องการ”
พูดจบปุ๊บนางก็เดินหนีไป หลิวอี้เอ่ยถามไท่จื่อขึ้นว่า “ไอ้หนู เจ้าเป็นใครกัน”
ไท่จื่อ : “ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า ไม่ต้องยุ่ง นางเป็นของข้า”
หลิวอี้หัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นว่า : “ไอ้หนู เจ้านี่วอนเจ็บตัวซะแล้ว เด็กๆจับตัวมันไว้”


**********

ที่ห้องพักของก้วนฟูกับหลี่หลิง จางทังวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนใจ
จางทัง : จิ่วเกอ ไม่อยู่แล้ว”
ก้วนฟู : “ว่าไงนะ จิ่วเกอหายไปเหรอ”

**********

ไท่จื่อถูกคนของหลิวอี้จับมัดตัวไว้ และถูกนำตัวออกมายังบริเวณด้านนอกอาคาร
ไท่จื่อ : “ปล่อยข้า”
หลิวอี้ : “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพบกับคนอย่างเจ้า คิดจะมาแย่งสาวกับข้าเหรอ ไม่มีทางซะล่ะ
เจ้าคงไม่อยากมีชีวิตเสียแล้วกระมัง ข้าจะบอกให้เจ้าฟังและจำไว้ด้วยว่า
เจ้าเมืองเยี่ยนชื่อนะเป็นพ่อของข้าเอง ขนาดหวงตี้เองยังให้ความเคารพนับถือ
ได้ยินอย่างนี้แล้วเจ้ารู้สึกกลัวหรือเปล่า เฮ้อ ชีวิตของเจ้าท่าจะไม่ยืนยาวเสียแล้ว
เจ้าโตมาขนาดนี้แล้วข้ารู้สึกสงสารพ่อกับแม่ของเจ้าซะเหลือเกิน
เอางี้ ถ้าเจ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปล่ะก็ ง่ายนิดเดียว เพียงเจ้าคลานลอดขาข้าไป
และข้าก็จะให้ย่าของเนี่ยนหนูเจียวมาเขกหัวเจ้าสักสองสามที แค่นี้ข้าก็ปล่อยเจ้าแล้ว”

ไท่จื่อ : “เจ้าบังอาจใช้อำนาจบาตรใหญ่ มาข่มขู่ประชาชนหรือนี่”
หลิวอี้ : “เจ้าไม่ต้องพูดมาก เจ้าจะทำตามที่ข้าบอกหรือไม่”
ไท่จื่อ : “ฝันไปเถอะ”
หลิวอี้ : “เฮ้อ แค่คลานลอดขาข้าเท่านั้นเอง แม้แต่นายพลใหญ่ในสมัยก่อนอย่างหันซิ่น(韩信)
ก็ยังเคยลอดใต้ขาคนมาแล้ว ไม่แน่นะอนาคตข้างหน้าของเจ้าอาจจะได้เป็นถึงนายพลใหญ่
เหมือนเค้าก็ได้”


**********

ทางด้านจางทัง ก้วนฟู และหลี่หลิงต่างควบม้าออกตามหาไท่จื่อด้วยความรีบเร่ง

**********

คนของหลิวอี้ผลักไท่จื่อให้คุกเข่าลงกับพื้น
ไท่จื่อเอ่ยขึ้น “ข้าจะให้เจ้าตาย คนในครอบครัวของเจ้าทั้งหมดก็ต้องตายด้วยเหมือนกัน”
หลิวอี้ : “อ้อ เหรอ งั้นดูซิ ใครมันจะตายก่อนกัน ข้าจะบอกให้พวกเค้าจับเจ้ายัดใส่กระสอบ
แล้วเอาหินมาวางทับไว้ จากนั้นก็จับเจ้าไปทิ้งลงแม่น้ำให้เป็นอาหารแก่พวกเต่า”

ไท่จื่อถ่มน้ำลายใส่หลิวอี้ แล้วหันหน้าไปที่สำนักนางคณิกาไห่ถังตะโกนขึ้นว่า
“เนี่ยนหนูเจียว เจ้าจำไว้ด้วยว่าข้าจิ่วเกอ ยอมตายเพื่อเจ้า”
หลิวอี้ : “นำตัวไป”
ไม่ทันที่หลิวอี้จะพูดจบลูกน้องคนหนึ่งวิ่งเข้ามากระซิบบอกอะไรบางอย่างกับหลิวอี้
หลิวอี้รู้สึกตกใจเป็นอย่างมากรีบระล่ำระลักบอกให้ลูกน้องปล่อยไท่จื่อไว้ที่นั่น
แล้วตนเองรีบพาลูกน้องออกไปจากที่ตรงนั้นทันที
กัวเส่อเหรินตะโกนร้องเรียกมาแต่ไกล “จิ่วเกอ จิ่วเกอ”
ไท่จื่อตะโกนตอบ “ข้าอยู่นี่”
จางทัง ก้วนฟู กัวเส่อเหริน และหลี่หลิง ทั้งสี่คนวิ่งเข้ามาช่วยแก้มัดให้ไท่จื่อ
ก้วนฟูเอ่ยขึ้น จิ่วเกอ แล้วเจ้าพวกนั้นล่ะ ข้าจะตามไปจับพวกนั้นมาสับเป็นชิ้นๆ”
ไท่จื่อ : “ไม่ต้อง ไม่ต้อง พวกเจ้าช่วยพยุงข้าเข้าไปข้างในที ข้าต้องการพบเนี่ยนหนูเจียว
เพื่อให้นางดูอาการของข้า”

จางทังได้ยินดังนั้น รู้สึกโกรธหันไปถามกัวเส่อเหริน
“กัวเส่อเหริน เนี่ยนหนูเจียวเป็นใคร”
กัวเส่อเหรินอึกอักตอบไปว่า “นางเป็น...นางเป็นเพื่อนของจิ่วเกอ”
พอกัวเส่อเหรินพูดจบจางทังเอ่ยขึ้นว่า จิ่วเกอ กลับที่พักเดี๋ยวนี้”
ไท่จื่อ : “ไม่ ข้าต้องการพบเนี่ยนหนูเจียว ข้าอยากให้นางดูสิว่าข้าได้รับบาดเจ็บแค่ไหน”
พูดจบปุ๊บไท่จื่อก็เป็นลมล้มหมดสติไป
จางทังหันไปตำหนิกัวเส่อเหริน “กัวเส่อเหริน เจ้า...”
กัวเส่อเหรินหน้าจ๋อยไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับไท่จื่อ
จากนั้นทั้งหมดก็พาไท่จื่อกลับที่พัก โดยมีสายตาของเนี่ยนหนูเจียวยืนมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดด้วยความสงสัย

**********

ที่จวนของเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ หลิวอี้กำลังก้มหน้ารับฟังคำตำหนิจากผู้เป็นพ่อ
หลิวซิ่น : “พวกเจ้าทะเลาะหึงหวงกันเพราะเรื่องผู้หญิง
ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วล่ะก็ ชีวิตของเจ้า ข้าและก็คนในครอบครัวคงไม่เหลือ”

หลิวอี้ : “ก็ลูกไม่รู้นี่ว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็น...”
หลิวซิ่น : “เจ้านี่...เจ้า...เจ้ายังจะเรียกเค้าว่าเจ้าหนุ่มนั่น อยู่อีกหรือ ”
หลิวอี้ : “อ่า..ใช่..ใช่..ไท่จื่อ
หลิวซิ่น : “เพียงแค่ผู้หญิงคนเดียวเจ้าจะไปสนใจทำไม แถมยังเป็นนางคณิกาอีก”
หลิวอี้ : “พ่อ ท่านไม่รู้อะไร เนี่ยนหนูเจียวคนนี้ นางไม่เหมือนนางคณิกาคนอื่นๆ และลูกก็ชอบนาง”
หลิวซิ่น : “เหลวไหล ไม่ว่าเมียของเจ้า หรือว่าน้องสาวของเจ้า หากว่าไท่จื่อทรงโปรดแล้วล่ะก็
เจ้าต้องนำไปถวาย”

หลิวอี้ : “ข้าเข้าใจแล้ว แต่ถ้าหากไท่จื่อทรงก่อเรื่องขึ้นขณะอยู่ที่เยี่ยนชื่อล่ะท่านพ่อ”
หลิวซิ่น : “ไม่ว่าไท่จื่อจะก่อเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม เจ้าจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นจงเฉิน(忠臣 หรือ ตงฉิน ขุนนางผู้จงรักภักดี)ที่ดี เข้าใจไหม”


**********

เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ตงฟางซั่วกำลังเดินทางเพื่อไปเปิดร้านอยู่นั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ตะโกนร้องเรียก
“ซินแสดงฟาง ซินแสตงฟาง ไม่ทราบว่าท่านจะทำนายตัวอักษรให้ข้าได้หรือไม่”




ตอนที่ 6 จางเชียน ผู้เปิดโลกแห่งดินแดนตะวันตก


เด็กหนุ่มผู้ซึ่งร้องเรียกหาตงฟางซั่วเพื่อที่จะให้ตงฟางซั่วทำนายตัวอักษรให้นั้น
มีนามว่า จางเชียน(张骞)
[ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น จางเชียนผู้นี้ เป็นฑูตที่ทางฮั่นอู่ตี้ส่งไปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี
กับชนเผ่าต้าเย่ว์จือ(大月氏)ที่อยู่ในเขตซีอี้ว์(西域) โดยมีวัตถุประส่งค์ในการไปเพื่อต้องการ
ขอความร่วมมือจากชนเผ่าต้าเย่ว์จือในการบุกเข้าโจมตีชนเผ่าซุงหนู เนื่องจากฮั่นอู่ตี้ทราบมาว่า
ชนเผ่าต้าเย่ว์จือก็เป็นอริกับชนเผ่าซุงหนูด้วยเหมือนกัน ดังนั้นจึงอยากให้ทางต้าเย่ว์จือเข้าโจมตี
ชนเผ่าซุงหนูจากทางด้านทิศตะวันตก ส่วนทางฮั่นอู่ตี้จะยกทัพเข้าโจมตีจากทางด้านทิศตะวันออก
การเดินทางไปซีอี้ว์ของจางเชียนในครั้งนั้น ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้จีนได้มีการติดต่อเชื่อม
ความสัมพันธ์ มีการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ระหว่างจีนกับโลกตะวันตก ผ่านเส้น
ทางการคมนาคมที่เราคงเคยได้ยินกันในชื่อว่า เส้นทางสายไหม]




จางเชียนช่วยถืออุปกรณ์ที่ใช้ในการทำมาหากินของตงฟางซั่ว แล้วทั้งสองคน
ก็เดินคุยไปด้วยกัน ตงฟางซั่วได้เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้ามีชื่อแซ่ว่าอะไร”
“ข้าน้อยแซ่จาง(张) มีชื่อว่าเชียน(骞)” จางเชียนกล่าวตอบพร้อมกับ
หยิบกระดาษที่เขียนตัวอักษร 骞(เชียน) ออกมายื่นส่งให้ตงฟางซั่ว
ตงฟางซั่วพิจารณาดูตัวอักษรแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า
“ข้าขอถามอะไรเจ้าสักหน่อย ดูๆแล้วบ้านเกิดของเจ้าน่าจะอยู่ที่นี่ แต่ว่าเจ้าต้องไป
ใช้ชีวิตอยู่ที่อื่นตั้งหลายปี ตอนนี้คงคิดอยากจะกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด (叶落归根)
ใช่หรือไม่”

จางเชียนรู้สึกทึ่งในคำกล่าวของตงฟางซั่วจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านซินแส ท่านทำนายได้แม่น(料事如神)จริงๆ”
“อักษรบนกระดาษนี่เขียนไว้ชัดเจน เจ้าลองดูสิ” ตงฟางซั่วชี้ให้จางเชียนดูพร้อมกับ
อธิบายให้ฟังว่า “ข้างบนมีคำว่าบ้าน(家) ส่วนด้านล่างก็คือ ม้า(马) อธิบายภูมิหลัง
ของเจ้าได้ว่า เจ้าต้องห่างไกลจากบ้านเกิด”

จางเชียนมีความสงสัยได้เอ่ยถามขึ้นว่า “ที่ว่าต้องห่างไกลจากบ้านเกิด ไม่ทราบว่า
ท่านซินแสดูจากตรงไหน(从何而指)”

ตงฟางซั่ว : “เจ้าดู เส้นแนวนอนสามเส้นที่ตัดกันกับเส้นแนวตั้งสองเส้นนี่เกิดเป็น
รูปบ่อ(井)สองบ่อที่ชัดเจน ส่วนที่ด้านล่างมีตัวอักษร ปา(八) เส้นสองเส้นของตัว
อักษร ปา นี้แยกออกจากกันเป็นสองทาง(分道扬镳) แล้วก็อักษร ม้า(马) ตัวนี้
บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ภูมิหลังของเจ้าต้องเป็นผู้พเนจรห่างไกลจากถิ่นกำเนิด”

จางเชียน : “ข้าน้อยจางเชียน รู้สึกชื่นชมท่านซินแซเป็นอย่างยิ่ง(五体投地)
ข้ามีเรื่องขอถามท่านอีกว่า ข้าควรจะนำร่างของพ่อข้าไปฝังไว้ที่ไหนจึงจะดี”

ตงฟางซั่ว : “สำหรับเรื่องนี้น่ะ คงต้องพิจารณาดูจากตัวอักษรอีกที เจ้าเกิดที่
ซันตง(山东) แต่ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันกับปาจื้อ(八字)ของเจ้า ที่ที่ดีที่สุดคือ
นำไปฝังไว้ทางทิศตะวันตก”

[八字 เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งในการทำนายดวงชะตาแบบจีน โดยใช้ตัวอักษรแปดตัว จัดเป็นสี่แถว
ที่ประกอบไปด้วยแถวปี แถวเดือน แถววัน และแถวของเวลาที่เราเกิด ในแต่ละแถวนั้นประกอบไป
ด้วยพลังจากธรรมชาติอันได้แก่ พลังฟ้า(天干)กับพลังดิน(地支)ประกบกันเป็นคู่ๆ รวมทั้งหมด
แปดพลังงาน จากนั้นก็ดูว่าพลังงานที่เข้ามาสู่ตัวเราในปีนั้นๆมาช่วยเสริมทำให้ดวงของเราดีขึ้น
หรือว่ามาขัดดวงทำให้แย่ลง]

จางเชียน : “พอดีเลยที่เขาซีซัน(西山)ข้าเห็นมีที่สำหรับฝังศพอยู่แห่งหนึ่ง”
ตงฟางซั่ว : “ต้องเลยไปทางทิศตะวันตกของเขาซีซันอีก”
จางเชียน : “ถ้าต้องมุ่งไปทางตะวันตกอีก ก็ต้องออกจากเมืองเยี่ยนชื่อไป
แสดงว่าก็ต้องออกไปนอกเขตทะเลป๋อไห่(渤海)ด้วยนะสิ”

ตงฟางซั่ว : “ยังคงต้องมุ่งไปทางทิศตะวันตกอีก”
จางเชียน : “ที่แท้ท่านต้องการให้ข้าฝังไว้ที่เมืองลั่วหยาง(洛阳)”
ตงฟางซั่ว : “ระยะทางพันลี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เจ้ายังต้องไปมุ่งหน้าไปทาง
ทิศตะวันตกของเมืองลั่วหยางอีก”

จางเชียน : “งั้นก็ ฉางอัน(长安)?”
ตงฟางซั่ว : ฉางอัน อยู่ใจกลางของจิ่วโจว(九州) ทำไมถึงคิดว่าเป็นที่นี่ล่ะ”
จางเชียน : “ถ้างั้นเป็นไปได้หรือไม่สำหรับที่ทางด้านตะวันตกของจิ่วโจว
ตงฟางซั่ว : “ตะวันตกของจิ่วโจว ก็ยังอีกไกล ยังต้องออกไปนอกจิ่วโจวอีก”
จางเชียน : “ถ้างั้นก็ ซีอี้ว์(西域)?”
“ที่เจ้าเอ่ยออกมานั้นถูกต้องแล้ว” พูดจบตงฟางซั่วก็เดินจากไป เพื่อไปเปิดร้าน

**********

ขณะที่ตงฟางซั่วกำลังเปิดร้านอยู่นั้น จางเชียนก็เดินเข้ามาหาและเอ่ยขึ้นว่า
“ซินแสตงฟาง”
ตงฟางซั่วรู้สึกแปลกใจเอ่ยขึ้นว่า “อ้าว ทำไมเจ้าถึงยังตามข้ามาอีกล่ะ”
จางเชียน : “ข้ามีบางอย่างที่ยังสงสัยอยู่ คือว่าข้าเพิ่งเดินทางกลับมาจากทางทิศ
ตะวันตก”

ตงฟางซั่ว : “ที่นั่นคงเป็นที่ที่พ่อเจ้าอยู่และก็เสียชีวิต”
จางเชียน : “พ่อของข้าถูกส่งให้ไปตั้งมั่นป้องกันชายแดนอยู่ที่นั่น เมื่อตอนมีชีวิต
พ่อของข้าไม่สามารถที่จะเดินทางกลับมายังบ้านเกิดได้ ดังนั้นเมื่อท่านตายแล้วข้าก็
ควรจะฝังท่านไว้ที่ที่ท่านเกิด ท่านจะได้กลายไปเป็นเทวดา”

ตงฟางซั่ว : “ข้าชื่นชมที่เจ้าเป็นลูกที่มีความกตัญญูต่อบิดา แต่ข้าเชื่อว่านี่ไม่ได้
เป็นความต้องการครั้งสุดท้ายของพ่อเจ้าหรอก”

จางเชียน : “ท่านซินแส ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพ่อของข้าต้องการอะไร”
ตงฟางซั่ว : “พ่อของเจ้าตั้งชื่อให้เจ้าว่า เชียน คงคาดหวังไว้ว่า เมื่อใดที่เจ้าอยู่
บนหลังม้าแล้ว เจ้าสามารถที่จะเดินทางไปทำในสิ่งที่พ่อของเจ้าไม่สามารถทำได้สำเร็จ
ให้สำเร็จลงได้”

จางเชียน : “ท่านซินแส ข้าไม่เชื่อท่านหรอก ที่ท่านพูดมาหาความน่าเชื่อถือไม่ได้
สักนิด”

ตงฟางซั่ว : “เมื่อมีความเชื่อเกิดขึ้นในใจ สิ่งที่ปรารถนาหรือสิ่งที่กระทำก็จะประสบ
ผลสำเร็จ ข้าว่าหากเจ้าเชื่อในคำพูดของข้าแล้วจะเป็นผลดีกับตัวเจ้าเอง”

จางเชียน : “ไม่ พ่อของข้าตอนยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่น้ำจากที่บ้านเกิดก็ไม่สามารถนำ
มาดื่มได้ ข้าคิดว่าหลังจากที่ท่านตายลง ควรจะฝังร่างท่านไว้ใกล้ๆกับแหล่งน้ำ ท่านซินแส
ข้าน้อยลาล่ะ”

พูดจบจางเชียนนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ให้เงินค่าทำนายแก่ตงฟางซั่ว จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านซินแส”
แต่ตงฟางซั่วพูดขัดขึ้นว่า “ว่าไง เจ้าคงคิดจะเปลี่ยนใจละสิท่า”
จางเชียน : “ไม่ เมื่อข้าตัดสินใจไปแล้วข้าก็จะไม่เปลี่ยนใจ นี่คือเงินที่ข้าจ่ายให้
ท่านสำหรับค่าทำนาย”

ตงฟางซั่ว : “การทำนายครั้งนี้ ผลของการทำนายยังไม่เห็นผล”
จางเชียน : “ท่านยังต้องรอดูผลของการทำนายอีกหรือ”
ตงฟางซั่ว : “ถ้าหากว่าเจ้ายังคงยืนกรานที่จะฝังศพพ่อของเจ้าไว้ที่นี่แล้วล่ะก็
ข้าเกรงว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเจ้า”

จางเชียน : “จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือท่านซินแส”
ตงฟางซั่ว : “สิ่งที่ข้าได้พูดไปก็มากพอควรแล้ว”
จางเชียน : “ท่านซินแสยังต้องการอยากจะบอกอะไรข้าอีกหรือ ท่านคงอยากจะ
บอกว่า ข้าจะได้รับเคราะห์ถึงขั้นติดคุกติดตาราง หรือไม่ก็จะเกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงขึ้น
กับข้า ท่านซินแส ท่านกำลังขู่ข้าอยู่นะ ยังมีอีกเรื่องที่ข้าอยากจะบอกกับท่าน ก็คือ ข้าได้
ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะนำศพพ่อของข้าไปฝัง”

พูดจบจางเชียนก็วางเงินไว้บนโต๊ะ แล้วเดินจากไป ตงฟางซั่วหยิบเงินขึ้นมาแล้ว
เอ่ยขึ้นกับตัวเองว่า “เจ้าหนุ่มคนนี้ ช่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเสียจริง” จากนั้นก็พูดไล่ตาม
หลังจางเชียนไปว่า “สำหรับเงินนี่ ข้าจะเก็บรักษาให้เจ้าก่อนล่ะกัน”



หากท่านมีคำวิจารณ์หรือคำแนะนำโปรดไปเขียนไว้ที่หน้าสารบัญ




 

Create Date : 04 มกราคม 2549
0 comments
Last Update : 15 สิงหาคม 2549 10:37:02 น.
Counter : 1357 Pageviews.


WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.