It's All I Have to Bring Today !
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
27 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
อังกฤษอเมริกัน ๒.๑.๒

۩ ۞ Love Child

ช่วงนี้ในบรรดาคนดังที่ตกเป็นข่าว sex scandal (เซ็กส สแก่นดั่ล) = เรื่องอื้อฉาวทางเพศ นอกจาก Dominique Strauss-Kahn ผู้ถูกกล่าวหาว่าวิ่งไล่ข่มขืนแม่บ้านทำความสะอาดห้องที่โรงแรมแล้ว ก็ยังมี Arnold Schwarzenegger อดีตผู้ว่าการคนเหล็กแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้ยอมรับว่าตนได้แอบไปมีลูกกับแม่บ้านเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ระหว่างที่แต่งงานกับ Maria Shriver ทายาทสาวแห่งตระกูลเคนเนดี้

ที่อเมริกาไม่มีกระทรวงวัฒนธรรม แต่ก็ไม่ขาดแคลนนักการเมืองที่ชอบพร่ำสอนเรื่องศีลธรรม ค่านิยมครอบครัว ฯลฯ และถูกเปิดโปงภายหลังว่าที่แท้ก็เป็น hypocrite (ฮิพผะขริท) = คนที่มีพฤติกรรมตรงข้ามกับสิ่งที่ตัวเองสั่งสอน คนมือถือสากปากถือศีล

ภาพลักษณ์ของ Arnold ที่แสดงต่อโลกคือความเป็น family man = ผู้ชายที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นที่สุด ดังนั้นข่าวว่าเขามี love child (เลิฟ ฉ่ายล์ด) จึงทำให้หลายคนผิดหวัง

Love child แปลตรงตัวก็คือ ลูก (ที่เกิดจาก) ความรัก (ยังกับว่าลูกที่เกิดกับพ่อแม่ที่แต่งงานกันไม่ได้เกิดจากความรักอย่างนั้นแหละ)

ถ้าเป็นสมัยโบราณ ก่อนที่กฎหมายจะเปิดให้มีการรับรองบุตร เด็กที่เกิดมาแบบนี้จะเรียกว่า bastard (แบ๊สเติร์ด) = ลูกนอกกฎหมาย ซึ่งถือว่าเกิดมาซวยแท้ ๆ เพราะนอกจากจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมแล้ว ยังไม่มีสิทธิใช้นามสกุลพ่อ สิทธิรับมรดก และสิทธิอื่น ๆ ที่บุตรตามกฎหมายพึงได้

การเป็น bastard เป็นสภาพที่อาภัพอับจนมากจนคำนี้กลายเป็นคำด่า แปลหลวม ๆ ได้ว่า ไอ้สารเลว และสามารถใช้ด่าผู้ชายทั่วไปได้ ไม่ว่าจะเกิดมามีพ่อตามกฎหมายหรือไม่ (ความจริง bastard เดิมเป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ถ้าใช้เป็นคำด่าใช้ได้เฉพาะกับผู้ชาย)

ในยุคฮิปปี้ ยุคแห่ง free love = ความรักเสรี หนุ่มสาวหลายคู่ที่เชื่อว่าความรักไม่จำเป็นต้องแต่งงานก็พากันมีลูกนอกกฎหมาย แต่โดยที่ bastard มีนัยไม่น่าอภิรมย์จึงเรียกลูกที่เกิดจากความสัมพันธ์เหล่านั้นว่า love child (ซึ่งกลายเป็นชื่อเพลงของ Diana Ross and the Supremes ลองไปหาฟังใน YouTube ได้)

อีกคำที่มีนัยเป็นกลางหน่อยก็คือ illegitimate child (อิลหละจิ๊ดดะหมิท ช่ายล์ด) = ลูกซึ่งไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งบางคนก็ไม่ชอบอยู่ดี เพราะ illegitimate ยังมีความหมายว่า ไม่ชอบธรรม ได้ด้วย (พ่อแม่ชอบทำ แต่ลูกเกิดมากลับไม่ชอบธรรม)

ถ้าคุณไม่ต้องการด่าใคร แต่ก็ไม่ได้ต้องการเชิดชูสถานะของการเกิดโดยพ่อแม่ไม่ได้แต่งงานกัน ก็อาจใช้สำนวนที่เป็นกลางที่สุด นั่นคือ out of wedlock (เอาดัฟ เว็ดหล็อค) = นอกสมรส.

***
◐ ◑ วันสุดท้าย

ถ้าคุณกำลังอ่านคอลัมน์นี้ แสดงว่าโลกยังไม่ถึงจุดอวสาน

ในหลายเดือนที่ผ่านมา ถ้าคุณอยู่อเมริกา ไปที่ไหนก็จะเห็นป้ายยักษ์ข้างถนนประกาศว่าวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2011 จะเป็น Judgment Day = วันที่โลกถึงจุดจบ และถ้าเดินแถวย่านที่มีคนพลุกพล่านหน่อยก็จะเจออาสาสมัครแจกใบปลิวที่พูดอย่างเดียวกัน

Judgment Day (จั๊ดจหมั่นท์ เด่ย์ – โปรดสังเกตนะครับว่า Judgment สะกดโดยไม่มี e หลัง g) เป็นวันที่ชาวคริสต์เชื่อกันว่าเป็นวันสุดท้ายของโลก วันที่คนตายจะฟื้นคืนชีพ คนบาปจะถูกพระเจ้า judge (จั้ดจ) = พิพากษา (โปรดสังเกตนะครับว่า judge นี้มี e หลัง g) และคนที่ศรัทธาพระเจ้าจะถูกนำตัวขึ้นสู่สวรรค์

คนที่คลั่งศาสนามักจะรอคอย Judgment Day อย่างใจจดใจจ่อ เพราะเชื่อว่าเป็นวันที่พระเจ้าจะนำตนไปอยู่ด้วยในสวรรค์ และจะนำมาซึ่ง second coming of Christ = การมาสู่โลกเป็นครั้งที่สองของพระเยซู ตามที่ทำนายไว้ในคัมภีร์ไบเบิล

คนที่เชื่อว่าโลกใกล้จะถึงจุดจบมักจะพยายามป่าวประกาศให้ชาวโลก repent = สำนึกบาป เพื่อที่จะได้รอดพ้น (repent ออกเสียงว่า รีเพ่นท – โดย pent ออกเสียงด้วยสระเอะ ไม่ใช่สระเอนะครับ ไม่งั้นจะกลายเป็น repaint = ทาสีใหม่)

อีกคำที่ใช้เรียกวันสุดท้ายของโลกก็คือ Doomsday (ดู๊มสเด่ย์) ซึ่งไม่มีกลิ่นอายทางศาสนาแฝง แต่มีนัยว่าเป็นวันที่ทุกคนจะต้อง meet their doom = ถึงฆาต

Doom เป็นกริยาก็ได้ แปลว่า กำหนดให้อาภัพอับโชค เช่น For his sins, he was doomed for eternity to climb a tree with long, razor-sharp thorns while being pecked by flesh-eating birds. = ด้วยบาปของเขา เขาถูกกำหนดให้ปีนต้นไม้ซึ่งมีหนามยาวคมราวใบมีดโกนตลอดกัลปาวสานขณะที่ถูกนกกินเนื้อคอยจิก (นัยการกำหนดใน doom มักจะหมายถึงการกำหนดโดยโชคชะตา กรรม หรือสิ่งที่มองไม่เห็น มากกว่าที่จะเป็นการกำหนดโดยคน)

คนที่เชื่อแบบนี้มีมาเป็นระยะ ๆ และทุกครั้งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คราวนี้มีองค์กร Family Radio เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่าโลกจะต้องจบสิ้นแน่ โดยอ้างว่าคำนวณมาอย่างละเอียด ไม่พลาดแน่ และทุ่มเงินหนักเพื่อเผยแพร่ความเชื่อของตน จนมีหลายคนขายทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อเตรียมไปอยู่กับพระเจ้า

เสียดายที่คนเหล่านี้ไม่วางแผนเผื่อไว้ว่าถ้าโลกยังไม่แตกสลายตามกำหนดควรจะทำอย่างไรต่อไป.

***
◐ ◑ ชายขอบบ้า

ก็อย่างที่เห็นคราวที่แล้วนะครับ แม้ว่าชาวโลกมักจะมองสหรัฐอเมริกาว่าเป็นมหาอำนาจทางวิทยาศาสตร์ แต่ประเทศนี้ก็ไม่ขาดแคลนคนที่มีความเชื่อวิตถารสารพัด

ส่วนใหญ่ความเชื่อเหล่านี้ไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่คนที่พยายามเผยแพร่มันก็มักจะอ้างว่าความเชื่อของตนเป็นผลสรุปที่ได้มาด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ เช่น การคำนวณ การวิเคราะห์เชิงสถิติ (ฟังคุ้น ๆ ไหมครับ) วิชาดาราศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งก็พอหลอกคนที่ไม่มีพื้นฐานในวิชาเหล่านั้นให้
หลงเชื่อได้

ในสังคมที่มีความรู้ ความเชื่อเหล่านี้จะแฝงตัวอยู่ตาม fringe(ฟริ่นจ) = ชายขอบ จำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มเล็ก ๆ ที่อยู่ในโลกของตัวเอง ซึ่งมักจะเรียกว่า the lunatic fringe = พวกชายขอบที่บ้า

ในสังคมที่ด้อยความรู้ ความเชื่อทำนองนี้จะไม่ได้แฝงตัวอยู่ตามชายขอบ แต่จะแพร่หลายในสังคมกระแสหลักทีเดียว ดีไม่ดีถ้าเป็นสังคมที่ด้อยความรู้อย่างหนัก เราก็อาจจะเห็นความเชื่อประหลาด ๆ เหล่านี้แพร่หลายแม้แต่ในระดับผู้นำสังคมเช่นนักการเมืองและนักวิชาการ

สหรัฐอเมริกาเป็นสังคมที่หลากหลาย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าความเชื่อประหลาด ๆ ตามชายขอบมีแนวโน้มว่ากำลังซึมเข้ามาในสังคมกระแสหลักมากขึ้นเรื่อย ๆ

ที่เห็นชัดที่สุดคงจะไม่มีอะไรเกินขบวนการณ์ที่เรียกว่า birther movement (เบ๊อร์เธอร์ หมูฟหมั่นท์) ซึ่งประกอบด้วยคนที่เชื่อว่าบารัค โอบามาไม่ได้เกิดในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นจึงไม่ควรมีสิทธิเป็นประธานาธิบดี

แม้ว่าจะมีการแสดงสูติบัตรแบบสั้น คำให้การของสูติแพทย์และพยานอื่น ๆ ว่าโอบามาเกิดที่ฮาวาย แต่พวก birthers ก็ไม่ยอมเชื่อ
กลับปักใจว่าเป็น conspiracy (คันสเปี๊ยหระสี่) = การสมคบร่วมคิดกระทำความผิด ที่มีผู้ร่วมวงอย่างกว้างขวาง

เดิมที ทางค่ายโอบามาก็มองว่าพวกนี้เป็น nut jobs หรือ nut cases = พวกสติไม่ดี สติเพี้ยน ดังนั้นไม่ควรให้ความสำคัญหรือเอาใจใส่มากเกินควร

แต่ที่ไหนได้ ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งมีคนอเมริกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แน่ใจว่าโอบามาเกิดที่อเมริกาจริงหรือเปล่า รวมทั้ง Donald Trump มหาเศรษฐีซึ่งคำรามฮึ่มๆ ว่าจะลงแข่งประธานาธิบดีสมัยหน้า

ในที่สุดทางค่ายโอบามาจึงเปิดสูติบัตรแบบยาวต่อสาธารณะ เพื่อที่สังคมอเมริกันจะได้เลิกบ้าในเรื่องไม่เป็นเรื่องและช่วยกันแก้ปัญหาแท้จริงของประเทศซะที ทำเอา Donald Trump หน้าหงายหมดท่า

ดีใจไหมล่ะครับที่เราเกิดในประเทศที่ไม่มีใครปลุกระดมให้เราเชื่อเรื่องบ้า ๆ ได้.
หนังสือ “ฟอไฟฟุดฟิดอังกฤษอเมริกัน” เล่ม 1-6 รวมซีดี ลดจาก 600 เหลือ 550 บาท หรือถ้าไม่เอาซีดีก็เพียง 480 บาท ส่ง EMS ฟรี ส่งธนาณัติสั่งจ่ายนายเสาวพจน์ ศรีวลี 20/1 ซอยอินทามระ 7 ป.ณ.สามเสนใน กท. 10400 หรือเข้าบัญชี ธ.กรุงเทพ หมายเลข 111-4-02764-0 แฟกซ์ใบสั่งจ่ายไปที่ 0-2616-8215 อย่าลืมเขียนชื่อ-ที่อยู่นะครับ เว็บไซต์ผม //boonhod.com อีเมลผม boonhod@hotmail.com

**
Credit : //www.dailynews.co.th


Create Date : 27 พฤษภาคม 2554
Last Update : 28 พฤษภาคม 2554 0:05:51 น. 2 comments
Counter : 1793 Pageviews.

 
self-determination
ปีนี้มีความเป็นไปได้ว่าสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติจะลงคะแนนเพื่อตัดสินว่าจะให้ปาเลสไตน์ (Palestine ฝรั่งออกเสียงว่า แพ้ลหลัสต่ายน) เป็นมีสถานะเป็นประเทศเอกราชหรือไม่ หลังจากที่เป็นดินแดนที่ถูกอิสราเอลยึดครองมานมนาน

เวลามีการพูดถึงปาเลสไตน์ คำที่เรามักจะได้ยินบ่อย ๆ คือ the right to elf-determination = สิทธิในการ...เอ่อ self-determination (เซ็ลฟ ดีเทอร์มินเน้ฉึ่น)

ลำพังแค่ self ก็แปลว่า ตนเอง เช่น self-help (เซ็ลฟ เฮ็ลพ) = ช่วยตนเอง self-centered (เซ็ลฟ เซ้นถึร์ด) = ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (ตัวกู-ของกู) self-taught (เซ็ลฟ ทอท) = ที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง

ส่วน determination ก็เป็นนามของกริยา determine (ดีเท้อร์หมิ่น) = กำหนด เช่น His childhood environment determined his character as an adult. = สิ่งแวดล้อมของเขาในวัยเด็กได้กำหนดบุคลิกภาพของเขาตอนเป็นผู้ใหญ่

หรือจะแปลว่า ตั้งใจอย่างมุ่งมั่น ก็ได้ เช่น She determined not to let him have his way. เธอตั้งใจอย่างมุ่งมั่นว่าจะไม่ยอมตามใจเขา

หรือจะแปลว่า ตัดสิน ก็ได้ เช่น The Supreme Court determined that Arizona was within its rights to punish employers who hire illegal immigrants. = ศาลฎีกาตัดสินว่ารัฐแอริโซนามีสิทธิลงโทษนายจ้างที่ว่าจ้างคนงานที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

พอรวม self กับ determination เข้าด้วยกัน เราก็ได้ทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เรียกว่า self-determination theory = ทฤษฎีการกำหนดใจตัวเอง นั่นคือการตัดสินใจด้วยตนเอง (โดยไม่มีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบ) ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมของมนุษย์แต่ละคน

แต่เวลาพูดถึง self-determination ของชาวปาเลสไตน์ นั่นไม่ได้หมายถึงการกำหนดใจตนเองแล้ว เพราะใจเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน จะกำหนดอย่างไรก็ไม่มีใครทราบได้จนกว่าจะแสดงออกมาทางพฤติกรรม

Self-determination ในบริบทของปาเลสไตน์เป็นศัพท์ทางการเมือง หมายถึงการกำหนดอนาคตของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกระบบการปกครองของตนเอง โดยปราศจากอิทธิพลจากภายนอก เป็นสิ่งที่เห็นชัดจากภายนอก ไม่ต้องเข้าไปดูลึกถึงในใจของใคร

ต่างจาก self-determination ในภาษาจิตวิทยา แต่คนไทยก็มักใช้ผิด ๆ เป็นประจำว่า “การกำหนดใจตนเอง” ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่กำหนดไม่ได้เป็นใจ แต่เป็นอนาคต เป็นชะตาของตนเอง.


*****

แฮ้ง

“มารศรี หนังที่ชื่อ เดอะ แฮนโกเว่อร์ นั่นแปลว่าอะไร”

“แฮนโกเว่อร์อะไรของเธอกัน hangover อ่านว่า แฮ้งโหง่เฝ่อร์ จ้ะ มาจาก hang บวกกับ over แปลว่าอาการเมาค้าง เช่นหลังจากคืนที่เธอดื่มหนักไปหน่อย ตอนเช้าเธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับปวดหัวตึ้บนั่นแหละ”

“อ๋อ เหมือนเมื่อเช้านี้ ฉันเข้าใจแล้ว ที่ภาษาไทยเรียกว่า แฮ้ง ไง แต่ถ้าจะให้อ่านเป็น hang + over ทำไมเขาถึงไม่เขียนแยกคำ หรืออย่างน้อยเชื่อมกันด้วยยัติภังค์ก็ยังดี สะกดอย่างงี้ใครจะไปดูออก”

“ภาษาของเขา เขาก็เขียนแบบของเขา ภาษาอเมริกันไม่ค่อยนิยมใช้ยัติภังค์เชื่อมคำ แต่ชอบเขียนติดกันกลายเป็นคำเดียวกัน ต่างจากอังกฤษที่ยังพยายามใช้ยัติภังค์ให้คนอ่านรู้ที่มาของคำบ้าง”

“แล้วฝรั่งเขามีวิธีแก้มั้ย”

“การใช้ยัติภังค์ที่แตกต่างกันระหว่างอังกฤษกับอเมริกันน่ะหรือ คงต่างฝ่ายต่างใช้ที่ตนเคยชินแหละ”

“ไม่ช่าย ฉันหมายถึงวิธีแก้แฮ้งน่ะ”

“อ๋อ เขาก็มีวิธีหนึ่งที่เรียกว่า the hair of the dog (that bit you)”

“ประหลาดจัง ถ้าฉันฟังไม่ผิด นั่นแปลว่า ขนของสุนัข (ที่กัดคุณ) ใช่หรือเปล่า”

“นั่นแหละ ฝรั่งสมัยโบราณเชื่อว่าถ้าเมื่อคืนดื่มมากไป ตอนเช้าก็ควรดื่มเหล้าชนิดเดียวกันกับที่ดื่มเมื่อคืนนี้ คล้าย ๆ วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง”

“แต่ทำไมเรียก hair of the dog ด้วย หมามันเกี่ยวตรงไหน แล้วนี่เราพูดเรื่องความเมาใช่มั้ย ไม่ใช่พูดเรื่องโดนหมากัด”

“พูดเรื่องการเมาค้างนั่นแหละ สำนวนนี้มาจากสมัยโบราณที่เวลาโดนหมากัด เขาให้เอาขนของหมาตัวเดียวกันนั้นสักหยิบหนึ่งไปวางไว้ในแผล เชื่อกันว่าจะป้องกันความชั่วร้ายไม่ให้เข้าทางแผล”

“อ้าว แล้วถ้าเป็นหมาบ้าล่ะ”

“สมัยโน้นถ้าโดน rabid dog กัดก็โอกาสรอดน้อยมาก เพราะไม่มียาฉีดเหมือนสมัยนี้ แต่อย่างน้อยการเอาขนหมาบ้าไปวางไว้ในแผลเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก เพราะไหนจะต้องไล่จับหมาบ้าแล้วถอนขนมันมา
กระจุกหนึ่ง มันคงไม่ยอมง่าย ๆ ดังนั้นถ้าโดนกัดแล้วไม่มีขนหมาบ้ามาโรยใส่แผลก็จะได้ทำใจตั้งแต่เนิ่น ๆ”

“เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ หมาไล่กระต่ายเหรอ rabbit dogอะไรน่ะ”

“rabid dog จ้ะ rabid (แร็บบิด) แปลว่า บ้า น้ำลายฟูมปาก ถ้าเป็นคนก็คือพวกไม่ฟังเหตุผล ปักใจเชื่อแต่เรื่องของฝ่ายตัวเองชนิดโงหัวไม่ขึ้น แล้วก็พยายามเผยแพร่ให้คนอื่นเชื่อตาม”.

หนังสือ “ฟอไฟฟุดฟิดอังกฤษอเมริกัน” เล่ม 1-6 รวมซีดี ลดจาก 600 เหลือ 550 บาท หรือถ้าไม่เอาซีดีก็เพียง 480 บาท ส่ง EMS ฟรี ส่งธนาณัติสั่งจ่ายนายเสาวพจน์ ศรีวลี 20/1 ซอยอินทามระ 7 ป.ณ. สามเสนใน กท. 10400 หรือเข้าบัญชี ธ.กรุงเทพ หมายเลข 111-4-02764-0 แฟกซ์ใบสั่งจ่ายไปที่ 02-616-8215 อย่าลืมเขียนชื่อ-ที่อยู่นะครับ เว็บไซต์ผม //boonhod.com อีเมลผม boonhod@hotmail.com

****

Credit : //www.dailynews.co.th


โดย: เตยจ๋า วันที่: 1 มิถุนายน 2554 เวลา:8:53:50 น.  

 
Pimp

คุณ Dajim อีเมลมาถามว่า “ผมเจอคำว่า pimp your boob ในนิตยสารฉบับหนึ่ง ซึ่งคำว่า pimp จริง ๆ เขาหมายถึงแมงดาที่เกาะผู้หญิงกิน แต่คำว่า pimp ในบริบทนี้หมายถึงอะไรครับ”

เอ ไม่ทราบว่าคุณ Dajim ไปอ่านนิตยสารแนวไหนถึงเจอสำนวนแบบนี้นะครับ แต่ก็เอาเถอะ สงสัยจะเป็นแนวเดียวกับที่ผมเคยอ่านเพื่อความรู้ที่ต้องห้ามบางอย่าง

ถ้าคุณอ่านคอลัมน์ผมอย่างสม่ำเสมอไม่พลาดก็จะทราบว่าผมเคยอธิบายวิธีการใช้ pimp เป็นกริยาแล้ว เช่นใน Pimp My Ride รายการชื่อดังทาง MTV

แต่สำหรับคุณผู้อ่านส่วนใหญ่ที่อ่านคอลัมน์ของผมแบบผ่าน ๆ ก่อนที่จะนำมันไปรองกรงนก คำว่า pimp (พิ่มพ) ถ้าเป็นนามแปลว่า แมงดา ที่เป็น “เอเย่นต์” สำหรับผู้หญิงหากิน โดยนอกจากจะปอกลอกผู้หญิงที่อยู่ในอาณัติของตนแล้ว ยังอาจทำหน้าที่โฆษณา คุ้มครองอารักขา สงวนพื้นที่หากินของผู้หญิงเหล่านั้น ฯลฯ เพื่อแลกกับค่าหัวคิวจากพวกเธอ

ที่น่าสนใจคือว่าในประเทศสหรัฐอเมริกา อาชีพแมงดากำลังเสี่ยงต่อการหายสาบสูญไปจากสังคม อันเป็นผลจากความนิยมแพร่หลายของอินเทอร์เน็ต

นั่นก็เพราะว่าหน้าที่ “ตัวกลาง” ของแมงดาหมดความจำเป็นแล้วในยุคที่ทุกคนสามารถโฆษณาหาลูกค้าได้ด้วยตัวเองทางอินเทอร์เน็ตโดยแทบไม่มีต้นทุน ไม่ต้องไปเสี่ยงยืนตามมุมถนนเพื่อหาลูกค้าอีกต่อไป จึงเกิดปรากฏการณ์ disintermediation (ดิสซินเทอร์มีดีเย้ฉึ่น) ขึ้นมา โดยแมงดาที่เคยเป็น intermediary (อินเทอร์มี้ดิแหย่หรี่) = ตัวกลาง หมดหน้าที่ความจำเป็นไป

พวกเราที่ไม่คุ้นกับวิถีชีวิตโสเภณีอเมริกันอาจจะนึกในใจว่า เชอะ เป็นโสเภณีจะเอาอินเทอร์เน็ตไปทำอะไร แบบเดียวกันกับที่คิดเกี่ยวกับการให้ชาวไร่ชาวนามีโทรศัพท์มือถือ จักรยานยนต์ หรือรถกระบะ ว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย แต่จริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้กลับทำให้พวกเขามีพลังขึ้น ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นน้อยลง

ส่วน pimp ที่เป็นกริยา ก็เป็นสแลงแปลว่า ตกแต่งให้สวยงาม เช่น pimp my ride = ตกแต่งรถของฉัน และจากตัวอย่างของคุณ Dajim ถ้าเป็น pimp your boob ก็แปลว่า ตกแต่งนมของคุณ (แต่คุณแน่ใจหรือครับว่าเป็น boob = นม (หนึ่งข้าง) ไม่ใช่ boobs = นม (อย่างน้อยสองข้าง)

“ผมเคยเห็นชื่อหนังสือในเว็บ amazon ชื่อว่า Water for Elephants ถ้าแปลตรงตัวจะหมายถึงน้ำให้ช้างกิน แต่คำนี้มีความหมายในเชิงสำนวนหรือเปล่าครับ”

***
Credit : //www.dailynews.co.th


โดย: เตยจ๋า วันที่: 3 มิถุนายน 2554 เวลา:23:03:38 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Turtle Came to See Me
Location :
พัทลุง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]





★ที่มา ล็อกอิน ★Turtle Came to See Me ★( บทกวี Poem )
เป็นหนังสือ สำหรับเยาวชน
★Turtle Came to See Me
แต่งโดย :Margrita Engle
★★★★



BlogGang Popular Award #11

BlogGang Popular Award #12
Friends' blogs
[Add Turtle Came to See Me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.