Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
12 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
วาสนาวดี – วิษณุวัจน์ ตอนที่ 5



แม้คราต่อมาองค์ราชกุมารีวาสนาวดียังทรงมิอาจเอาชนะองค์พระยุพราชได้ แต่ผลของธนูก็ดีขึ้นตามลำดับ เจ้าหญิงวาสนาวดีทรงหมายที่จักเอาชนะองค์พระยุพราชให้ได้ จึ่งทรงขอให้องค์พระยุพราชทรงแข่งขันกับพระองค์ทุกสนธยาจนกว่า พระองค์จักได้ชัยชนะ แลเพียงเจ็ดทิวา เจ้าหญิงวาสนาวดีก็ทรงได้ชัยชนะเหนือองค์พระยุพราชสมพระทัยหมาย

“กริชนี้บัดนี้เป็นของเจ้าแล้ววาสนาวดี”

“ด้วยใจจริงหม่อมฉันมิอยากได้กริชล้ำค่านี้เพคะ หม่อมฉันเพียงอยากได้ชัยชนะเหนือพระองค์เพียงเท่านั้น”

“แต่เราหมายให้เจ้า เราพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น”

“แต่หม่อมฉันทราบดีว่ากริชนี้ล้ำค่ายิ่งนัก กริชนี้เป็นของคู่บ้านคู่เมืองแห่งราชคฤห์ หม่อมฉันมิอาจรับไว้ได้หรอกเพคะ ที่หม่อมฉันท้าทายก็ด้วยหมายอยากลองพระทัยพระองค์”

“วาสนาวดี เราให้กริชนี้แด่เจ้าด้วยคิดเสียว่าเป็นรางวัลแห่งความมานะพยายามของเจ้า แลกริชนี้อาจล้ำค่า แต่เจ้าก็ล้ำค่าพอที่จักครอบครองกริชนี้วาสนาวดี”องค์พระยุพราชทรงตรัสด้วยสุรเสียงนุ่มนวล ดวงเนตรที่ทรงทอดพระเนตรมองพระพักตร์โสภาขององค์วาสนาวดี มีแววหวานยิ่ง จนองค์วาสนาวดีมิอาจที่จักสบพระเนตรนั้นได้

“โปรดรับกริชนี้เถิดวาสนาวดี”องค์พระยุพราชทรงตรัสพลางคว้าพระหัตถ์งามขององค์วาสนาวดีขึ้นมา แลวางพระกริชลงบนหัตถ์นั้น

“มิมีสิ่งใดที่จักล้ำค่าเท่าเจ้า แลความมานะที่เจ้ามีอีกแล้ววาสนาวดี แม้กริชนี้ก็ยังมีค่าน้อยนัก แลเมื่อเจ้ารับไปแล้วโปรดดูแลให้ดีเหมือนที่เราดูแล เพราะกริชนี้นั้นเป็นดั่งตัวแทนแห่งเรา”

เจ้าหญิงวาสนาวดีทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรพระพักตร์คมเข้มของเจ้าชายวิษณุวัจน์ ด้วยแต่แรกหมายที่จักปฏิเสธแต่เมื่อได้สบพระเนตรเว้าวอนนั้นแล้วไซร้ความตั้งพระทัยแต่แรกก็ดูเหมือนทลายลง

“เพคะ”พระองค์หญิงได้แต่ตรัสสั้น ๆ แลรับกริชนั้นมาแนบพระอุระอย่างทะนุถนอม เมื่อองค์พระยุพราชทรงทอดพระเนตรเห็นกริยาอาการ แลพิศดูพระพักตร์งามล้ำที่บัดนี้เจือสีแดงระเรื่อ ก็ทรงแย้มยิ้มอย่างเอ็นดู

*****************************
เสียงพิณแผ่วพลิ้ว ราวหยอกล้อกับมวลบุปผชาติที่ต้องพระพาย สายธารแห่งสระสราญเกิดเป็นคลื่นพราวระยับ รับกับเสียงบรรเลงอันอ่อนหวานแห่งเสียงเพลงพิณ

วิสาขาเพ่งพินิจพิจดูองค์จอมขวัญแห่งพาราณสี ที่ทรงบรรเลงเพลงเสนาะนั้นอย่างแปลกใจ เสียงเพลงนั้นหวานล้ำอย่างที่มิเคยได้สดับมาก่อนจากหัตถ์อันเชี่ยวชาญการดนตรีนี้ สายพระเนตรแห่งองค์เยาวมาลย์มิได้จับจ้องอยู่ที่พิณในหัตถ์ แต่กลับทอดพระเนตรมองไปยังพระกริชงามที่วางอยู่เบื้องข้างแห่งพระองค์ บางคราก็ทิ้งสายพระเนตรไปยังสายธารา ของสระสราญที่ขุดผ่านมายังสวนขวัญแห่งนี้

“เสียงเสนาะแห่งเพลงพิณวันนี้ ช่างแตกต่างกับทุกครานัก หม่อมฉันฟังแล้วรู้สึกวาบหวาม อิ่มใจยิ่งเพคะ” วิสาขากล่าวบอกเมื่อองค์ราชกุมารีทรงบรรเลงเพลงพิณสิ้นแล้ว

“แล้วทุกคราเพลงของเราเป็นเช่นไร”องค์ราชกุมารีทรงตรัสถาม แววพระเนตรงามใสมีแววข้องพระทัยยิ่งนัก

“ทุกคราเสียงบรรเลงจากพระองค์มีแววเศร้าสร้อย ไพเราะแต่เศร้าสร้อย ระคนไปด้วยความเหงาเพคะ”

“เป็นเฉกเช่นนั้นหรือพี่วิสาขา เสียงเพลงพิณนั้นคงมาจากเบื้องลึกในใจของเรา บางคราเราแสนเหงาแลเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินกับชีวิตในกำแพงแก้วนี้” พระองค์หญิงตรัสแล้วก็ทิ้งสายพระเนตรมองข้ามผ่าน เขตรั้วกำแพงแห่งราชฐานออกไป

“แล้วเหตุใดวันนี้เพลงพิณจึ่งเจือกระแสแววหวานยิ่งเพคะ อันเบื้องลึกในพระหทัยของพระองค์วันนี้เป็นเช่นไร หากหม่อมฉันมิรู้มาก่อนคงคิดว่า พระองค์ทรงกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งรัก”

เมื่อพระองค์หญิงทรงได้สดับคำของพระพี่เลี้ยงที่บัดนี้นั่งยิ้มพรายมองพระองค์อยู่นั้น ก็พลันชาวูบในพระทัย

โอ้ ด้วยเหตุใดพี่วิสาขาจึงคิดเช่นนั้น แลเหตุใดเล่าเราจึงมิรู้ตัวว่าเหตุใดเราจึงบรรเลงพิณได้แตกต่างจากเดิมยิ่งนัก

“คงเพราะข้าอารมณ์ดีกระมัง วิสาขาพี่กล่าวอะไรแปลกเยี่ยงนั้น อันตัวเราจักไปตกห้วงแห่งรักอะไรอย่างที่พี่ว่า”วาสนาวดีทรงพยายามตรัสด้วยสุรเสียงกร้าวแข็ง

“ถ้าเป็นเช่นนั้น หม่อมฉันคงคาดเดาว่า เหตุแห่งพระสำราญของพระองค์คงเกิดจากกริชงามนั้น เอ..หรือหม่อมฉันจักคาดเดาผิดแท้จริงอาจเกิดจากเจ้าของกริช มิใช่กริช”วิสาขากล่าวแล้วก็ลอบหัวเราะเบา ๆ แลเมื่อองค์วาสนาวดีทรงได้ฟังคำหยอกเย้านั้นก็พลันรู้สึกร้อนพระพักตร์ สีพระพักตร์เปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ ทันที

“พี่พูดอะไรข้าไม่เห็นเข้าใจ หากข้าจักอารมณ์ดีก็คงเกิดจากที่ข้าได้ชัยชนะจนได้กริชนี้มาครอบครอง ไม่ได้เกิดจากคนให้กริชนี้สักหน่อย พี่ก็รู้ว่าข้าเกลียดเจ้าของกริชนี้มากแค่ไหน”ว่าแล้วองค์วาสนาวดีก็ทรงลุกขึ้นจากพระอาสน์ สะบัดพระพักตร์งามล้ำอย่างมิพอพระทัยก่อนที่จักดำเนินออกไปจากสวนขวัญ แต่มิวายพระองค์ยังทรงคว้ากริชนั้นติดพระหัตถ์มาด้วย

***********************
ณ ริมชายป่านอกตัวเมืองแห่งพาราณสี อัสดรสามตัวเดินเรียงกัน อันตัวกลางเป็น อัสดรสีเศวตผู้ที่อยู่เหนืออานสวมอาภรณ์สีน้ำตาลหม่น” คลุมดวงหน้าจนเหลือเพียงดวงตาดูจากรูปร่างลักษณะคงคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นหนุ่มน้อยที่กำลังเจริญวัย ส่วนอัสดรอีกสองตัวนั้นผู้ขี่เป็นชายหนุ่มร่างกำยำสวมอาภรณ์ราวกับเป็นนักเดินทางจากแดนไกล ดวงหน้าถูกปกปิดด้วยผ้าหนาสีเข้มเหลือแต่ดวงตาเช่นกัน

“เราจักไปไหนกันพะยะค่ะพระองค์หญิง นี่ก็ไกลออกจากตัวเมืองมากแล้ว”

“ไม่รู้ เราแค่อยากขี่ม้าไปเรื่อยๆ มีที่ไหนสวยงามพอที่จักให้เราชมบ้างหรือไม่เปรมัษ เจ้าแนะนำมาซิ”

“หม่อมฉันนึกมิออกในเวลานี้พะยะค่ะ หากแต่ใกล้ๆ นี้ มีเชิงผาอยู่แห่ง ซึ่งพระองค์จักทรงสามารถทอดพระเนตรทิวทัศน์อันถ้วนทั่วแห่งพาราณสีได้จากผาแห่งนี้พะยะค่ะ”

“ก็น่าสนใจยิ่งนัก เจ้านำเราไปเถิดเปรมัษ”เมื่อสิ้นพระเสาวนีย์แห่งพระองค์หญิง เปรมัษก็เตือนม้าให้นำเสด็จไป แลกล่าวสั่งองครักษ์อีกนายให้คอยตามเสด็จ ณ เบื้องพระปฤษฎางค์

เมื่อทรงเสด็จมายังเชิงผานั้นสมเด็จพระองค์หญิงก็ทรงประทับบนหลังอัสดรทอดพระเนตรมองไปยังความงดงามแห่งพาราณสีเบื้องล่าง แต่มินานนักก็มีเสียงฝีเท้าของอัสดรอีกตัวดังมาเบื้องหลังของทั้งสาม แลเมื่อได้ยินดังนั้น เปรมัษแลองครักษ์ ก็รีบหันไปยังต้นเสียงนั้นทันใดอย่างระแวดระวัง

อัสดรสีนิลเข้ม รูปลักษณะสวยงามยืนนิ่งสถิตอยู่ บนหลังอาชาไนยนั้นมีบุรุษรูปร่างกำยำสวมอาภรณ์มิต่างจากเปรมัษและองครักษ์นัก ผ้าที่ปกปิดดวงหน้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม เหลือเพียงดวงเนตรวาวแววไว้ แลเมื่อองค์นงลักษณ์ทรงทอดพระเนตรชายผู้นั้น แม้เพียงเหลือแต่ดวงเนตรก็ทรงจำได้ทันทีว่าบุรุษผู้นี้คือใคร

“เหตุอันใดพระองค์จึ่งเสด็จตามหม่อมฉันมา”สุรเสียงกังวานใสกล่าวตวาดอย่างมิพอพระทัย ส่วนบุรุษบนหลังอาชาไนยสีนิลแม้มิเห็นพระโอษฐ์แต่ก็รู้ได้จากดวงเนตรว่าทรงสรวลอยู่

“ใครว่าเราตามเจ้ามา เราออกมาท่องเที่ยวตามปรกติของเราต่างหาก เพียงแต่เมื่อเราผ่านมาเราเห็นเจ้าสามคนขึ้นมาบนผานี้ดูแปลกนักเลยตามขึ้นมา”

“แล้วนี่พระองค์ทรงปลอมตัวออกมาท่องเที่ยวหรือเพคะ”สมเด็จพระองค์หญิงทรงทอดพระเนตรมองไปยังอาชาไนยแห่งสมเด็จพระยุพราช พลางแย้มสรวลจาง ๆ

“คงมิมีผู้ใดแปลกใจเมื่อยามพบเห็นพระองค์ จักมี แพศย์ ศูทร จัณฑาล ผู้ใดเล่าจักทรงอาชาไนยรูปลักษณะงาม เช่นนิลพันธ์ หากพระองค์จักทรงปลอมแปลงตน คราหน้าอย่าได้ทรงนิลพันธ์ออกมาเลยเพคะ เพราะเช่นไรพระองค์ก็จักตกเป็นเป้าสายตาแห่งประชาชีอยู่ดี”ด้วยวจนะวาจาอันเย้ยหยันแห่งสมเด็จพระองค์หญิง ทำให้องค์พระยุพราชทรงสรวลก้อง

“เจอเจ้าทีไรเจ้าหาวาจามาทิ่มแทงหทัยเราได้ทุกครั้งไปวาสนาวดี ท่าทางเจ้าจักสนุกหากได้ติเรา”

“หม่อมฉันมิได้ติ แต่แค่แนะนำ”

“เราขอน้อมรับคำแนะนำนั้นจากเจ้าแล้วกันวาสนาวดี จริงแท้เราแค่ออกมาเพื่อพานิลพันธ์เที่ยวเล่น มิคาดคิดว่าในป่าเขาจักมีผู้คนมากมายนัก แลมิคาดคิดว่าในป่าเขาแห่งพาราณสีจักมีองค์หญิงผู้ซุกซนมาเที่ยวเล่นอยู่ด้วย”

เมื่อพระองค์หญิงได้สดับคำหยอกล้อก็ทรงทำทีหันพระพักตร์อย่างเบื่อหน่ายเพ่งพินิจทอดพระเนตรมองออกไปยังขอบฟ้าเหนือผานั้น เมื่อองค์พระยุพราชทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ ลอบทำสัญญาณให้เปรมัษแลองครักษ์หลบออกไป

***************************
องค์พระยุพราชทรงปลดผ้าคลุมพระพักตร์ออก แลเตือนอาชาไนยขึ้นไปเคียงกับอาชาแห่งสมเด็จพระราชกุมารี เมื่อองค์พระราชกุมารีทรงรู้สึกพระองค์ก็เหลียวทอดพระเนตรไปรอบ ๆ ก็มิเห็นราชองครักษ์แห่งพระองค์เสียแล้ว

“องครักษ์ของหม่อมฉันไปไหนเพคะ”

“เราสั่งให้หลบไปเอง”

“พระองค์มีสิทธิ์อันใดมาสั่งองครักษ์หม่อมฉัน”เมื่อทรงตรัสตำหนิองค์พระยุพราชแล้ว องค์พระราชกุมารีก็หมายจักทรงเรียกหาองครักษ์คู่พระทัย แต่สุรเสียงกังวานแห่งสมเด็จพระยุพราชทรงสกัดไว้ก่อน

“วาสนาวดี เราหมายจักพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว ขอเวลาจากเจ้าเพียงมินานจักได้หรือไม่”เมื่อองค์ราชกุมารีทรงสดับสุรเสียงหวานเว้าวอนนั้น พระองค์ก็เพ่งพินิจพลางสูดพระอัสสาสะเข้าอย่างตัดสินพระทัย

“พระองค์มีกิจอันใดกับหม่อมฉัน”ตรัสแล้วองค์พระราชกุมารีก็ทรงบ่ายพระพักตร์กลับไปทอดพระเนตรยังท้องนภาเช่นเดิม พลางปลดผ้าคลุมพักตร์ออก แสงสุรีย์ศรียามอัสดงสะท้อนวงพักตร์นั้นให้ยิ่งงดงาม องค์พระยุพราชทรงทอดพระเนตรมอง จนมิอาจละสายพระเนตรได้ พระโลมาจักษุงอนช้อยต้องแสงสีทองแห่งสุริยา พระปรางค์ผ่องพรรณนั้นดูอิ่มเอิบยิ่งนักในยามนี้

“ใยพระองค์ทรงมิกล่าวอันใด”องค์พระราชกุมารีผู้เลิศลักษณ์ทรงกล่าวทักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นนิ่งเงียบไปอย่างมิมีสาเหตุ

“วาสนาวดี เจ้ารู้ไหมว่าบัดนี้เรานึกว่าผู้ที่เรามองอยู่นี้เป็นองค์พระแม่ลักษมี ทรงมาประทับอยู่เคียงเรา อันความงามของเจ้านั้นเรามิอาจเปรียบกับสิ่งใดได้อีกนอกจากพระแม่ผู้เลอลักษณ์”

“หม่อมฉันมิได้พอใจในคำกล่าวยอของพระองค์ ด้วยหม่อมฉันมิเคยพึงใจในรูปลักษณ์ของหม่อมฉันเองเลยสักครา”

“ด้วยเหตุใดเล่าวาสนาวดี”

“อันความงามนั้นเปรียบได้ดังอาวุธร้าย จักนำพาภยันอันตรายมายังเจ้าของรูปโฉมอันโศภิต บางคราลักษณางามล้ำก็ปิดกั้นหัวใจของผู้อื่นให้มองเห็นเพียงแต่รูปโฉมภายนอกที่ปรากฏเพียงสายตาเพคะ”

“วาสนาวดีใยเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่า อันทุกสิ่งในโลกหล้าต่างก็มีทั้งสิ่งดีและเลวอยู่รวมกัน แม้กระทั่งความงามที่เจ้ามี มันมิได้ส่งผลเลวร้ายให้เจ้าเพียงเช่นเดียวหรอก”

“แต่อันความงามที่เลิศลักษณา ก็นำพาโชคร้ายมาสู่พระพี่นางของหม่อมฉัน หม่อมฉันมิอยากเป็นเฉกเช่นพระพี่นาง แลหม่อมฉันก็มิอยากถูกมองเป็นเพียงสตรีงามล้ำที่ไร้ปัญญามีหน้าที่เพียงประดับบารมีของผู้ใด”

“เรามิเคยมองเจ้าเช่นนั้น เจ้ามิใช่แค่ราชกุมารีแห่งพาราณสีผู้ที่ผู้คนเล่าลือทั่วตรีภพว่าเลอลักษณ์ยิ่ง แต่เจ้าเป็นยิ่งกว่าราชกุมารีผู้โสภา เจ้างดงามทั้งจริยวัตร ปัญญา เจ้าเก่งกล้า แลที่สำคัญยิ่งความงามในจิตใจของเจ้านั้นโสภาเสียยิ่งกว่ารูปลักษณาภายนอกของเจ้าเสียอีกวาสนาวดี”

เมื่อสิ้นสุรเสียงทุ้มนุ่มแห่งองค์พระยุพราชแล้ว องค์ราชกุมารีก็ทรงหันพระพักตร์มาทรงพิศ เจ้าของวาจานั้น สายพระเนตรแห่งองค์พระยุพราชแม้แวววาวแต่กลับมั่นคงยิ่ง ทรงทอดพระเนตรมองนิ่งยังดวงเนตรคมแห่งองค์พระราชกุมารี ทรงสงบนิ่ง ก่อนที่จักทรงตรัสด้วยสุรเสียงหวานนุ่ม
.
.

“วาสนาวดี บัดนี้ดวงใจของเรามิอาจเป็นดวงใจของเราแต่เพียงผู้เดียวแล้ว เพราะบัดนี้ในดวงใจของเรามีแต่เจ้าอยู่เต็มดวงหทัย เจ้าจักรังเกียจหรือไม่หากจะรับหัวใจรักของเรา”

เมื่อองค์วาสนาวดีทรงได้สดับคำหวานล้ำนั้น ก็พลันตกพระทัยนิ่ง ด้วยมิคาดคิดมาก่อนว่าจักทรงได้ยินวาจาเช่นนี้จากบุรุษใด

“พระองค์รักหม่อมฉันด้วยเหตุอันใด เพราะหม่อมฉันคู่ควรกับพระองค์ หรือเพราะความงามของหม่อมฉัน”เจ้าหญิงวาสนาวดีตรัสตอบกลับไป แม้ในดวงหทัยแห่งพระองค์นั้นบัดนี้จะรัวลั่นอย่างมิทรงเคยเป็นมาก่อน

องค์พระยุพราชทรงสบพระเนตรคมนั้นและค่อย ๆ วางพระหัตถ์แนบอุระของพระองค์

“อันหญิงงามเลิศล้ำมากมายข้าได้พานพบมาแล้ว แต่เราก็มิเคยมอบใจรักให้แก่ผู้ใด หากเจ้าถามเราว่าเหตุใดเราจึงรักเจ้า เราตอบได้เพียงว่ามิใช่เพราะเจ้าเป็นวาสนาวดีเทวี ราชกุมารีแห่งพาราณสี มิใช่เพราะเจ้าเลิศโสภา แต่เรารักเจ้าที่ดวงหทัยของเจ้า เรารักเจ้าที่เป็นเจ้า เจ้าที่เรามิอาจหาผู้ใดมาเปรียบ ต่อให้เจ้าเป็นนางทาสีมิได้เป็นราชกุมารีแล้วไซร้เราก็เชื่อว่าเรายังรักเจ้าวาสนาวดี”

ประโยคหวานล้ำแต่มั่นคงแห่งองค์พระยุพราชนั้น เมื่อองค์วาสนาวดีได้สดับฟังก็พลันนิ่งอึง ด้วยหทัยหนึ่งก็ปลาบปลื้ม ส่วนอีกหทัยก็สุดแสนโทมนัสด้วยผู้ที่กล่าวประโยคนั้นคือองค์วิษณุวัจน์ ผู้ที่ราชกุมารีวาสนาวดีเคยทรงคิดว่ามิอาจให้อภัยได้มิว่ากรณีใด แลที่สำคัญยิ่งเสด็จพระองค์หญิงทรงตั้งมั่นที่จักปฏิเสธบุรุษทุกคนในหล้า

แต่เหตุอันใดเล่าเมื่อได้สดับรับสั่งนั้นแล้วไซร้ พลันก็ทำให้ดวงพระหทัยอ่อนยวบ จนต้องเมินพระพักตร์หนี

“เรารู้ว่าอาจเร็วไปนักที่เจ้าจักกล่าวตอบเราได้ แต่โปรดเถิดวาสนาวดี โปรดใช้หัวใจของเจ้าพิสูจน์เรา อย่าได้ใช้ทิฐิตัดสินเรา หากหัวใจของเจ้าตัดสินแล้วว่ามิอาจรับความรักเราได้เราก็ยินดี แต่อย่าได้กล่าวปฏิเสธเราตอนนี้เลย เพราะเจ้ายังมิได้ให้โอกาสกับหัวใจของเจ้า”

คำตรัสเว้าวอนนั้นเรียกให้เสด็จพระองค์หญิงทรงบ่ายพระพักตร์มององค์พระยุพราชผู้เรืองรณ ณ เบื้องพระพักตร์อีกครา แม้พระโอษฐ์งามจักมิได้ตรัสกล่าวตอบอันใดแก่องค์พระยุพราชแต่ดวงเนตรหวานคม ที่ทอดพระเนตรมองพระองค์นั้น แสดงความหมายได้อย่างดีนัก

แม้บัดนี้มิได้ยอมรับ แต่ก็มิได้ปฏิเสธ..............

******************







Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 13:27:17 น. 0 comments
Counter : 329 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Angels Midori
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Angels Midori's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.