|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เที่ยวเกาะสีชัง หอมกลิ่นดอกลีลาวดีทั่วพระจุฑาธุชราชฐาน
ถิ่นสุขกายสุขด้วย ถิ่นดี จิตรโปร่งปราศราคี ชุ่มชื้น สองสุขแห่งชาวสี- ชังเกาะ นี้แฮ อายุย่อมยืนพื้น แต่ร้อยเรือนริม - พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว -
วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม 2555
ช่วงนี้บ้านเราอากาศเย็นสบาย หยุด long weekend ต่อเนื่องมาจะสิบวันแล้ว แต่ไม่ได้ไปไหนไกล วนเวียน อยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ มากนัก วันนี้มีนัดกับน้องจอย จะไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่เกาะลอย ไหน ๆ เราก็ไปถึงศรีราชาแล้ว เลยต่อทริปด้วยการนั่งเรือข้ามไปเที่ยวเกาะสีชังด้วยเลยดีกว่า ได้ยินความสวยงามของเกาะนี้มาบ้าง แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักครั้ง
ทริปนี้เป็นครั้งแรกก่อนเดินทางเลยต้องเตรียมหาข้อมูลไว้ก่อน ว่าเราจะไปเที่ยวที่จุดไหนบ้างใช้เวลาเท่าไหร่ เพราะทริปของเราเป็น day trip ไม่ได้พักค้างคืนบนเกาะ Highlight ของสีชัง น่าจะเป็นที่พระจุฑาธุชราชฐานที่มีสะพานอัษฎางค์สีขาวทอดยาวจากฝั่งออกสู่ทะเล หลังจากข้อมูลพร้อม เด็กพร้อม เสบียงก็พร้อม น้องจอยมารับเราที่บ้านแต่เช้า เราไปเที่ยวศรีราชกันค่ะ
ถึงศรีราชาแดดกำลังเริ่มแรง แวะนมัสการเจ้าแม่กวนอิมหยกขาว เพื่อเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตเตรียมรับศักราชใหม่ที่ใกล้จะมาถึงเต็มที
ช้างต้นปล่อยปลาไปหนึ่งตัว สนนราคาตัวละ 100 บาท ที่นี่ทำเท่ห์ตรงที่จุดปล่อยปลาเค้าทำเป็นท่อไว้ให้เท ปลาก็จะสไลด์ลงทะเลไปเลย ช้างอยากจะปล่อยหลาย ๆ ถัง แต่แม่ว่าถังเดียวตัวเดียว ถ้าตั้งใจก็ได้บุญเหมือนกันนะลูก
น้องช้างกะพี่จอย...2 คนนี้เค้าออกทริปเที่ยววังกันด้วยความบังเอิญ (วังพญาไท แล้วนี่ก็จะไปพระจุฑาธุชราชฐานอีก ชาติก่อนเป็นชาววังกันรึป่าว)
สำหรับการนั่งเรือไปเกาะสีชัง ค่อนข้างสะดวกแต่อาจไม่ค่อยสบาย (ที่นั่งแคบไปจิ๊ดนุง) ราคาค่าตั๋วคนละ 50 บาท/คน/เที่ยว เรือออกทุกครึ่งชั่วโมง เราไปถึงทันเวลาที่เรือเที่ยวต่อไปจะออกพอดี เลยไม่ต้องนั่งรอนาน ๆ ช้างต้นก็สนุกตื่นเต้นเหมือนเคย ก็จะได้เล่นน้ำทะเลบนเกาะด้วยหนิ he เตรียมพรอพมาเพียบ พร้อมเหมือนตอนไปกระบี่ ขาดก็แต่ไม่ได้เอาเสื้อชูชีพมา กลัวพี่จอยจะว่า ๆ ช้างเยอะเกิ๊นนนน
ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีเราก็ได้มาเดินชิวอยู่บนเกาะสีชังโดยสวัสดิภาพ จากท่าเทียบเรือตรงนี้จะมีรถ skylab (หรือก็คือรถสามล้อดัดแปลงให้มีที่นั่ง 2 ฝั่ง ชื่อมันเท่ห์ชะมัด เค้ามีบริการเหมาทั้งวันพาเที่ยว เจอกลุ่มแรกบอกเหมาทั้งวัน 500 บาท (โขกมว๊าก ๆ แต่อิชั้นหาข้อมูลมาแระ ไม่ให้โขกง่าย ๆ หรอก จริง ๆ แล้วเค้าเหมากันแค่ 250 บาทหรือมากหน่อยก็ไม่เกิน 300 บาทเท่านั้นเอ๊ง )
เดินห่างจากท่าเทียบเรือมานิดนุง เจอหนุ่มน้อยหน้ามนเดินเข้ามาถาม ตั้งราคาไว้ตามข้อมูลที่เราได้มาพอดี เลยใช้บริการน้องเค้าให้พาเราเที่ยวบนเกาะ ตามที่น้องบอกมาเราก็จะไปไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่ก่อน จากนั้นไปจุดชมวิวเขาขาด ต่อด้วยพระจุฑาธุชราชฐาน และไปจบที่หาดถ้ำพัง ทริปเราจะจบประมาณ 5 โมงเย็น (ตอนไปถึงเกาะก็เกือบบ่ายโมงแระ) 5 ชั่วโมงเที่ยวรอบเกาะ เที่ยวแบบทำเวลา..ไว้คราวหน้าค่อยมาชิวกว่านี้ พร้อมแล้วไปทัวร์เกาะสีชังกันเร้ยยยย
รถสามล้อ หรือ Skylab ชื่อจ๊าบคันนี้จะพาเราเที่ยว
จุดแรกแวะไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่ก่อน ถนนหนทางบนเกาะเป็นถนนราดยางทั่วทั้งเกาะ (เท่าที่ได้ผ่าน) เดินทางสะดวกไม่มีดินแดงหรือฝุ่นตลบ อากาศดี ถ้าไม่ติดว่าแดดแรงไปนิ๊ดนุง
ที่นี่ไกด์ skylab จะใช้วิธีพาเรามาปล่อยในแต่ละจุด คุณจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ได้ ถ้าต้องการจะไปต่อให้โทรตาม เค้าจะไม่มานั่งรอเรา เพราะระหว่างที่เราบันเทิงอยู่ในจุดต่าง ๆ เค้าก็จะไปรับลูกค้าทั่วไปด้วย แต่เมื่อไหร่ที่เราโทรเรียก เค้าก็จะมา อาจต้องรอเค้าบ้าง อย่าไปหงุดหงิด บางคนอาจไม่เข้าใจโทรหาตั้งนาน ทำไมมารับช้า เราก็เอาเวลาที่คิดจะหงุดหงิด ไปเดินเล่นถ่ายรูปรอไปพลาง ๆ เดี๋ยวเค้าก็มา
จุดต่อไปที่จะแวะคือจุดชมวิวเขาขาด (แดดมาแรงจัดเต็มมาเลยคราวนี้ ดีที่น้องจอยติดร่มคันโตมา พอจะช่วยให้หายร้อนได้บ้าง ที่นี่ชุดชมวิว วิวสวยจริง ๆ อากาศดี คนก็ไม่เยอะจนเกินไป ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากมาชมวิว ถ่ายรูป เดินดื่มด่ำกะบรรยากาศรอบ ๆ ตัว ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเท่านั้น
ตรงทางเข้าจุดชมวิว มีพี่เข้ยืนยกมือไหว้ต้องรับนักท่องเที่ยว ลูกช้านก็มารยาทงามเหลือเกิน ไหว้ตอบ ไหว้สวยโพด ๆ
สะพานวชิราวุธ ยืนถ่ายรูปอยู่แค่คอสะพานนี่แหละ แดดแรงเว่อร์เดินไปไม่ไหว
ทำเวลา ทำเวลา...ไปต่อที่พระจุฑาธุชราชฐาน คาดว่าเราจะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเป็นชั่วโมง เพราะจะต้องเดินเยอะ มีจุดน่าสนใจเพียบ แล้วก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ พระราชฐานที่นี่ สวย classic และดูอบอุ่น romantic จนบรรยายไม่ถูก เมื่อเดินเข้ามาที่พระราชฐานนี้อากาศดีมาก ๆ แม้จะกว้างใหญ่ แต่อาจเพราะสิ่งปลูกสร้าง สถาปัตยกรรมรอบ ๆ ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นได้อย่างน่าทึ่ง
ที่นี่มีต้นลีลาวดี อายุน่าจะเป็นร้อยปีอยู่แทบทุกตารางนิ้วของพระราชฐาน จุดแรกที่เราต้องมาหรือน่าจะเป็น highlight ของพระราชฐานนี้คือ สะพานไม้สีขาวที่ทอดยาวจากฝั่งออกสู่ทะเล "สะพานอัษฎางค์"
สะพานนี้คนเดินเยอะตลอด หาจังหวะถ่ายภาพแบบไม่ติดนักท่องเที่ยวยากมว๊ากก แต่ก็พยายาม
ก่อนเดินจากสะพานอัษฎางค์ไปเรือนไม้ริมทะเล ในที่สุดก็ได้ภาพปลอดคนที่ทางเดินมาจนได้
จากสะพานอัษฎางค์เดินขึ้นมาไม่ไกล จะเจอเรือนไม้ริมทะเลสีเขียวเด่น (แทบวิ่งเข้าใส่ เพราะที่นี่มีน้ำหวานกะขนมรอเราอยู่) เรือนไม้ริมทะเลมีเครื่องดื่มและขนมปังพร้อมที่นั่งพักเย็น ๆ สบาย ๆ ให้เราพอได้หายเหนื่อยก่อนจะเดินเที่ยวในจุดต่อไป แต่ ณ เรือนไม้นี้ นั่งสบายจนไม่อยากลุกหนีไปไหน แถมน้องที่เป็นพนักงานของที่นี่ก็อัธยาศรัยดีมาก เล่าเรื่องราวและประวัติของพระราชฐานนี้ให้เราฟังแบบเพลินลืมเวลาไปเลย เราใช้เวลาอยู่ที่เรือนไม้ริมทะเลเกือบ 40 นาที
ประวัติของ "เรือนไม้ริมทะเล" สีเขียวหลังนี้ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ไม่ปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าสร้างในปีใด สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรือนพักตากอากาศของชาวต่างประเทศมาก่อน ต่อมาได้มีการปรับปรุงเป็นที่ประทับแรมของพระราชวงศ์ในคราวเสด็จมารักษาพระองค์ ก่อนที่จะมีการสร้างพระจุฑาธุชราฐานในพุทธศักราช ๒๔๓๕ ปัจจุบันเป็นสำนักงาน ส่วนบริการนักท่องเที่ยว และจัดแสดงนิทรรศการสถานที่น่าสนใจในเกาะสีชัง
จากเรือนไม้สีเขียว เดินผ่านเรือนวัฒนา แต่ไม่ได้แวะเข้าไปเดินชม เพราะช้างเริ่มจะง๊องแง๊ง ไม่ค่อยรอให้เราแวะ ใจ he อยู่ที่หาดอยากจะลงน้ำเต็มที
เรือนวัฒนา ใช้จัดแสดงนิทรรศการเหตุการณ์สำคัญในเกาะสีชังสมัยรัชกาลที่ ๕
จากเรือนวัฒนา จะเริ่มเดินไต่ขึ้นเนินขึ้นเขาแระ เหนื่อยเหมือนกัน แต่ทุกคนไม่มีใครบ่น เดินเล่นชมวิวชมไม้ไป สักพักก็เดินมาถึง "เรือนผ่องศรี" เรือนทรงกลม ใช้จัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติและประวัติบุคคลผู้มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับเกาะสีชังในอดีต
มีประวัติต่าง ๆ น่าสนใจน่าอ่าน แต่ไม่ได้อ่านสักบรรทัด ช้างทำเวลามาก ๆ
จากเรือนผ่องศรี ขึ้นเนินต่อไปอีกไม่ไกล ก็ถึง "พระเจดีย์อุโบสถวัดอัษฎางคนิมิตร" พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๕ แทนวัดปลายแหลมที่มีมาแต่เดิม ตัวพระอุโบสถเป็นอาคารรูปกลมมีเจดีย์ทรงลังกาซ้อนอยู่ข้างบน ลักษณะแปลกอีกประการหนึ่งคือ มีการประดับตกแต่งตามศิลปะแบบโกธิก กล่าวคือ ประตูและหน้าต่างเป็นรูปโค้งยอดแหลม ช่องแสงประดับด้วยกระจกสีเป็นลวดลาย
หลังจากเข้าไปกราบพระแล้ว พลิกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดู โห...เราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกือบ 2 ชม. เลยรีบโทรหาน้อง skylab ให้มารับเราไปหาดถ้ำพัง เดี๋ยวเด็กมีเวลาเล่นน้ำน้อยแล้วจะยิ่งงอแง...
ที่หาดวันนี้คนเยอะน่าดู มีเตียงผ้าใบและอาหารบริการ หาดถ้ำพังเป็นหาดเล็ก ๆ ไม่กว้าง ถ้าเทียบกับปริมาณคนที่มาเที่ยวพักผ่อน เลยทำให้ที่นี่ดูแคบไปอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอาหารรสชาดใช้ได้ ราคาไม่ถูกแต่ไม่แพงเกินไป เสียอย่างเดียว แมลงวันเยอะมากถึงมากที่สุด ต้องกินแข่งกับเวลาในช่วงที่อาหารยังร้อน เพราะถ้าอาหารไม่ร้อนเมื่อไหร่ กองทัพแมลงวันจะบุกโต๊ะเราทันที
ก่อนจะออกจากหาดถ้ำพัง แวะเดินไปถ่ายรูปตรงจุดที่เป็นเนิน จะเห็นเวิ้งอ่าวของหาดถ้ำพัง
เรากลับมาที่ท่าเทียบเรือ และทันขึ้นเรือเที่ยว 6 โมงเย็นพอดี ออกจากเกาะด้วยความสนุกสนาน ปนความเหนื่อยเพราะทริปนี้เราเดินเยอะจริง ๆ และเราต้องเที่ยวแข่งกับเวลาเพียงครึ่งวันที่มี แต่เป็นทริปที่สนุกมาก ๆ ค่ะ
bye bye
Create Date : 20 มกราคม 2556 |
Last Update : 20 มกราคม 2556 12:28:58 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1805 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ุอุ้ม (oumaim_pinkzz ) วันที่: 20 มกราคม 2556 เวลา:22:34:10 น. |
|
|
|
|
|
|
|