เก็บจากหนังสือมาเล่า..เรื่องกัมมันตภาพรังสี
เก็บจาำกน้ำลายอิลุงมาเล่าอีกแล้วจ้ะ หลังๆนี้อิลุงระดมอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องสารกัมมันตภาพรังสีเลยอ่านเรื่อยย้อนไปถึงไหนต่อไหน พออ่านจบก็มาเล่าเป็นวิทยาทานให้อิป้าสมองตุ่นๆข้างตัวอ้าปากฟังหวออีกที หนังสือที่ลุงอ่านก็มาจากนักเขียนคนเดิมจากที่เคยเล่าไว้ในตอนที่แล้ว "Professor Kunihiko Takeda" ผู้ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์และเชี่ยวชาญเรื่องยูเรเนี่ยมและรีไซเคิล อยากทราบประวัติท่านก็สามารถค้นหาอ่านได้จากอากู๋ค่ะ
เรื่องที่เก็บมาเล่าต่อไปนี้ กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านและความเชื่อเช่นเดิมค่ะ อย่าเครียดๆ ถือซะว่าอ่านเอาสนุุกละกันนิ..
การเล่าอาจไม่ต่อเนื่อง กระโดดข้ามไปข้ามมาตามแต่คนเขียนจะนึกได้ อ่านแ้ล้วให้สับสนงงงวยก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยจ้ะ
มาเริ่มกันด้วยเรื่องสารกัมมันตภาพรังสี..
แร่ยูเรเนี่ยมที่ถูกนำมาใช้เพื่อสงครามในรูประเบิดนิวเคลียร์นั้นเดิมแล้วเยอรมันเป็นผู้คิดค้น แต่อเมริกากลับเร่งตัดหน้าผลิตอาวุธออกมาเพื่อให้ทันใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองโดยนำไปใช้ที่ฮิโรชิม่ากับนะงะซะกิ และเมื่อประสบความสำเร็จในการใช้อาวุธนิวเคลียร์กับสองแห่งนั่นแล้วอเมริกาก็นำพลังงานนิวเคลียร์นี้ไปใช้ในทางสงครามอีกต่อไป โดยใช้เป็นเชื้อเพลิงปฏิกรณ์ปรมาณูเพื่อขับเคลื่อนเืรือดำน้ำ เรือรบขนาดใหญ่ที่บรรทุกเครื่องบินเพื่อแสนยานุภาพ เพราะใช้พลังงานตัวนี้แล้วสามารถขับเคลื่อนไปได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องเสียเวลาแวะเติมเชื้อเพลิงอื่นใดอีกเรียกว่าทั้งทุ่นเวลา ทุ่นเงิน ครั้งแรกนั้นนำไปใช้กับเรือดำน้ำของกองทัพเรือสหรัฐ ซึ่งไอ้เจ้าเรือดำน้ำนี่ไปโผล่ที่ไหนก็ได้ในโลก สามารถยิงขีปนาวุธข้ามทวีปหรือขีปนาวุธพิสัยไกล (ICBM>>Intercontinental Ballistic Missile) เข้าทำลายเป้าหมายจากระยะไกลได้้ คุ้มเสียขนาดนี้แล้วจะไม่ใช้พลังงานนิวเคลียร์นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายน้ำลายหก ถึงแม้จะต้องแลกกับการต่อต้านจากคนทั่วไปในโลกที่ไม่ยอมรับกับการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้เพราะเห็นผลเสียหายร้ายแรงที่เกิดขึ้นก็ตาม
ในเมื่ออเมริกายังต้องการใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อการสงคราม ซึ่งตอนนั้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองแ้ล้วก็มาเป็นสงครามเวียดนาม ฮึ่มๆกันกับรัสเซีย มันก็จำเป๊น..จำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานนี่ต่อไปเพื่อความเป็นเจ้ายุทธจักร แต่ไอ้จะเพิกเฉยต่อเสียงของคนทั้งโลกมันก็จะกระไรเลย จึงชดเชยบาล้านซ์ผลเสียซะด้วยการนำพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ในทางที่มีประโยชน์อย่างอื่นที่ไม่ใช่ในการสงครามอย่างเดียว นั่นคือนำไปใช้กับโรงงานไฟฟ้าเพื่อผลิตกระแสไฟที่เป็นที่ต้องการของคนทั้งโลกนั่นเอง..
อันว่าโรงงานไฟฟ้านั้นเดิมทีแล้วต้องใ้ช้เชื้อเพลิงพวกถ่านหิน น้ำมัน แก๊ส มากมายเื่พื่อหมุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า อีกทั้งยังต้องใช้พื้นที่ใช้สอยสิ้นเปลือง แต่ถ้าใช้แร่ยูเรเนี่ยมแทน ตัวรง.ก็จะใช้พื้นที่น้อยกว่า ให้พลังงานมากมายกว่า แต่ก็อันตรายกว่าเช่นกัน ซึ่งถ้าเปรียบเทียบปริมาณยูเรเนี่ยมที่มีในโลกกับเชื้อเพลิงอื่นๆแล้ว ยูเรเนี่ยมมีปริมาณน้อยกว่ามากๆ(แล้วก็ย้างงงง สรรหาไปนำมันมาใช้กันเนอะ)
เนื่องจากเทคโลโนยีที่่อยู่ในระดับแนวหน้าของญี่ปุ่น ทำให้ทั่วโลกมองว่าญี่ปุ่นนั้นสามารถผลิดระเบิดปรมาณูได้อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ แต่จากผลของสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ญี่ปุ่นไม่สามารถมีกองกำลังเพื่่อสงครามอีกต่อไป คงไว้ได้เฉพาะกองกำลังรักษาความสงบในประเทศเท่านั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีระเบิดนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง และเนื่องจากผลของระเบิดนิวเคลียร์ที่ตัวเองประสบมา ทำให้ดวงตาเห็นธรรมว่าโลกนี้่สมควรจะอยู่อย่างสงบไร้ซึ่งสงคราม ญี่ปุ่นจึงไม่ผลิดอาวุธนิวเคลียร์ใดๆ แต่อ๊ะๆ.. ที่ฉันไม่มีอาวุธนิวเคลียร์นี่มิใช่ว่าฉันเหลวเป๋วทางด้านเทคโนโนยีนะจ๊ะ ว่าแล้วก็มุ่งเป้าหมายไปที่โครงการดาวเทียม นู่น..ออกนอกโลกไปเลย แต่ถึงไ่ม่ผลิตอาวุธสงครามนิวเคลียร์ ญี่ปุ่นเองก็นำแร่ยูเรเนี่ยมมาใช้ทำประโยชน์ในทางผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งมีโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นมีถึง 54 แห่งด้วยกัน นับว่าเป็นการนั่งทับระเบิดเวลาไว้โดยแท้ จนถึงวันที่ระเบิดลูกหนึ่งใน 54 ลูกนั่นระเบิดตูมขึ้นมาที่ฟุกุชิมะ อีก 53 แห่งของโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์จึงถูกระงับการใช้งานไปด้วย ณ ปัจจุบัน
เมื่อนำยูเรเนี่ยมไปใ้ช้ในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าแล้วก็จะเกิดพลูโตเนี่ยมขึ้นมา ซึ่งพลูโตเนี่ยมก็สามารถนำไปใช้ในกระบวนการผลิดกระแสไฟฟ้าได้เหมือนกัน ต่างกันที่ว่าเจ้าพลูโตเนี่ยมไม่สามารถทำลายได้ ยูเรเนี่ยมยังนำไปฝังเืมื่อเลิกใช้และรอเวลาให้เสื่อมสภาพไป แต่พลูโตเนี่ยมมีช่วงชีวิตที่ยาวนานกว่ามาก การใช้แร่ยูเรเนี่ยมจึงต้องพยายามคิดค้นให้จบกระบวนการของพลูโตเนี่ยมให้ได้ คือจะทำอย่างไรกับพลูโตเนี่ยมที่เกิดขึ้นมา ไม่แน่..อีกสิบปีข้างหน้านี่ญี่ปุ่นอาจเป็นแหล่งที่เก็บพลูโตเนี่ยมมากที่สุดในโลกก็ได้ ถ้ายังเปิดทำการโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ก็เล่นมีถึง 54 แห่ง..
เทคโนโลยี..มีทั้งคุณและโทษถ้าไม่สามารถควบคุมได้ มองมาถึงจุดนี้แล้วนึกไปถึงคำว่า "สูงสุดคืนสู่สามัญ".. เกี่ยวกันไหม?
เอ็นทรี่นี้ใ้ช้เวลาในการเขียนมาก เพราะนอกจากรับฟังมาแล้วต้องมานั่งหาข้อมูลอ่านประกอบอีก(เล็กน้อย) ซึ่งไอ้ที่เขียนๆไปน่ะไม่ได้คิดว่ามันจะถูกต้องตรงเผงไปทั้งหมดหรอกนะคะ อย่างที่ออกตัวไว้แต่แรกว่ากรุณาใ้ช้ไอ้ยานๆที่มีอยู่ในตัวแต่ละท่านเป็นตัวกำหนดในการอ่านด้วย จขบ.ไม่เน้นความถูกต้องนักค่ะ (แล้วมันจะเขียนมาทำไม? ==>> อ๊าวว.. ก็เล่าสู่กันฟัง )
ลาความเครียดไว้ ณ ตรงนี้ ยังมีเกือบเครียดเรื่องภาวะโลกร้อนอีกตอนเมื่อป้าโซสลัดตัวขี้เกียจได้ ขอบคุณและกราบลา..
Create Date : 23 กรกฎาคม 2554 |
|
58 comments |
Last Update : 23 กรกฎาคม 2554 9:25:50 น. |
Counter : 3075 Pageviews. |
|
|
|