กสทช. ห่วงผู้ประกอบการประมูลทีวีดิจิตอลได้แล้ว แต่คุณภาพผลิตคอนเทนต์จะลดลง คาดเม็ดเงิน โฆษณาสะพัด 2 แสนล้านบาทใน 5 ปี
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. นายพสุ ศรีหิรัญ รักษาการผู้อำนวยการกลุ่มงานวิชาการและจัดการทรัพยากรกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวในการอบรมให้ความรู้สื่อมวลชนเรื่อง "ประกาศและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล" ว่า ขณะนี้ ความนิยมการรับชมทีวีของคนไทย คือ ดูฟรีทีวี โดยเลือกดูช่องข่าวผสมเกมโชว์ และคนนิยมติดเคเบิล หรือ ดาวเทียม เพราะอยากชมฟรีทีวีชัด ดังนั้นทีวีดิจิตอลจึงตรงกับประเทศไทยมากที่สุด และเป็นคำตอบว่า ทำไม กสทช.ต้องคัดเลือกโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพ
รักษาการผู้อำนวยการกลุ่มงานวิชาการและจัดการทรัพยากรกระจายเสียงและโทรทัศน์ กสทช. กล่าวต่อว่า มูลค่าตลาดโฆษณาไทย ปี 2555 ที่ผ่านมา มีประมาณแสนล้านบาท ในจำนวนนี้ อยู่ที่ฟรีทีวี 60% และแนวโน้มวิทยุลดลง ขณะที่ สื่อที่ขึ้นมาใหม่ คือ อินเทอร์เน็ต และบิลบอร์ด ส่วนอนาคตมูลค่าตลาดโฆษณาในอาเซียน มีประมาณ 2% ของค่าใช้จ่ายผู้บริโภคของประชาชน เช่น เงิน 100 บาท ค่าเฉลี่ยโฆษณาอยู่ที่ 2 บาท ซึ่งแนวโน้มอนาคต จะเพิ่มขึ้นเกือบ 2% หรือประมาณ 12 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าใน 5 ปี ซึ่งมาจากการเกิดทีวีดิจิตอล
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการจัดเรตติ้งให้รายการ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะออกมาในรูปแบบใด โดยสิ่งที่ กสทช.จะทำได้คือ แนะนำแนวทางว่าสิ่งที่เหมาะสม และจะทำอย่างไรในการทำเรตติ้ง ขณะที่ หน่วยงานที่จัดเรตติ้งทั่วโลกมี 3 แห่ง คือ เนลสัน จากสหรัฐอเมริกา จีเอฟเค แถบยุโรป และวิดีโอ รีเสิร์ซ ในญี่ปุ่น
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. และประธานกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องแจ้งลำดับการประมูลทีวีดิจิตอลก่อนประมูล 15 วัน เนื่องจากไม่แน่ใจว่าผู้ประกอบการการที่จะเข้ายื่นเอกสาร จะใช้เวลากี่วัน การกำหนดลำดับการประมูล เป็นเวลาที่เพียงพอเพื่อให้ทราบโดยเท่าเทียมกัน อีกทั้งจะต้องดูการครอบคลุมของการสร้างโครงข่าย และราคา ว่าแต่ละราย จะเสนอรูปแบบไหน ส่วนเรื่องโครงข่ายนั้น คาดว่าผู้ประกอบการและเจ้าของโครงข่ายน่าจะมีการหารือก่อนเปิดประมูลแล้ว อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการเลือกโครงข่าย หลังการประมูลแล้วไม่พอใจในประสิทธิภาพ สามารถเปลี่ยนโครงข่ายใหม่ได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับสัญญาที่ทำร่วมกัน ซึ่งไม่เกี่ยวกับ กสทช.
รองประธาน กสทช. กล่าวต่อว่า กรณีการส่งบริษัทลูกเข้าประมูลนั้น หากพบว่ามีความเกี่ยวโยงกัน ก็จะต้องรับความเสี่ยง และตรวจสอบหากตรวจสอบพบว่ามีสัมพันธ์เชิงทุนและบริหารก็อาจจะโดนคดีอาญา ข้อหา ยื่นเอกสารเท็จ จึงมองว่าไม่น่ามีใครนำนอมินีเข้ามา เพราะการทำทีวี 1 ช่อง ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้ยัง เป็นห่วงผู้ประกอบการที่ประมูลได้แล้วไม่สามารถบริหารได้ และมองว่าคุณภาพคอนเทนต์อาจจะลดลง นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการเตรียมออกใบอนุญาตให้กับช่องรายการรายเล็ก ที่ไม่พร้อมเข้าประมูลทีวีดิจิตอลแต่เป็นผู้เช่าช่วงเวลาในปี 2557 ด้วย อย่างไรก็ตาม หากผู้เข้าประมูลมีจำนวนเท่ากับช่องรายการ กสทช. อาจยกเลิกการประมูลหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือขยายระยะเวลา.