พระเครื่อง : แหล่งข้อมูลบทความพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง และวัตถุมงคล
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
21 สิงหาคม 2555
 
All Blogs
 
เรื่องของน้ำตา

เรื่องของน้ำตา

น้ำตาธรรมชาติ ผลิตจากต่อมน้ำตาของคนเรา มีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง คือ 
1. ให้ความชุ่มชื้นแก่ กระจกตาและเยื่อบุตา 
2. ปรับสภาพของกระจกตาให้มีความเรียบ เพื่อให้แสงผ่านได้สะดวก การมองเห็นชัดเจน 
3. ให้สารอาหารและออกซิเจน รวมทั้งขจัดของเสียออกจากกระจกตา
 4. มีสารอย่างอ่อนป้องกันการติดเชื้อของกระจกตา

น้ำตาธรรมชาติมีความสำคัญมาก เมื่อตาของคนเราเกิดจุดแห้งขึ้นจากการที่น้ำตาธรรมชาติบนกระจกตาหรือเยื่อบุตาระเหยไป ระบบอัตโนมัติในร่างกายเราจะสั่งการให้เกิดการกะพริบตา การกะพริบตาเป็นการกระจายน้ำตาธรรมชาติให้กระจายไปทั่วกระจกตาและเยื่อบุตา เราจึงรู้สึกสบายตา เมื่อร่างกายผลิตน้ำตาธรรมชาติที่ใช้ในการหล่อลื่นกระจกตาและเยื่อบุตาไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดอาการตาแห้ง ตาแดง ระคายเคืองตา แสบตา ตาพร่า ตาสู้แสงไม่ได้ หากท่านมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ


น้ำตาเทียม เป็นสารที่ผลิตขึ้นเพื่อทดแทนน้ำตาธรรมชาติในผู้ที่ผลิตน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ หรือมี ภาวะตาแห้ง ใช้หล่อลื่นและให้ความชุ่มชื่นแก่กระจกตา ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเคืองตา หรืออาการรู้สึกไม่สบายตา เนื่องจากตาโดนลมและแสง

น้ำตาเทียมสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกัน คือ

น้ำตาเทียมชนิดที่มีสารกันเสีย สารกันเสีย ช่วยให้น้ำตาเทียมคงสภาพอยู่ได้นาน และป้องกันการเติบโตของเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนเข้าไปขณะหยอด หลังจากเปิดขวดใช้งานแล้ว สามารถเก็บได้นาน 1 เดือน และสามารถใช้ได้ไม่เกินวันละ 5 ครั้ง

น้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันเสีย มีลักษณะเป็นหลอดขนาดเล็กๆ ใช้หยอดในแต่ละวันแล้วทิ้งไปเลย มักให้ความรู้สึกสบายตากว่า เนื่องจากไม่มีสารกันเชื้อแบคทีเรียผสมอยู่จึงต้องใช้ภายใน 24 ชั่วโมง สามารถใช้ได้บ่อยทุก 2 ชั่วโมง ข้อดีคือผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพ้เลย แต่มักมีราคาสูงกว่าน้ำตาเทียมชนิดแรก
โดยทั่วๆ ไปน้ำตาเทียม มีทั้งรูปแบบสารละลาย เจล และขี้ผึ้ง, รูปแบบสารละลาย ให้ความสะดวกในการใช้, รูปแบบเจล หรือขี้ผึ้ง มีคุณสมบัติหล่อลื่นและรักษาความชุ่มชื้นที่ตาได้นานกว่าสารละลาย เมื่อใช้น้ำตาเทียมไม่ว่าจะเป็นชนิดหยอด เจล หรือ ขี้ผึ้ง น้ำตาเทียมจะทำหน้าที่เคลือบอยู่บนผิวกระจกตา และต้องใช้เวลาในการกระจายตัวไปทั่วผิวตา ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตามัวได้ชั่วคราว การที่น้ำตาเทียมทำหน้าที่เคลือบผิวกระจกตาไว้นั้น ก็เพื่อทำให้เกิดการเก็บรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ดวงตา ซึ่งจะทำให้รู้สึกสบายตามากขึ้น

*คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ น้ำตาเทียม*

ในคนสายตาปกติ จำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมหรือไม่?

ตอบ: น้ำตาเทียมเป็นยาหยอดตาประเภทหนึ่งซึ่งช่วยให้ความชุ่มชื่นกับดวงตา โดยปกติคนเราจะมีการกะพริบตาเฉลี่ยนาทีละ 10 -15 ครั้ง เพื่อให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตามาฉาบดวงตา ดังนั้นในคนปกติทั่วๆ ไปที่รู้สึกเคืองตา หรือระคายเคืองตา อาจเกิดจากภาวะที่เรียกว่า ตาแห้ง หรือ Dry eye” การใช้น้ำตาเทียมก็จะช่วยให้รู้สึกสบายตา และลดอาการดังกล่าวได้


ใครบ้างควรใช้น้ำตาเทียม?

ตอบ: สำหรับผู้ที่ควรใช้น้ำตาเทียมนอกจากผู้ที่ใช้ตามคำสั่งแพทย์แล้ว ยังมีผู้สูงอายุ ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และกลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวกับจอคอมพิวเตอร์ สำหรับผู้สูงอายุจะมีปัญหาเรื่องน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาแห้ง เนื่องจากปัญหาการทำงานของต่อมน้ำตาลดลงตามอายุ
ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนจะทำให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาลดลงกว่าคนปกติทั่วๆไป กลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กลุ่มนี้อาจเกิดจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ทำให้มีการกะพริบตาน้อยกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะตาแห้งได้ ในผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ควรพักสายตาทุกครึ่งชั่วโมง หรือเมื่อรู้สึกแสบตา เคืองตา ควรหลับตาพักสัก 3 -5 วินาที เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าว

น้ำตาเทียมใช้ได้บ่อยครั้งแค่ไหน ?

ตอบ: สำหรับผู้ใช้งานโดยทั่วไป ที่หยอดน้ำตาเทียมเพื่อให้ดวงตาชุ่มชื้น และรู้สึกสบายตา สามารถใช้งานได้โดยเฉลี่ยไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะตาแห้ง หรือช่วยในการรักษาตาผิดปกติอื่นๆ สามารถใช้ได้บ่อยตามคำสั่งแพทย์ สำหรับผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยวิธี แพทย์จะสั่งให้หยอดน้ำตาเทียม เพื่อช่วยรักษาอาการตาแห้งในระยะแรกซึ่งอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงระยะเวลา 3 – 6 เดือน

ที่มาข้อมูล : Laser Vision International LASIK Center

โดย: ไทยรัฐออนไลน์




Create Date : 21 สิงหาคม 2555
Last Update : 21 สิงหาคม 2555 8:45:59 น. 0 comments
Counter : 2086 Pageviews.

amulet108
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 96 คน [?]








Friends' blogs
[Add amulet108's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.