ตราบใดที่ผู้หญิงทั้งโลกยังมีความฝัน ความเลิศหรูอลังการของแคตวอล์ก “ปารีส โอต์ กูตูร์” ก็ยังเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันสูงสุด เพราะเปรียบดังโรงละครโรงใหญ่ ที่เต็มไปด้วยจินตนาการเพ้อฝัน เพื่อนำพาเหล่าแฟชั่นนิสต้าให้หลีกหนีจากความจริงอันโหดร้าย และท่องไปในโลกแห่งความรื่นรมย์

ท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่ระบาดไปทั่วยุโรปและอเมริกา แคตวอล์ก ปารีส โอต์ กูตูร์ ซีซั่นออทั่ม/วินเทอร์ 2013–2014 ร่ายมนตร์สะกดดึงดูดเงินในกระเป๋าแฟชั่นนิสต้าผู้มีอันจะกินทั่วโลก โดยเฉพาะเศรษฐีน้ำมันตะวันออกกลาง และเศรษฐีจีนยุคใหม่ โดยเหล่าดีไซเนอร์แถวหน้าของโลก รวมพลังกันหยิบของเก่าชิ้นคลาสสิกระดับตำนานขึ้นหิ้งมาปัดฝุ่นใหม่ให้ร่วมสมัยกว่าเดิม เพื่อให้สามารถสวมใส่ได้จริงยิ่งขึ้น ตอกย้ำให้เห็นชัดๆว่า หมดสมัยแล้วที่จะผลาญเงินมหาศาลไปกับโชว์สุดอลังการเพียงไม่กี่อึดใจ

ร่วมผนึกกำลังต่อลมหายใจให้วงการแฟชั่นชั้นสูง โดยสองดีไซเนอร์รุ่นเดอะขวัญใจพรมแดงฮอลลีวูด “จิออร์จิโอ อาร์มานี” แห่ง Armani Prive และ “คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์” เจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลประจำห้องเสื้อ CHANEL แม้เศรษฐกิจจะซบเซาทั่วโลก แต่ “คุณปู่อาร์มานี” ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความเก๋า ด้วยการสร้างนิยามใหม่ของแฟชั่นโอต์ กูตูร์ ที่ไม่เน้นความฟู่ฟ่าอลังการแบบนางโชว์ แต่เชิดชูความคลาสสิกโก้หรูมีระดับ ที่หยิบจับมาใส่เมื่อไหร่ก็ยังสวยสง่าเหนือกาลเวลา ซีซั่นนี้ ได้แรงบันดาลใจจากความเรียบโก้ของ “แคทเธอรีน เฮปเบิร์น” นักแสดงสาวระดับตำนานของอเมริกา ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นสไตล์ไอคอนของผู้หญิงอเมริกันยุคใหม่ในศตวรรษที่ 20 โดยมีคีย์หลักอยู่ที่โทนสีนู้ดแนบเนื้อไปกับสีผิว, กางเกงเอวสูง, กางเกงอัดพลีท, เสื้อไหล่ตั้ง และวัสดุบางเบาสุดพลิ้วไหว เช่น ผ้าไหมออร์แกนซา, ลูกไม้ และผ้าโปร่งเนื้อบางเบา ดูโมเดิร์นด้วยซิลูเอตต์เนี้ยบกริบ

ด้านเจ้าพ่อ CHANEL นำเสนอความเป็นเอ็กซ์เพรสชั่นนิสต์ในคอลเลกชั่นล่าสุด ด้วยแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ของ “ฟริตซ์ แลง” ผู้กำกับหนังขึ้นหิ้งของออสเตรีย ซึ่งได้รับฉายาเจ้าแห่งหนังเงียบและฟิล์มนัวร์ ซีซั่นนี้ “ลาเกอร์เฟลด์” เล่นกับความคอนทราสต์ระหว่างความไฮเทค ของโลกอนาคต และความทรงจำเก่าๆของอดีตอันงดงาม แต่ยังไงซะก็ไม่หลุดคอนเซปต์ใหญ่คือ ทุกชิ้นต้องใส่เดินถนนได้จริง โดยมีซุปเปอร์สตาร์เอลิสต์ของฮอลลีวูดมานั่งฟรอนต์โรว์เป็นแม่เหล็กกระตุ้นยอดขาย

สองคู่หูดีไซเนอร์ใหม่แห่ง VALENTINO “มาเรีย กราเซีย กีอูรี” กับ “ปิแอร์ เปาโล ปิชชิโอลี” ยังคงเพลิดเพลินกับการเปิดสารานุกรมประวัติศาสตร์โลก เพื่อใช้เป็นไกด์ไลน์สร้างสรรค์เสื้อผ้าชั้นสูง ที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณความหรูหราสง่างามตามแบบฉบับวาเลนติโน ตอกย้ำความเชื่อว่า ในเมื่อของเก่าดีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องเปลี่ยนใหม่ด้วย!! ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นแฟชั่นโชว์ที่โดดเด่นสะดุดตา ด้วยการผสมผสานกลิ่นอายของโลกตะวันออกและลวดลายพิมพ์อะราเบสก์แบบอาหรับ เข้ากับเสื้อคลุมยาวสไตล์เรเนซองส์ และผ้าทวีดลายก้างปลา

สำหรับห้องเสื้อชื่อก้องสัญชาติฝรั่งเศส Christian Dior คงต้องตั้งหลักอีกหลายยกกว่าจะสื่อสารกับแฟนๆดิออร์ได้อีกครั้ง เพราะภายใต้การกุมบังเหียนของดีไซเนอร์มือฉมังชาวเบลเยียม “ราฟ ไซมอนส์” ครีเอทีฟไดเรกเตอร์มากพรสวรรค์แห่งแบรนด์ “จิล แซนเดอร์” โลกของแฟชั่นชั้นสูงได้ถูกนำมาตีความใหม่จนไม่เหลือเค้าเดิมเพื่อสร้างความต่างให้ดิออร์ โดยสาระสำคัญที่นำเสนอคือ เสรีภาพของการแต่งกาย ที่ทุกคนมีสิทธิ์จะเลือกใส่อะไรก็ได้ และจะใส่ด้วยวิธีการใดก็ได้ในสไตล์ของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องตามเทรนด์แฟชั่น

ดีไซเนอร์จอมป่วนของฝรั่งเศส “ฌอง ปอล โกลติเยร์” อกหักจากดิออร์ หลังถูกวางตัวให้เป็นตัวเก็ง จึงมีเวลาทุ่มกับคอลเลกชั่นใหม่เต็มร้อย นำเสนอออกมาเป็นแฟชั่นโชว์สุดดราม่าหวังเอาใจสื่อ ด้วยแรงบันดาลใจจากคอสตูมของ “เดวิด โบวี” ในภาพยนตร์ขึ้นหิ้ง “Ashes to Ashes” ของผู้กำกับหนังอาร์ตชาวอิตาเลียน“เฟเดริโก เฟลลินี” ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวของโลกละครสัตว์

ส่วนเจ้าแม่ดีไซเนอร์อิตาเลียน “โดนาเทลลา เวอร์ซาเช” ก็สอบผ่านสบายๆกับคอลเลกชั่นเสื้อผ้าชั้นสูงล่าสุด นำเสนอภาพลักษณ์ของห้องเสื้อ VERSACE ในฐานะตัวแทนของผู้หญิงแกร่งกล้า บ้าพลัง ทว่า เซ็กซี่น่าค้นหาตลอดกาล โดยมีซุปเปอร์โมเดลระดับโลก “นาโอมิ แคมป์เบลล์” เปิดรันเวย์เรียกเสียงปรบมือกราวใหญ่

มาถึงวินาทีนี้ เห็นด้วยเต็มร้อยว่าความฟู่ฟ่าอลังการไม่ใช่สูตรสำเร็จของแฟชั่นชั้นสูงอีกต่อไป เพราะผลาญเงินผลาญทองเยอะแยะ เพียงเพื่อให้สื่อกล่าวขวัญถึง สุดท้ายได้แค่อิมเมจ แต่สินค้าค้างเติ่งอยู่ในสต๊อก!!