พิพิธภณฑ์โซนจีนโบราณ
เจ๋งจัดงาน เพนคิลเลอร์ มิวเซียม พิพิธภัณฑ์วิวัฒนาการการบรรเทาความปวดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย รวบรวมวิธีการรักษาความปวดของมนุษย์ด้วยวิธีการต่างๆ จากหลายประเทศทั่วทุกมุมโลกที่พัฒนาผ่านยุคสมัยมาจนถึงปัจจุบัน ที่แม้ความปวดจะเกิดจากหลากหลายสาเหตุและปัจจัยที่เพิ่มมากขึ้นจากสภาวะแวดล้อมที่ทำให้ชีวิตประจำวันของผู้คนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่วิทยาการทางการแพทย์และเภสัชศาสตร์ก็ทำให้มีวิธีการรักษารวมถึงยาที่ทำให้การบรรเทาความเจ็บปวดไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ในพิพิธภัณฑ์เพนคิลเลอร์ได้จัดแสดงให้ผู้ร่วมงานได้เรียนรู้เกี่ยวกับ อาการปวดลักษณะต่างๆ ซึ่งถือเป็นความทรมานที่อยู่คู่มนุษย์มาทุกยุคสมัย เป็นกลไกสำคัญป้องกันตัวเอง ที่เปรียบเสมือนสัญญาณเตือนภัยจากร่างกายที่บ่งบอกให้ทราบถึงความผิดปกติ และพบกับประสบการณ์การรักษาความปวดด้วยวิธีการที่หลากหลายของมนุษย์ในยุคสมัยต่างๆ ผ่านสื่อแบบอินเตอร์แอคทีฟ จนมาถึงการรักษาความปวดในยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างเผชิญความเสี่ยงกับการเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม และความปวดที่มาจากเหตุปัจจัยที่หลากหลายมากขึ้น พร้อมรับคำแนะนำดีๆ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะทำให้การขจัดความปวดมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนมากที่สุด
มร. เควิน ฮาร์ชอว์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ปัจจุบันสิ่งที่คนในโลกยุคดิจิตอลโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาวะตึงเครียดจากการทำงาน ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง การบริโภคที่ไม่เหมาะสม พักผ่อนไม่เพียงพอก็เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้คนไทยจำนวนมากป่วยเป็นโรคที่ทำให้เกิดความปวดได้ง่ายขึ้น เช่น โรคออฟฟิศซินโดรม ปวดศีรษะบ่อยหรือเป็นไมเกรน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และเป็นที่มาของโรคปวดเรื้อรังประเภทต่างๆ ซึ่งหากปล่อยเอาไว้ก็จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อประสิทธิภาพการทำงาน และบั่นทอนคุณภาพชีวิตในระยะยาว แต่ด้วยวิวัฒนาการการรักษาโรคปวดจากสาเหตุต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวดเร็วขึ้นทำให้เราไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความปวด สำหรับเรกคิทท์ เบนคีเซอร์ ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาชั้นแนวหน้าของโลกตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ของคนในยุคปัจจุบัน เราจึงเชื่อว่าการดูแลตนเอง และการเลือกใช้ยาที่สามารถบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ
ทั้งนี้จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ทำให้คนเมืองต้องเผชิญกับความปวดในหลากหลายรูปแบบเพิ่มมากขึ้น เพราะไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลง ภายในงานจึงมีการเสวนาพิเศษภายใต้หัวข้อ คนรุ่นใหม่ ไร้ปวด เพื่อบอกเล่าถึงสาเหตุหลักของอาการปวดที่เกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่ วิธีการรักษา และการดูแลป้องกัน โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู และตัวแทนของคนยุคใหม่มาร่วมพูดคุยและแบ่งปันทัศนะ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วิศาล คันธารัตนกุล หัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาล สมิติเวช ศรีนครินทร์ กล่าวว่า คนในยุคปัจจุบันมีความเสี่ยงต่อโรคปวดได้ง่าย โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานที่มักจะอยู่ในท่าทำงานท่าเดียวซ้ำๆ หรือเกิดจากการใช้ร่างกายในระหว่างการทำงานในท่าผิดนานๆ สะสมและไม่ได้ยืดกล้ามเนื้อ หรือบางกลุ่มเป็นพวก เวิร์คฮาร์ด เพลย์ฮาร์ด คือทำงานหนัก และยังออกกำลังกายหนักๆ ไม่รู้จักดูแลตัวเองจนบางครั้งปล่อยให้เกิดความปวดเรื้อรัง และท้ายที่สุดก็จะรบกวนคุณภาพชีวิต เกิดอาการนอนไม่หลับ ผลที่ตามมา คือการเข้าใจผิดคิดว่าป่วยเป็นโรคอื่น หากมีอาการปวดเกิดขึ้นจึงต้องรีบตัดวงจรความปวดให้เร็วที่สุด
"เริ่มจากการหาปัจจัยเสี่ยงต่อความปวด เช่น ความปวดที่อาจเกิดจากโครงสร้างของร่างกายเราเอง หรือการทำงาน อย่าอยู่ท่าเดียวนานๆ ต้องรู้จักยืดเหยียดกล้ามเนื้อในระหว่างวันเป็นอีกวิธีที่ช่วยผ่อนคลายให้กล้ามเนื้อมีการเคลื่อนไหว หรือเส้นเอ็นได้ยืดตัว เช่น การยืดกล้ามเนื้อคอเอียงซ้าย ขวา ก้มและเงยหน้า รู้จักหันมาออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อโดยมีเทคนิคง่ายๆ คือให้พอรู้สึกเหนื่อย หรือเมื่อยนิดๆ การปรับไลฟ์สไตล์ชีวิตประจำวันเพื่อลดความเสี่ยงจากความปวด เช่น ในทุกๆ วันของการทำงาน ต้องรู้จักพักการทำงาน 2-3 นาที ทำให้ร่างกายได้ขยับหลังจากทำงานท่าซ้ำๆ ใน 1-2 ชั่วโมง และท้ายสุด ปรับเวิร์ค สเปซ (Work Space) ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม นั่งให้เต็มเก้าอี้ที่สำคัญ หากมีอาการปวดอย่าปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่รักษาให้ถูกวิธีอาจทำให้เป็นโรคปวดเรื้อรังได้
อย่าปล่อยให้ความปวดบั่นทอนคุณภาพชีวิตอีกต่อไป ตัดวงจรความปวดด้วยนูโรเฟนเจล ยาทาแก้ปวดสำหรับคนยุคใหม่ที่ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่มีสี และไม่มีกลิ่น พร้อมด้วยประสิทธิภาพการรักษาความปวดแบบตรงจุดมากที่สุด.