รูปร่างหน้าตา และการติดตั้ง Epson M200
ลองแกะกล่อง Epson WorkForce M200 หรือที่ในเอเชียตะวันอกเฉียงใต้วางจำหน่ายในชื่อ 'Epson M200' มาดู งวดนี้ไม่ได้มีอะไรเยอะแยะมากมายนัก เพราะเป็นเครื่องพิมพ์ขาว-ดำเท่านั้น ข้างในกล่องก็จะมีตัวเครื่อง, คู่มือการติดตั้ง, สายไฟ, สาย USB และหมึกดำที่มีมาให้ 2 ขวด ขวดใหญ่เป็นขวดตั้งต้น และมีขวดเล็กที่เป็นโบนัสแถมมาให้
ดูจากรูปร่างของเครื่อง ก็เห็นได้ชัดเลยครับว่าเป็นเครื่องแบบ Multifunction และสามารถทำงานอย่างการสำเนาเอกสารได้โดยไม่ต้องง้อเครื่องคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด โดยมีจอ LCD ที่แสดงสถานะของเครื่องแบบง่ายๆ ให้ผู้ใช้งานได้ดู
หมึกที่มากับเครื่องในการซื้อครั้งแรก เป็นขนาด 140 มิลลิลิตร กับขวดโบนัสอีก 70 มิลลิลิตร สามารถพิมพ์รวมกันได้ทั้งหมดมากถึง 8,000 แผ่น (140 มิลลิลิตร จะพิมพ์ได้ 6,000 แผ่น) หมึกขนาด 140 มิลลิลิตร ราคา 690 บาท ถ้าพิมพ์ได้ 6,000 แผ่น ก็เท่ากับมีต้นทุนตกแผ่นละ 11.5 สตางค์เท่านั้นเอง (ต้นทุนการพิมพ์ด้วยโทนเนอร์สีดำของเครื่องพิมพ์เลเซอร์เฉลี่ยอยู่ที่ 25-40 สตางค์ต่อแผ่นครับ)
ด้านหลังของตัวเครื่อง ก็จะมีช่องสำหรับเสียบสายไฟอยู่ตรงด้านล่าง และทางขวามือ (ของรูป) ก็จะมีพอร์ต USB สำหรับเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ และพอร์ต RJ45 สำหรับเสียบสาย LAN เพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถแชร์เครื่องพิมพ์ ให้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ เข้ามาเรียกใช้งานได้เลย ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อพวกอุปกรณ์ Print server มาติดตั้งเพิ่ม เหมาะสำหรับการใช้งานในออฟฟิศขนาดเล็ก
นอกเหนือจากความเป็น All-in-One ที่สามารถใช้เป็นเครื่องสแกนเนอร์ และถ่ายเอกสารได้แล้ว จุดเด่นของ Epson WorkForce M200 ก็คือการที่เป็นระบบหมึกแท็งก์นั่นแหละครับ พอไม่ต้องใช้ตลับหมึกแล้ว สนนราคาของหมึกก็จะถูกกว่าครับ
งวดนี้แท็งก์หมึกได้รับการออกแบบให้ทนทานมากขึ้นครับ และดูดีด้วย ฝาปิดเป็นแบบเลื่อน ดูทนทานมากขึ้น แต่ในกรณีที่จะต้องขนย้าย ก็ยังจำเป็นต้องปรับโหมดแท็งก์ให้อยู่ในโหมดขนย้ายอยู่ดีนะครับ
การเติมหมึกลงแท็งก์ทำได้ไม่ยากครับ ใครขี้ใจร้อนอาจรู้สึกว่าต้องบีบขวดหมึกเพื่อให้หมึกมันลงแท็งก์ไวๆ หน่อย แต่ทาง Epson เขาไม่แนะนำให้ทำแบบนั้นนะครับ เพราะว่าจะมีฟองอากาศปะปนลงไปในแท็งก์ด้วย ควรจะค่อยๆ เทหมึกลงไปจนเต็มจะดีกว่า (ผมเข้าใจว่าฟองอากาศที่ปะปนลงไปในแท็งก์เนี่ย มันจะมีผลต่อคุณภาพงานพิมพ์ได้)
เราสามารถเช็กระดับหมึกด้วยตาของเราได้ โดยดูจากช่องมองระดับหมึกด้านข้างนั่นแหละครับ
การติดตั้งไม่ยากครับ แกะสติกเกอร์ที่เขาติดไว้เต็มเครื่องเยอะหน่อย เพราะเขาต้องการให้มั่นคงแข็งแรงน่ะ
แกะออกหมดทุกอย่างแล้ว อย่างแรกที่ต้องทำก็คือเสียบปลั๊ก (แน่ล่ะ) แล้วก็เลือกภาษาที่แสดงบนจอ LCD (ไม่มีภาษาไทยนะครับ เลือกภาษาอังกฤษชัวร์สุด) แล้วเริ่มใช้งาน จากนั้นพอทุกอย่างพร้อม ก็กดปุ่ม OK ค้างไว้สัก 3 วินาที เพื่อให้เริ่มปั๊มหมึกจากแท็งก์เข้าใช้งาน
ตอนปั๊มหมึกเข้าแท็งก์ครั้งแรก จะใช้เวลานานสักหน่อยนะครับ เป็นเรื่องปกติ
การใช้งาน Epson M200
เราไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อ Epson M200 กับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยพอร์ต USB เพื่อใช้งานเลยครับ ถ้าเป็นในสำนักงาน หรือภายในบ้านที่มีการวางระบบ LAN ไว้อยู่แล้ว ก็เสียบสาย LAN พร้อมรอการติดตั้งได้เลย การติดตั้งทำไม่ยากครับ แผ่น CD ที่มี Driver นั้น มีตัวช่วยในการติดตั้งที่ดีอยู่แล้ว ใช้เวลาในการติดตั้งราวๆ 5-10 นาที ก็เรียบร้อย และแม้ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่หลักๆ ก็แค่ Next กับ OK เท่านั้นเอง
ตัวซอฟต์แวร์ที่มาพร้อมกับ CD นั้น สามารถใช้ติดตั้ง Driver ของ Epson M200 ได้ และสามารถบริหารจัดการตัวเครื่องพิมพ์ได้ผ่านระบบเครือข่าย LAN เลย และใช้ไม่ยากด้วยครับ จะมีกี่เครื่องก็บริหารจัดการได้หมดครับ
ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ลองทดสอบการพิมพ์ครับ ซึ่งทาง Epson บอกกับผมว่ามันพิมพ์ได้เร็ว 34 แผ่นต่อนาที (กรณีข้อความล้วน ในโหมดแบบร่าง หรือ draft) และ 15 แผ่นต่อนาที (กรณีพิมพ์ภาพ ในโหมดแบบร่าง หรือ draft เช่นกัน)
ซึ่งผลการทดสอบ ที่ผมเลือกตั้งค่าการพิมพ์เป็นการพิมพ์ด้วย Quality = High ออกมาเป็นแบบนี้ครับ
การพิมพ์ข้อความล้วนๆ 1 แผ่น ใช้เวลา 18.3 วินาที
การพิมพ์ข้อความบวกกับรูปภาพ 1 แผ่น ใช้เวลา 23.2 วินาที
การพิมพ์รูปภาพเพียงอย่างเดียว 1 รูป ใช้เวลา 25.5 วินาที
การถ่ายเอกสาร 1 แผ่น ใช้เวลา 30.3 วินาที
อีกจุดหนึ่งที่ทาง Epson เขาชูเป็นจุดเด่น ก็คือเรื่องของคุณภาพงานพิมพ์ที่เทียบเท่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ครับ ผมขอออกตัวก่อนว่าเรื่องคุณภาพนี้ไม่ใช่เรื่องความคมกริบแบบสุดๆ แบบการพิมพ์แบบเลเซอร์นะครับ เพราะนั่นมีปัจจัยด้านคุณภาพของกระดาษเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่เป็นเรื่องของความทนทานของงานพิมพ์ เนื่องจากใช้หมึกชนิดพิกเมนต์กันน้ำ และทนทานต่อการซีดจางครับ
ในการทดสอบเรื่องความทนทานของหมึก ต้องขอทำแบบสุดๆ ไปเลยน่ะครับ ลองเอาไปวางในอ่างน้ำ เปิดก๊อกน้ำให้ชุ่มโชกไปเลย ก็พบว่าไม่ออกอาการเปื้อนแต่อย่างใดเลย แม้ว่าจะพิมพ์บนกระดาษธรรมดาๆ ก็ตามที
แม้จะแค่การพิมพ์แบบ ขาว-ดำ บนกระดาษธรรมดาๆ แต่ก็ได้คุณภาพงานพิมพ์ และรายละเอียดงานพิมพ์ที่ดีทีเดียวครับ
บทสรุปของการพิมพ์ด้วย Epson M200
Epson M200 เป็นเครื่องพิมพ์แบบ All-in-One ที่เหมาะสำหรับใช้งานในสำนักงานของออฟฟิศขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ด้วยความสามารถแบบ All-in-One ที่เป็นได้ทั้งเครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ และเครื่องถ่ายเอกสาร โดยความเห็นส่วนตัว ผมมองว่าเหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจจริงๆ เพราะถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับงานพิมพ์ได้สูงถึง 5,000 แผ่นต่อเดือน นอกจากนี้ยังให้งานที่มีคุณภาพดี มีความทนทาน กันน้ำได้ น้ำหมึกปริมาณ 140 มิลลิลิตรก็สามารถพิมพ์งานได้มากถึง 6,000 แผ่น ในขณะที่โทนเนอร์ของเครื่องพิมพ์เลเซอร์นั้นจะพิมพ์ได้ราวๆ 700 1,600 แผ่น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องพิมพ์ส่วนกลางที่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้ามาร่วมใช้งานกันได้ เพราะมีพอร์ต RJ45 เชื่อมต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของบริษัทได้เลย
ธุรกิจที่ต้องถ่ายเอกสาร บ่อยๆ เช่น ถ่ายสำเนาบัตรประชาชน อะไรแบบเนี้ย ก็จะได้ประโยชน์จากการใช้งาน Epson M200 นี่แน่ๆ ครับ เพราะความรวดเร็วในการพิมพ์และการสแกนแต่ละแผ่น ก็สามารถทำได้ดีทีเดียว