แม้จะร้อนสุด ๆ แต่เชื่อว่าทุกคนจะยังไม่ลืมความเดือดร้อนจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความไม่พร้อมในการรับมือกับปริมาณน้ำและการแจ้งเตือนของระดับน้ำที่ถูกต้อง
เพื่อสร้างความพร้อมและมีอุปกรณ์ ในการรับมือเหตุการณ์ในอนาคต ทีมนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร จึงพัฒนาระบบเฝ้าระวังอุทกภัยขึ้น โดยดึงประโยชน์ของการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเข้ามาช่วย
เจ้าของผลงานประกอบด้วย นายวัลลภ จิตต์นุพงค์ นายภาณุมาศ บุญเจริญปัญญา และ นายสุทธาวุฒิ บุตราช นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิศวกรรมสารสนเทศและการสื่อ สาร ภาควิชาโทรคมนาคม คณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยมี อาจารย์ธนทรรศน์ แซ่ลิ้ม เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
น้อง ๆ ทีมนี้ บอกว่า เห็นประโยชน์จากการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในการรวบรวมสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์อุทกภัยรวมถึงการแชร์ข้อมูลของสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทางระบบเครือข่ายแล้ว ทางกลุ่มจึงมีแนวคิดที่จะสร้างทำอุปกรณ์ที่สามารถตรวจวัดระดับน้ำได้ และสามารถแสดงข้อมูลของระดับน้ำผ่านเว็บไซต์ในรูปแบบของแผนที่ มีการแสดงพิกัดที่ได้นำอุปกรณ์ไปติดตั้งและบอกข้อมูลของสถานที่และระดับน้ำแบบเวลาจริง
การเตือนภัยแบ่งเป็น 3 ระดับคือ ระดับปกติ (สีเขียว) ระดับเฝ้าระวัง (สีเหลือง) ระดับอพยพ (สีแดง) โดยในเว็บไซต์สามารถดูข้อมูลระดับน้ำย้อนหลังของพื้นที่ต่าง ๆ ได้ รวมถึงสามารถแจ้งเตือนข้อมูลของระดับน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ด้วยการโพสต์ข้อความแจ้งเตือนให้ประชาชนทั่วไปทราบถึงระดับน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ณ ขณะนั้นได้โดยอัตโนมัติ ผ่านเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์
การใช้งานอุปกรณ์เครื่องวัดจะถูกติดตั้งบริเวณริมแม่น้ำหรือริมคลองหลักในพื้นที่ต่าง ๆ ใช้เซ็นเซอร์อัลตร้าโซนิคในการวัดระยะห่างของผิวน้ำเปรียบเทียบกับระดับตลิ่ง และส่งข้อมูลระดับน้ำผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเซิร์ฟเวอร์จะทำการจัดเก็บข้อมูลของระดับน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ก่อนประมวลผลและนำไปแสดงบนเว็บไซต์
ผู้พัฒนาบอกว่าจุดเด่นของระบบนี้ก็คือ การแจ้งเตือนข้อมูลของระดับน้ำแบบเวลาจริงผ่านเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ได้โดยอัตโนมัติ รวมถึงตัวอุปกรณ์ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ สามารถเก็บพลังงานเข้าสู่แบตเตอรี่ไว้ใช้เวลากลางคืนได้ ทำให้อุปกรณ์ชนิดนี้สะดวกต่อการนำไปติดตั้งในพื้นที่ ต่าง ๆ
ส่วนวัสดุและเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการพัฒนานั้นก็สามารถผลิตและหาได้ภายในประเทศ เบื้องต้นใช้งบในการพัฒนาไม่เกิน 6,000 บาท และหากนำไปผลิตเชิงพาณิชย์ จะทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลงอย่างมาก
สำหรับสิ่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม คือการใช้เทคนิคในการส่งข้อมูลระหว่างตัวอุปกรณ์แต่ละตัว ให้สามารถเชื่อมต่อกันเป็นโครงข่ายได้ (Sensor Network) ก่อนที่จะส่งข้อมูลของระดับน้ำไปยังเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย
และรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 จากโครง การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทยครั้งที่ 14 (NSC 2012) ในประเภทแอพพลิเคชั่นออนไลน์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยังยั่งยืน ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค ก็คือบทพิสูจน์ความสามารถของเยาวชนไทย
ที่น้อง ๆ คนรุ่นใหม่เหล่านี้ บอกว่า ภาคภูมิใจกับผลงานของตนเอง และคาดไม่ถึงว่าจะได้รางวัลชนะเลิศ เพราะนี่คือการส่งเข้าประกวดเป็นครั้งแรกของพวกเขา!!!.