คอลัมน์ตอนนี้ถือเป็นตอนที่ 100 ที่ผมได้มาเขียนลงไทยรัฐออนไลน์ครับ ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ขอบคุณทีมของไทยรัฐที่ชวนมาเขียน และสัญญาว่าจะพยายามอัพเดตข่าวสารเทคโนโลยีให้คุณผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์ต่อไปอย่างเต็มที่ ...
ไหนๆ ก็เป็นตอนที่ 100 แล้ว ผมขอชวนคุณผู้อ่านมองไปยังอนาคตของ รถยนต์ สินค้าที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านไอทีเท่าไรนัก แต่เอาเข้าจริงแล้ว กระแสความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเดินหน้าเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์แล้ว
ภารกิจหลักของรถยนต์คือการเป็นยานพาหนะ พาเราเคลื่อนที่ไปยังจุดที่ต้องการ ในแง่ของระบบขับเคลื่อนรถยนต์แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มานาน ถึงแม้จะมีวิวัฒนาการเพิ่มมาโดยตลอด แต่ท้ายที่สุดแล้วรถยนต์ในปัจจุบันก็ยังเป็นการขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงปิโตรเลียม (ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือก๊าซ) อยู่เช่นเดิม
ส่วนรถยนต์พลังไฟฟ้า ถึงแม้ว่ามันพัฒนาขึ้นจากเดิมมาก แต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งกว่าจะใช้งานได้จริงในทางปฏิบัติ เพราะมีประเด็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะสถานีชาร์จที่ครอบคลุมที่ต้องพัฒนาต่ออีกมาก
ที่ผ่านมาเทคโนโลยีด้านไอทีเริ่มถูกผนวกเข้ากับรถยนต์อย่างช้าๆ โดยเริ่มจากระบบความบันเทิงภายในรถก่อน เราเห็นระบบเครื่องเสียงสามารถเล่นเพลงแบบ MP3 ได้ เริ่มมีจอภาพเอาไว้ดูหนังหรือบอกพิกัดการนำทางผ่านดาวเทียม และในยุคที่มือถือเฟื่องฟู เราก็เริ่มเห็นรถยนต์ที่ต่อเชื่อมกับโทรศัพท์มือถือได้ ขึ้นรถแล้วเสียบมือถือเข้ากับช่องเสียบ เราก็สามารถเชื่อมโยงข้อมูลบางอย่างของรถยนต์เข้ากับมือถือได้แล้ว
แต่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นคือ ความสามารถเสริม ที่ช่วยให้ประสบการณ์เดินทางด้วยรถยนต์โดยสารดีขึ้น ส่วนการขับขี่ยังต้องพึ่งมันสมองและการตัดสินใจของมนุษย์เหมือนเดิม
บริษัทเทคโนโลยีหลายๆ แห่งเริ่มไม่คิดแบบนั้นแล้วครับ
เทคโนโลยีด้านอุปกรณ์ฝังตัว เซ็นเซอร์ และเครือข่ายไร้สายที่พัฒนาขึ้นมากในรอบ 5 ปีมานี้ (ตามพัฒนาการของสมาร์ทโฟน) ทำให้ความฝันว่า รถยนต์คิดเองได้ อาจเป็นจริงได้ในเร็ววัน
ไอเดียเรื่องรถยนต์ไร้คนขับก็คือ ติดกล้องรอบตัวรวมถึงเซ็นเซอร์วัดระยะรอบทิศทางให้รถยนต์เหมือนกับ ตา ของรถยนต์ บวกกับแผนที่นำทางผ่านดาวเทียม สภาพจราจรแบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายมือถือ และใส่หน่วยประมวลผลเข้าไปให้เหมือน สมอง สุดท้ายเขียนโปรแกรมเพิ่มเข้าไปเพื่อบอกว่ารถยนต์ควรตัดสินใจอย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์แต่ละอย่าง
ตอนนี้ รถยนต์ไร้คนขับอาจยังไม่ฉลาดเท่ากับมนุษย์จริง แต่ก็มีด้านที่เหนือกว่ามนุษย์ เช่น ขับรถด้วยมาตรฐานเดียวกันสม่ำเสมอ ไม่ประมาทเลินเล่อในบางครั้ง แถมไม่มีหลับในและทำงานได้ตลอดเวลาถ้าพลังงานยังมีอยู่
บริษัทหลายแห่งเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้ โดยบริษัทที่มาเร็วและไปไกลกว่าใครคือกูเกิล ซึ่งเปิดห้องวิจัยเทคโนโลยีแห่งอนาคต ชื่อ Google X มาทดลองเทคโนโลยีแหวกแนวหลายๆ อย่าง ตอนนี้กูเกิลมีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติทดลองวิ่งอยู่บนถนนจริงในสหรัฐอเมริกาแล้ว (ยังต้องมีคนขับนั่งไปด้วยแต่ไว้เฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น)
บริษัทรถยนต์รายใหญ่อีกรายที่ค่อนข้างจริงจังกับยุทธศาสตร์นี้คือนิสสัน โดยบริษัทออกมาประกาศชัดเจนว่าจะทำเรื่องนี้ให้เกิดจริงให้ได้ภายในปี 2020 และตอนนี้ก็กำลังสร้าง เมืองจำลอง สำหรับทดสอบการขับรถแบบอัตโนมัติในประเทศญี่ปุ่น นิสสันประกาศว่าในอนาคตรถยนต์ทุกรุ่นของบริษัทจะต้องมีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัตินี้ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน
มีข่าวของค่ายญี่ปุ่นมาแล้ว ค่ายอเมริกาอย่างฟอร์ดก็ไม่น้อยหน้า โดย Alan Mulally ซีอีโอของฟอร์ดก็ประกาศชัดเจนว่าอนาคตของวงการรถยนต์คือรถยนต์แบบไร้คนขับ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จจริงได้เมื่อไร เพราะต้องพัฒนากันอีกเยอะทั้งในแง่เทคโนโลยีและราคาที่ถูกพอเพื่อให้ผู้บริโภคซื้อหามาใช้กันได้
โดยสรุปแล้ว รถยนต์ไร้คนขับมาแน่ครับ เพียงแต่ในการใช้งานจริงก็คงค่อยเป็นค่อยไป เราอาจไม่ได้นั่งเฉยๆ แล้วให้รถวิ่งพาเราไปเองได้เสมอไป แต่อาจอยู่ในรูปรถยนต์คอยช่วยตัดสินใจแทนเราในจังหวะฉุกเฉินเพื่อลดความเสียหายของอุบัติเหตุกันก่อน
สิ่งที่ท้าทายก็คือภาครัฐของไทยต้องเตรียมพร้อมสำหรับเทคโนโลยีเหล่านี้ เช่น กรมการขนส่งทางบกหรือตำรวจจราจรจะมีท่าทีอย่างไรถ้าหากนิสสันหรือฟอร์ดอยากนำรถยนต์ไร้คนขับเข้ามาขายในอีก 10 ปีข้างหน้า ตรงนี้ก็ต้องฝากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยกันคิดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เลยครับ