"Black propaganda" อัปยศ
ไทยอีนิวส์ตีแผ่วงการสื่อกระแสหลัก ซึ่งกลายเป็นกระแส "หลักลอย" ไร้จรรยาบรรณ ไร้ความเป็นกลาง จากฐานันดรสี่ เหลือค่าเพียงกระดาษเปื้อนหมึก ใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อให้ทรราชชนิดทำขาวเป็นดำ (Black propaganda) คร่าทำลายประชาธิปไตย คร่าทำลายมติมหาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างไร้ยางอาย นับจากเครือผู้จัดการ กับปฏิบัติการล่าสุดพลิกขาวเป็นดำ จาก ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ TIMESONLINE จงรักภักดีสุดใจ ให้เป็นบทสัมภาษณ์ล้มสถาบัน ส่วน เปลวสีเงิน ไทยโพสต์สุดอัปยศไร้ยางอายเอาความแค้นส่วนตัวมาสั่งฆ่าแม้ว แต่ตัวเองเชลียร์ รัฐมนนตรี เจ้าของอาบอบนวดแลกเงินโฆษณาอย่างไร้ศักดิ์ศรี
ด่าไปทั่ว แต่เวลาโดนฟ้องลูกน้องขึ้นศาลรับกรรม ล่าสุดปลด "ใบตองแห้ง" ที่ยืนข้างประชาธิปไตย โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ส่วนเนชั่นสัมพันธ์ลึกแก๊ง หยุ่น+เปรม+มาร์ค สุมหัวทำลายประชาธิปไตย เชิดชูอำมาตย์ สวาปามผลประโยชน์โฆษณา และประเคนทีวีให้กัน ล่าสุดนำหุ้นเน่า NBC เข้าตลาด โดนนักเล่นหุ้นเมินแก้เผ็ด
กรณีที่ 1. ตีแผ่ขบวนการฤาษีแปลงสารของค่ายผู้จัดการ จากบทสัมภาษณ์จงรักภักดี ให้กลายเป็นจะล้มสถาบัน ทักษิณ พยายามตอบสัมภาษณ์ว่า ในเวลานี้ สมเด็จพระบรมฯยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ ก็ทำให้ดูเหมือนว่าท่านยังไม่เปล่งรัศมีทอแสงเจิดจ้า แต่หากถึงเวลาที่เสด็จขึ้นเป็นกษัตรยิ์ ก็จะทรงเป็นกษัตริย์ที่ดีแน่ เพราะทรงเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว กอรปกับได้เรียนรู้การทรงงานจากในหลวงมานานปีแล้ว
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ Times online ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก ไปพาดหัวข่าวทำนองว่า ทักษิณ เชื่อมั่นว่าเมื่อพระบรมฯเสด็จขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงมีพระราชบารมีทอแสง
ทำให้ ASTV ผู้จัดการ กระบอกเสียงพันธมิตร นำไปขยายผลเป็นข่าวพาดหัวว่า สุดชั่ว! ทักษิณ ยืมมือสื่ออังกฤษ ให้ร้าย ในหลวง รุนแรง โดยขยายเนื้อข่าวว่า "เป็นข้อความที่ พ.ต.ท. ทักษิณ สัมภาษณ์ให้ร้าย และล่วงละเมิดองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงประทับรักษาพระวรกายอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่เดือนกันยายน 2552 ที่ผ่านมา อย่างรุนแรง โดยมีการกล่าวอ้างถึงองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และการสืบราชสันตติวงศ์อีกด้วย"
จากนั้นเข้าตำราที่ว่า "ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด" อาจจะไม่เคยอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ สื่อกระแสหลักต่างๆก็นำข้อความจากเวบผู้จัดการ ASTV ไปขยายผลทำลาย ทักษิณ อย่างเป็นกระบวนการ และขบวนการอำมาตย์ ทั้งรัฐบาล อภิสิทธิ์ แม้แต่ กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ในฐานะตัวแทนของประเทศไทย นำไปขยายผลอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ดีผู้จัดการ ASTV ได้ พยายามแปลรายละเอียดบทสัมภาษณ์ทั้งหมด สุดท้าย ก็หาเรื่องใส่ร้าย ทักษิณ ไม่ได้และได้หันไปโจมตีเรื่องอื่นๆแทน นั่นแสดงว่าเมื่อฝ่ายแปลข่าวต่างประเทศแปลออกมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ความจริงก็คือ ทักษิณ ได้กล่าวเทิดทูนในหลวง ราชินี พระบรมฯ พระราชวงศ์ และอาจดูเหมือนแก้ต่างกับสื่อต่างชาติ ที่จี้ถามเรื่องสถาบันกษัตริย์ แทรกแซงการเมืองอยู่ตลอดเวลาในการสัมภาษณ์นี้
ที่น่าเศร้าก็คือมาถึงเช้าวันที่ 10พ.ย.52 บรรดาสื่อกระแสหลัก ซึ่งรวมทั้งรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ของสรยุทธ สุทัศนะจินดา รายการเล่าข่าวภาคเช้ายอดนิยม และขบวนการอำมาตย์เผด็จการ ก็ยังคงขยายผลเรื่องที่พวกเขาบิดเบือนและสร้าง "black propaganda" ต่อไป โดยไร้ยางอาย เราได้ถอดความที่ ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ Timeonline ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชวงศ์ชั้นสูง ซึ่งกระบอกเสียงพันธมิตรอย่างผู้จัดการ ASTV ได้บิดเบือน ดังต่อไปนี้ 1. ทักษิณย้ำในหลวงไม่เคยแทรกแซงการเมือง ในตอนต้น ทักษิณ กล่าวถึงชัยชนะอย่างท่วมท้นของเขา และก้าวมาเป็นรัฐบาลที่มั่นคง ในขณะที่พรรคฝ่ายค้านอย่าง ประชาธิปัตย์อ่อนแอ จึงมีการใช้สื่อมวลชน มาทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านโจมตีเขาอย่างไร้เหตุผล ครั้งหนึ่ง เมื่อเขาได้พบกับลูกชายเจ้าของหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่ง ก็เลยถามไปว่า ทำไมหนังสือพิมพ์ของคุณถึงได้โจมตีผมอย่างไร้เหตุผลนัก? เขาก็ตอบว่า "คุณอาครับ ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะคุณพ่อผมถูกล็อบบี้จากองคมนตรี 2 คนที่มาทานข้าวเย็นกัน แล้วก็แจ้งพ่อผมว่า พระเจ้าอยู่หัวฯไม่ต้องการ ทักษิณ ต่อไปแล้ว.. ซึ่งผมก็แจ้งเขาไปว่า ผมไม่เชื่อหรอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงมีพระราชประสงค์เช่นนั้น เพราะพระองค์ท่านไม่เคยทรงแทรกแซงการเมือง อาจจะเป็นเพียงการที่องคมนตรีกระทำไปเอง เพื่อต่อต้านผมเท่านั้น" (I said I don't believe that His Majesty never wants to become involved in politics. Maybe it's because of their own prejudice against me.) 2. ยันไม่เคยคิดล้มสถาบัน ขึ้นเป็นประธานาบดีตามข่าวลือ
ทักษิณ กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า เหตุที่ องคมนตรีต่อต้านเขา ก็เพราะมีการแพร่ข่าวลือออกไปว่า ทักษิณ ต้องการเปลี่ยนประเทศ เป็นสาธารณัฐ และขึ้นเป็นประธานาธิดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในความคิดผมเลย เพราะผมมีความจงรักภักดีอย่างสูงยิ่ง ในตอนที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีหนแรก และได้เข้าเฝ้าฯ ผมได้กราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูหัวว่าฯ ขอเดชะ กระหม่อมฯ มีความจงรักภักดีต่อพระองค์เป็นที่ยิ่ง กระหม่อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่เกิดมาในรัชสมัยของพระองค์ท่าน อายุของกระหม่อมก็ไล่เลี่ยกับพระราชโอรส พระราชธิดาในพระองค์ท่าน ดังนั้นขอให้พระองค์ท่านโปรดทอดพระเนตรกระหม่อม และสั่งสอนกระหม่อมเสมือนว่าเป็นคนในรุ่นลูกของพระองค์ท่านเถิด... กระหม่อมฉันเทิดทูนจงรักภักดีอย่างยิ่ง พระองค์ท่านทรงงานหนัก เพื่อพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดอย่างมิเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย มานานปี แม้พระชนมายุมากแล้ว ขอให้ใช้กระหม่อมฉัน กระหม่อมฉันจะน้อมรับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ถวายงานรับใช้แก้ไขปัญหาให้พสกนิกรของพระองค์ท่าน.. นี่เป็นคำถวายปฏิญญาณนับแต่แรกที่ผมเข้ารับตำแหน่ง (So I very much respect Your Majesty. Whatever I need to do properly, please teach me. This is how I present myself. And, Your Majesty has been working hard for the Thai people for many years and you may be tired and you're getting old. Please use me. I will shoulder all the burdens and I will work hard for you to solve the problems of your citizens.) 3. เทิดพระเกียรติราชินีไปงานศพพันธมิตร ก็ด้วยน้ำพระทัยแห่งพระมหากรุณาคุณ
ผู้สื่อข่าวถามว่า คุณรู้สึกประหลาดใจไหม ที่พระราชินีเสด็จไปงานพระราชทานเพลิงศพเสื้อเหลือง พันธมิตรคนหนึ่งที่เป็นศัตรูทางการเมืองของคุณ? (The Queen attended the funeral of one of the Yellow Shirt supporters [the Yellow Shirts, Mr Thaksins opponents]. You must have been very surprised about that.)
ทักษิณ กล่าวตอบว่า ทุกคนในประเทศไทยก็ประหลาดใจเรื่องนี้ แต่ผมทราบว่า พระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระองค์ท่านทรงเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ก็อาจมีใครไปให้ข้อมูลกับพระองค์ท่านในทางที่ผิดเป็นต้นว่า "สตรีผู้นี้เสียชีวิตลง เพราะพยายามปกป้องสถาบันกษัตริย์" ก็ทำให้พระองค์ท่านคล้อยตามข้อมูลที่คนแวดล้อมถวายรายงานที่ผิดๆ (Everybody, the whole of Thailand, was surprised. But I know Her Majesty. Her Majesty is very kind when someone gives her wrong information [such as] That lady's dying because she tried to protect the monarchy. I think she was lied to. People around her circles try to give her the wrong impression, to give wrong information to Their Majesties.)
4. ผู้สื่อข่าวถามนำเรื่องพระบรมฯจะขึ้นเป็นกษัตริย์ จะแตกต่างจากในหลวงในปัจจุบันอย่างไร?
ในหน้า 4 ของบทสัมภาษณ์นั้น ผู้สื่อข่าวถามนำว่า "วันหนึ่ง เมื่อสมเด็จพระบรมฯเสด็จขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์จะมีพระราชบุคลิกลักษณะ หรือสไตล์ที่แตกต่างจากในหลวงองค์ปัจจุบันอย่างไร? ( One day the Crown Prince will become King. How will his style be different from that of the current King?)
ทักษิณ กล่าวตอบว่า ก็น่าจะแตกต่างกัน แต่ผมคิดว่าคงราบรื่นดี เพราะพระองค์ท่านเป็นกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ คนแวดล้อม ข้าราชบริพารก็คงเป็นคนใหม่ ส่วนแวดวงในวังของพระองค์ท่าน ก็คงไม่ใหญ่โตอัครฐานนัก เพราะเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ เนื่องจากพระองค์ท่านยังใหม่ ก็อาจจะยังไม่เป็นที่นิยมมากเทียบเท่ากับในหลวงองค์ปัจจุบัน แต่ก็คงไม่มีเรื่องยุ่งยากนัก เพราะแวดวงในวังก็ขนาดย่อมกว่า ก็เนื่องจากเป็นรัชสมัยใหม่ (It may be different, but I think it will go smoothly because he's a constitutional monarch. The people around the Crown Prince will be new, and the palace circle will not be that big because he will be new. The Crown Prince, because he will be new, may not be as popular as His Majesty the King. However, he will have less problem because the palace circle will be smaller, because of being new in the reign)
ผู้สื่อข่าวย้ำถามว่า ช่วยอธิบาย พระราชอริยาบถบุคคลิกลักษณะ ของพระบรมฯให้ฟังด้วย (What kind of personality does he have? ) ทักษิณ ตอบว่า พระองค์ท่านเป็นผู้ที่ทรงเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวที่จะกระทำการสิ่งใดให้สำเร็จ พระองค์ท่านมีความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น (He has a very strong determination to do what he really wants to achieve. He has a strong determination.)
เชื่อมั่นพระบรมฯเมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ จะเป็นกษัตริย์ที่ดี เพราะเรียนรู้จากในหลวงมามาก ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า พระบรมฯทรงต้องการมุ่งมั่นจะทำอะไรให้สัมฤทธิ์ผล (What does he want to achieve? )
ทักษิณ ตอบว่า พระองค์ท่านยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ ดังนั้นก็เป็นธรรมดาว่า ตอนนี้ท่านก็ยังไม่เปล่งรัศมีทอแสง แต่หลังจากเสด็จขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว ผมเชื่อมั่นว่า พระองค์ท่านจะทรงเปล่งรัศมีทอแสง สมสง่ากับความเป็นขัติยราชได้ เพราะพระบรมฯได้เฝ้าสังเกตเรียนรู้จากในหลวง ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชบิดามานานปี พระองค์ทรงเรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัวฯ แต่เวลานี้ ยังไม่ถึงเวลาของพระองค์เท่านั้น แต่เมื่อเวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นเป็นกษัตริย์มาถึง ผมคิดว่าพระองค์ท่านจะมีพระราชบารมีที่เหมาะสมกับฐานะกษัตริย์แน่ (He's not the King yet, he may not be shining. But after he becomes the King I'm confident he can be shining to perform Kingship, because he has observed His Majesty, his father, for many years. He learns a lot from His Majesty. It's not his time yet. But when the time comes I think he will be able to perform.)
จากการอ่านคำสัมภาษณ์ และการตอบแบบสัมภาษณ์นี้ จะเห็นว่า ทักษิณ ได้กล่าวเทิดทูนในหลวง พระราชินี พระบรมโอรสถาธิราช ในทางถวายพระเกียรติ กระทั่งแก้ต่างกับสื่อต่างชาติตลอดเวลาการให้สัมภาษณ์ แต่เมื่อ ผู้จัดการ นำเสนอกลับเป็นให้สัมภาษณ์ ล้มสถายัน แล้วสื่อกระแสหลักทั้งออนไลน์ สิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ก็นำข่าวต้นฉบับจาก ผู้จัดการ ไปขยายผลอย่างบิดเบือน ไร้ยางอาย ไร้การตรวจสอบใดๆ
กรณีที่ 2. เปลว สีเงินสวมบทสื่อคลั่งสั่งฆ่าทักษิณ เปิดเบื้องหลังสุดอัปยศไร้ยางอาย สำหรับเปลว สีเงินนั้น ได้เขียนบทความลงในไทยโพสต์ แล้วผู้จัดการ ASTV กระบอกเสียงพันธมิตรนำไปขายผล โดยระบุว่า คนที่มีความสุขจากการเห็นคนชาติอื่นมาเหยียบย่ำชาติตัวเอง โทษสถานเดียวของคนพรรค์นี้คือ ฆ่าทิ้ง ก่อนที่มันจะ ฆ่าชาติ(ดูลิ้งค์ข่าว)
เปลว สีเงิน หรือ นายโรจน์ งามแม้น เคยเป็นคอลัมนิสต์ใหญ่ในไทยรัฐยุค นายกำพล วัชรพล ยังมีชีวิตอยู่ ต่อมาได้ออกมาทำหนังสือพิมพ์สยามโพสต์ โดยถือคติว่าคนหนังสือพิมพ์ต้องทำตัวเป็นฝ่ายค้านกับทุกรัฐบาล สยามโพสต์ ไม่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย ขณะที่ถูกฟ้องร้องสารพัด แต่คนรับเคราะห์คือ นายอรุณ ลานเหลือ ซึ่งเปลวตั้งให้เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลสู้คดี ขณะที่ เปลว ปิดสยามโพสต์หนีไปเปิดหัวใหม่คือ ไทยโพสต์
มาเปิดหัวใหม่ ไทยโพสต์ พอดี ทักษิณ มาเป็นรัฐบาล เปลว ก็ตามจิกด่า ตามคติว่าคนหนังสือพิมพ์ต้องทำตัวเป็นฝ่ายค้านด่าทุกรัฐบาล แต่โดน ทักษิณ ตรวจสอบในเรื่องฐานะการเงิน โดยให้ สตง.ตรวจสอบ พร้อมผู้บริหาร เครือเนชั่น และไปบีบโรงพิมพ์ของนาย ระวิ โหลทอง แห่งสยามกีฬา ที่เปลวนำ ไทยโพสตฺ ไปพิมพ์ จน ระวิเลิกพิมพ์ให้ ไทยโพสต์ และประการหนึ่ง ก็เป็นโอกาสที่ ระวิ อยากเลิกพิมพ์ให้อยู่ด้วย เพราะติดหนี้ค้างชำระไว้มาก ทำให้ เปลว แค้น ทักษิณ ต้องหาเรื่องเอาคืนมาแต่นั้น
พอพันธมิตรปิดสนามบิน จบลงด้วยการโค่น รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลงและ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นรัฐบาล เปลวสีเงิน รีบเกาะขบวนเชลียร์ รัฐบาล อภิสิทธิ์ ทันที โดยมุ่งไปเชียร์ นางพรทิวา นาคาศัย ที่เข้ามาเป็น รัฐมนตรีพาณิชย์ เพราะเวลานั้นถูกตั้งคำถามเรื่องภูมิหลังที่ครอบครัว นางพรทิวา ทำสถานอาบอบนวด "โพไซดอน" ไม่ควรมาเป็น รัฐมนตรีด้านการค้า
เปลวเขียนบทความลงใน ไทยโพสต์ เมื่อ11 ก.พ. 2552 เชีย ร์พรทิวา แบบออกนอกหน้า ว่า พรทิวา "ถูกใส่ร้าย" อย่างไม่เป็นธรรม สร้างความเสียหาย ชื่อเสียง "ประเทศไทย" เพราะ พรทิวา อยู่ในฐานะ "ตัวแทนประเทศไทย"! เปลว เขียนเชลียร์ว่า "พรทิวา" จะไม่แค่ "นาคาศัย" เท่านั้น นักการเมืองน้อยใหญ่ ไม่ว่าใคร ก็หวังจะอาศัยเธอทั้งนั้น เธอจะเป็นนักการเมืองหญิงที่ "หญิงยุคใหม่" ซูฮก และยกให้เป็น "ต้นแบบ-หญิงห้าว"!
ผมสังเกตว่า เธอเป็นคน "หัวไว-ใจนักเลง" โครงสร้างเสียง บ่งอนาคตไปได้ใหญ่โต เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจว่า การนอบน้อม และรับฟังผู้ใหญ่ที่เป็น "คณะปรึกษา" นั้น เป็นคุณสมบัติที่ดีของนักบริหาร "คุณพรทิวา นั้น มีรอยยิ้มที่เรียกว่า "ยิ้มเหมือนโลกเศร้า" เป็นยิ้มของคน "ไม่สิ้นโศก" จากส่วนลึก!? เมื่อประกอบเข้าทั้งใบหน้า แววตาที่ค่อนข้างเหม่อลอย และในเสียงผิดลักษณ์หญิง แต่เป็นเอกลักษณ์ "หญิงทรงอำนาจ" และเด็ดขาด นั้น ก็บังเอิญปลายเส้นเสียงเป็นกังวานที่แตกพร่า ตรงจมูกฮวบเหล็งดี ปากดี กรามดี คางดี สรุปว่า ถ้ายึดมั่นใน ทาน ศีล ภาวนา ให้สม่ำเสมอเขาไว้ จะเสริมให้ยิ่งแก่ยิ่งรวย และยิ่งแก่ ยิ่งดัง นั่นแล" นี่เป็นความไร้ยางอายของ เปลว เวลาที่เขาจะเชียร์ใครซักคน หาเรื่องไม่เจอก็เอาโหงวเฮ้งมาอ้าง แล้ว พรทิวา ก็ให้ เปลว ได้ "อาศัย" จริงๆ เพราะนับแต่นั้น งบโฆษณาสารพัดจาก กระทรวงพาณิชย์ ที่ พรทิวา เป็นเจ้ากระทรวงอยู่ ก็ไหลมาเทมาลง ไทยโพสต์ นับแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้าย แทบทุกวัน นอกเหนือจากโฆษณาจาก "สำนักนายกรัฐมนตรี" ของ อภิสิทธิ์ ที่ขึ้นหราอยู่หน้า1ของไทยโพสตฺแทบทุกวัน ล่าสุด เปลว ก็ก่อเรื่องอัปยศอีก เมื่อได้บีบให้คอลัมนิสต์ "ใบตองแห้ง" ที่เขียนคอลัมน์ ว่ายทวนน้ำ ในไทยโพสต์ ซึ่งมีจุดยืนเป็นกลาง อยู่ตรงข้ามกับ เปลว อย่างมากออก โดยหลีกเลี่ยงที่จะจ่ายเงินชดเชย ตามกฎหมายแรงงาน โดย ใบตองแห้ง เปิดเผยเรื่องดังกล่าวนี้ว่า "เมื่อผมทราบว่ าวีซ่าหมดอายุ ไม่ได้เขียน ว่ายทวนน้ำอีก ผมก็ยอมรับโดยดี ไม่ได้ถามเหตุผล เพราะมองแบบน้ำครึ่งแก้ว ผมได้อิสระมาตั้ง 3 ปีกว่า ก็เป็นความใจกว้างล้นเหลือแล้ว แต่บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ผมก็ควรงดการเขียนบทสัมภาษณ์ด้วย เพราะจะสร้างความขัดแย้ง เช่นกัน และผมก็คงนั่งกินเงินเดือนเปล่าๆ ไม่ได้ ก็ต้องลาออก เพื่อมีอิสระไปทำอะไรใหม่ๆ เพียงแต่มาคุยกันภายหลังว่า ผมจะทำบันเทิงอยู่ไหม ผมยังไม่อยากตกงาน แบมือขอเงินเมียอย่างเดียว จึงบอกว่าทำได้ ในลักษณะฟรีแลนซ์ แต่ ไทยโพสต์ เสนอว่าจะให้เป็นเงินเดือน โดยคิดเงินเดือนกันใหม่ (ลดลงจากเดิมมาก) ผมก็โอเค เพราะจะได้ไม่ยุ่งยากเรื่องการส่งภาษีส่งประกันสังคม ฉะนั้น ผมก็ไม่ได้ยื่นใบลาออกเป็นทางการ นับแต่วันที่ 1 พ.ย. ถ้าดูบัญชีพนักงาน ผมก็ยังเป็นพนักงานที่รับเงินเดือน ไทยโพสต์ อยู่ แต่เป็นเงินเดือนใหม่ ข้อตกลงใหม่ ผมไม่มีตำแหน่งหน้าที่อะไรแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับ โต๊ะข่าวการเมือง ไม่มีเก้าอี้นั่ง ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ เขียนส่งทางเมล์ และมีอิสระที่จะไปทำงานที่อื่น ดังนั้น ถ้าพูดว่าผมยังอยู่ ยังไม่ได้ออก ก็ถูกเหมือนกัน แต่ถูกครึ่งเดียว ที่ถูกคือ ผมออกมาอยู่ข้างนอก ทำงานอิสระ แต่ยังรับจ้าง ไทยโพสต์ ในงานที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง" ทางด้านนักกฎหมายแรงงานกล่าวว่า การที่ เปลว สีเงิน ผู้บริหาร ไทยโพสต์ ทำกับ ใบตองแห้ง ดังกล่าว ขัดต่อกฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงาน เพราะเป็นการปรับสภาพการจ้างงาน โดยไม่เป็นธรรม ดูเจตนาแล้ว หวังผลให้พนักงานลาออกเอง โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่า "ใบตองแห้ง" จะยกขึ้นมาต่อสู้ว่า ถูกปรับสภาพการจ้างเพื่อบีบให้ลาออก แล้วไปขอค่าชดเชยตามกฎหมาย หรือสมยอมกับการกระทำดังกล่าว
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ได้ออกแถลงการณ์เมื่อ 6 พ.ย.เรียกร้องให้ชี้แจง กรณีปลด ใบตองแห้ง เพราะสาธารณชน มีข้อกังขาต่อการยุติบทบาทคอลัมน์ ว่ายทวนน้ำ โดยฉับพลัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ ที่ได้ตั้งปณิธานการทำหน้าที่สื่อมวลชนของตนเองไว้ว่า เป็นพื้นที่สื่อที่มี อิสรภาพแห่งความคิด อีกทั้งเสียงสะท้อน ทวงถามจากกลุ่มผู้อ่าน ภายหลังที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ย่อมบ่งบอกถึงคุณภาพของกลุ่มผู้อ่าน หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ที่เปิดกว้างทางความคิดและต้องการรับรู้ความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ตลอดจนตระหนักถึง เสรีภาพในการทำหน้าที่ของ สื่อมวลชน
กรณีที่ 3 : แก๊งหยุ่น-เปรม-มาร์คผลประโยชน์ทับซ้อนกับผลประโยชน์คนไทย ลุง อภิสิทธิ์ ผู้นิยม ปชป. : นายนิสสัย เวชชาชีวะ (ซ้าย) นอกจากจะเป็นลุงของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเป็นพ่อของ นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ เล่ากันว่า เขาเป็นคนกดดันให้ลูกชายยุติบทบาททางการเมือง สนับสนุน ทักษิณ แล้วยื่นคำขาด ให้มาอยู่พรรคเดียวกับ นายอภิสิทธิ์ หากยังต้องการใช้นามสกุล เวชชาชีวะ อยู่ต่อไป นายนิสสัย เป็นกรรมการอิสระของ เนชั่น และเป็นบอร์ด NBC ชุดล้างขาดทุนสะสมนำเข้าตลาดหุ้น ทำถูกกฎหมายก็ทำได้ แต่ เนชั่น เพิ่งจะทำหลัง กลต. รับเรื่องลงดาบจ่อฟัน หลังจากโฆษณาขายหุ้นจอง เนชั่น บรอดแคสติ้ : NBC อย่างผิดกฎหมายมาโดยตลอด จนประชาชนจำนวนมาก ร้องเรียนให้ กลต.ดำเนินคดีตามกฎหมาย และกลต. ได้เปิดเผยว่า จะเข้าไปตรวจสอบ มาวันนี้ ช่วงเวลาราว 09.05 น.ในรายการ "เก็บตกจากเนชั่น" ทาง เนชั่นแชนัล ได้มีการปฏิบัติตามกฎหมายเป็นครั้งแรกแล้ว โดยในป้ายข้อความโฆษณาขายหุ้นจอง NBC นั้น ได้มีการขึ้นข้อความ "คำเตือน : การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง นักลงทุนพึงศึกษารายละเอียดจากหนังสือชี้ชวน" ทุนสามานย์? : ไม่ใช่เพียงทัศนะการเมืองที่ไปทางเดียวกันของ สุทธิชัย หยุ่น กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้น แต่เป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน โดยฝ่าย อภิสิทธิ์ ให้เวลาฟรีทีวีแทบทุกช่อง กับประเคนโฆษณาให้ ส่วน เนชั่นเป็นองครักษ์คอยพิทักษ์ปกป้องและเป็นกองเชียร์ ทั้งหมดนี้ มีผลประโยชน์ทับซ้อนสำคัญ กับผลประโยชน์ของสาธารณชนชาวไทย นั่นคือ ภาษีและทรัพยากร ของประชาชน-ของรัฐตกไปเป็นของ เนชั่น ส่วน เนชั่น ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ หมาเฝ้าบ้านที่ซื่อสัตย์อีกแล้ว แต่เป็นหมาบ้าที่กัดทุกคน หากข้องแวะกับ อภิสิทธิ์ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในรายงานข่าวเชิงสืบสวน : เบื้องหลังโชคมหาศาลของเนชั่น มันคืออาชญากรรมย่ำยีชาติและประชาธิปไตย และข่าวเนชั่นได้เข้าไปทำรายการทางฟรีทีวีแทบทุกช่องหลังรัฐประหาร19กันยา:คลิ้กที่นี่ )
นามสกุล เวชชาชีวะ เป็นกรรมการ NBC ชุดล้างเน่า แต่งตัวเข้าตลาดหุ้น: บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) : NBC เจ้าของ เนชั่นทีวี และเจ้าของรายการโทรทัศน์ เครือเนชั่น ทางฟรีทีวีแทบทุกช่อง ซึ่งกำลังนำเสนอขายหุ้นจอง ต่อประชาชน ในช่วงนี้ยังมีเรื่องอื้อฉาว ไม่เว้นแต่ละวัน นอกเหนือจากการโฆษณาขายหุ้นผ่านสื่อของตนเองอย่างน่าเกลียด และผิดกฎหมายเพราะ ไม่ขึ้นคำเตือนเรื่อง การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง แถม นายกนก รัตน์วงศ์สกุล นักเล่าข่าวอื้อฉาว เครือเนชั่นยังโฆษณาเกินจริงว่า"หากใครจองซื้อ NBC ก็จะรวยไม่รู้เรื่อง รวยเละ" แล้ว ยังมีข้อครหาว่า อิบแอบแนบชิดกับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในลักษณะต่างตอบแทนกันทางผลประโยชน์ด้วย โดย เนชั่น ได้ผลประโยชน์จากการเข้าไปจัดรายการทางฟรีทีวี ช่องต่างๆ และได้ผลประโยชน์จากงบโฆษณาที่ รัฐบาลจัดให้ ทำให้งวด6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้จากสื่อโทรทัศน์ วิทยุ พุ่งขึ้นกว่าปีก่อน 16% ขณะที่ ภาพรวมอุตสาหกรรมเดียวกัน ทรุดฮวบลง13% สอดคล้องกับที่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ได้ชื่อว่า ซื้อสื่อโฆษณามากเป็นอันดับที่ 2 เหนือกว่าบริษัท หรือสินค้าชื่อดังทั้งหลาย ตามที่ ไทยอีนิวส์ เสนอไปแล้ว แลกกับการที่ เนชั่น ทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ อภิสิทธิ์ และเป็นกระบอกเสียงให้ ล่าสุดเราตรวจสอบพบด้วยว่า ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งเป็นวันที่ NBC ได้มีมติล้างขาดทุนสะสมทางบัญชี และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนนั้นมีชื่อ นายนิสสัย เวชชาชีวะ เป็นกรรมการบริษัทอยู่ด้วย เช่นเดียวกับที่ นายสุทธิชัย หยุ่น ซึ่งตอนนั้นเป็นประธานบริษัท NBC แต่ต่อมา ชื่อของทั้งคู่ก็หายไปอย่างปริศนา ไม่มีรายชื่อในคณะกรรมการ NBC ชุดปัจจุบัน
Create Date : 11 พฤศจิกายน 2552 |
|
16 comments |
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2552 11:11:21 น. |
Counter : 9318 Pageviews. |
|
|
|
รายชื่อ ตำแหน่งใน NBC :
คุณสุทธิชัย แซ่หยุ่น (ประธานกรรมการ)
คุณธนะชัย สันติชัยกูล (กรรมการ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร)
คุณอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ (กรรมการอำนวยการ)
คุณนิสสัย เวชชาชีวะ (กรรมการ)
คุณปกรณ์ บริมาสพร (กรรมการ)
คุณปณต วิเลปสุวรรรณ (กรรมการ)
ปัจจุบัน : นายนิสัย เวชชาชีวะ ยังเป็นกรรมการอิสระใน เนชั่นมัลติมีเดีย (NMG) บริษัทแม่ของ NBC (//www.set.or.th/set/companyprofile.do;jsessionid=71E43E95746CE0C7DD71242C033BDE50?symbol=NMG&language=th&country=TH)
ที่มา : สารสนเทศ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด(//www.settrade.com/simsImg/news/2009/09003673.t09)