Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
10 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 

บรัสเซลส์แสนสวย - บรูจจ์สุดประทับใจ

ในทริปไปยุโรปครั้งนี้ ผมมีโอกาสเดินทางไปเยือนประเทศเบลเยี่ยมเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 ในสองเมืองสำคัญ คือบรัสเซลส์เมืองหลวง และบรูจจ์เมืองสวยงาม ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ขอนำสิ่งสวยงามประทับใจ ที่พบเห็นในเวลาสั้น ๆ มาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ครับ




อะโตเมียม(Atomium) สิ่งก่อสร้างของประเทศเบลเยี่ยม ตั้งอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศ ถือกันว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1958 ในงานแสดงสินค้าโลก หรือ World Expo โดยสถาปนิกชื่อ Andre Waterkyne โครงสร้างเป็นเหล็ก ประกอบไปด้วยอะตอมเก้าอะตอม ที่ขยายใหญ่ถึง หนึ่งแสนหกหมื่นห้าพันล้านเท่า มีความสูง 102 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 2,400 ตัน ในแต่ละอะตอมทำเป็นทรงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 18 เมตร ห่อหุ้มด้วยอลูมิเนียม ที่สะท้อนแสงแดดเป็นประกาย เมื่อยามต้องกับแสงอาทิตย์ ทรงกลมแต่ละทรงกลมจัดแบ่งเป็นสองชั้น และเชื่อมต่อกันด้วยท่อที่มีความกว้าง 3.3 เมตร ยาวตั้งแต่ 22-29 เมตร ภายในมีบันไดเลื่อน เชื่อมต่อถึงกันได้ทั้งหมด มีอยู่หกใบที่เข้าไปชมได้ อีกสามใบว่างเปล่าปิดไม่ให้เข้าชม ด้วยเหตุผลในด้านความปลอดภัย




อะโตเมียมได้มีการซ่อมและปรับปรุงในปี ค.ศ.2005-2006 และได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมอีก ตั้งแต่ปี ค.ศ.2006 จนถึงปัจจุบัน ข้างในมีนิทรรศการเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ การเดินทางในอวกาศ เรื่องของดาราศาสตร์ และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ตามแนวความคิดหลักของการใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ




งานเอ็กซ์โป 1958 มีประเทศต่างๆ เข้าร่วมงานนับร้อยประเทศ (รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย) โดยเบลเยี่ยมได้ขอให้แต่ละประเทศร่วมกันจัดสร้างอาคารแสดงสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของชาติรวม 58 อาคาร ด้วยเทคโนโลยีวิทยาการและวัสดุทันสมัยที่สุดในขณะนั้น และนี่คือ 1 ในอาคารเหล่านั้น




สิ่งก่อสร้างสวยงามกลางกรุงบรัสเซลส์ ต้นทางที่จะเดินไปชมจตุรัสกลางเมือง




เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ จะเห็นความละเอียดสวยงามชัดเจนยิ่งขึ้น




จัตุรัสแกรนด์เพลส หรือ กรองด์ ปลาซ (Grand Place หรือ Grote Markt) เป็นจตุรัสที่สวยงามที่สุดในยุโรป เป็นกลุ่มอาคารที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมทั้งบาโร้ค โกธิค นีโอ-โกธิค และเป็นสถานที่ซึ่งยูเนสโก้ ยกย่องให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1983




ที่นี่คือตลาดกลางเมือง มีถนน 7 สาย ทอดตัวสู่จตุรัสกรองด์ ปลาซ ถนนที่ล้อมรอบบ่งบอกถึงสินค้าที่ขาย เช่น ถนนขายเนย, ถนนขายเนื้อ ฯลฯ อาคารโดยรอบงดงามด้วยสไตล์เฟลมมิช-บาร็อค กิลด์เฮ้าส์




ใน ค.ศ.1995 อาคารในจัตุรัส กรองด์ ปลาซ ถูกทหารฝรั่งเศสยิงระเบิดเข้าทำลาย แก้แค้นที่ฝรั่งเศสเคยแพ้สงครามในเบลเยี่ยมตอนใต้ แต่ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจช่วยกันบูรณะอาคารกระทั่งกลับมาดูดีอย่างเดิม หลังจากนั้นมีการซ่อมแซมอีกหลายครั้ง จนดูสวยงามดังที่เห็นในปัจจุบัน




กลางลานมีพื้นที่กว้าง 110 เมตร ยาว 70 เมตร จะเป็นตลาดขายต้นไม้ ทั้งไม้ดอกและไม้ประดับ




ศาลาว่าการเมือง หรือ City Hall เป็นที่ทำการของเมือง ทุกวันนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เมือง รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับกรุงบรัสเซลส์เอาไว้ ให้นักท่องเที่ยวที่สนใจเข้าไปชมได้




อาคารทุกอาคารสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค บนหลังคายังมีรูปปั้นสีทองโดดเด่น




วันนี้เสียเวลาในการเดินทางเล็กน้อย จึงมาถึงจตุรัสนี้เกือบเที่ยงแล้ว ถ่ายรูปกันได้เดี๋ยวเดียว หัวหน้าทัวร์ก็เรียกให้เดินไปรับประทานอาหารกลางวัน ที่ร้านอาหารพื้นเมืองซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ จตุรัสนั่นเอง อาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือ "หอยแมลงภู่อบหม้อดิน" แต่น่าเสียดายที่ทุกคนกำลังหิว ถ่ายรูปได้เพียงรายการอาหารที่อยู่บนโต๊ะเท่านี้เองครับ แหะ ๆ




อิ่มแล้วเราจะออกเดินทางไปชมรูปปั้นเด็กน้อย ที่ทุกคนไปเบลเยี่ยมต้องไปชมกัน ตามถนนนี้




มีหุ่นตั้งอยู่กลางถนน เขียนชื่อว่าแวนโก๊ะ ดูใกล้ ๆ ปรากฏว่าเป็นคน ถ้าเข้าไปถ่ายรูปตรง ๆ ก็ต้องจ่าย 5 ยูโร




เดินไปอีกหน่อยก็เห็นรูปปั้นเทพเจ้าทันใจ อยู่บนกำแพงตึกด้านซ้ายของถนน ผู้คนเชื่อว่าถ้าเข้าไปลูบ ๆ คลำ ๆ แล้วอธิษฐานจะสมหวัง ถ้าเป็นคนไทยคงมีบางคนขอให้ถูกหวย




หันกลับไปดูหัวถนน มีใครในคณะยังตามมาไม่ทันบ้างหรือเปล่า ปรากฏว่า...ไม่มี




บริเวณถนนที่เดินไปชมรูปปั้นเด็กน้อย จะเป็นที่ตั้งของร้านขายสินค้าที่ระลึกเกี่ยวกับเบลเยี่ยมและรูปปั้นเด็กน้อย เช่น ร้านนี้ขายจานเซรามิคที่ทำเป็นนาฬิกา สวยงามน่ารัก




ร้านนี้ขายช็อกโกแลต รูปสัตว์ต่าง ๆ




ร้านนี้ขายตุ๊กตาที่ทำจากผ้าน่ารัก




ร้านนี้ขายกระเป๋าหนังลวดลายสวยงาม เป็นรูปอาคารในบริเวณจตุรัสแกรนด์เพลส นั่นเอง




ถึงเสียที เดินเสียจนเมื่อยเลย รูปปั้นเด็กน้อยที่ตั้งใจมาชม

บรรดานักท่องเที่ยวที่ไปเยือนกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม จะต้องไม่พลาดที่จะไปชมอนุสรณ์รูปปั้นของเด็กผู้ชายยืนปัสสาวะหรือที่เราเรียกว่า "หนูน้อยแมนเนเก้น พิส" (Manneken Pis แปลว่า เด็กชายกำลังฉี่) ตั้งอยู่ที่หัวมุมถนนเลทุฟตัดกับถนนแชน

จุดกำเนิดของหนูน้อยนี้มีเรื่องเล่าขานกันว่า ในสมัยที่ฝรั่งเศสบุกเบลเยียมนั้น หนูน้อยคนนี้ใช้ปัสสาวะของตัวเองดับไฟที่ทหารฝรั่งเศสจุดขึ้นเพื่อวางเพลิง ดังนั้นกษัตริย์จึงให้สร้างรูปปั้นสัมฤทธิ์นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์ตัวแทนความกล้าหาญให้หนูน้อยดังกล่าว




เมื่อถึงวันรำลึกรูปปั้นเด็กยืนฉี่นี้ บริษัทที่ผลิตเหล้าองุ่นต่างๆ จะบริจาคเหล้าองุ่นโดยให้ไหลออกมาจากตัวรูปปั้นเพื่อให้ประชาชนในเมืองได้ชิม พร้อมทั้งร่วมพิธีเฉลิมฉลองวันครบรอบดังกล่าว

เนื่องจากรูปปั้นอยู่ในลักษณะเปลือยคงจะมีผู้คนรู้สึกสงสารหนูน้อยที่อาจจะหนาวในฤดูหนาว จึงมีการบริจาคเสื้อผ้าเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนให้กับรูปปั้นหนูน้อยเพื่อสวมใส่ในเทศกาลต่างๆไม่ว่าจะเป็น ชุดรับปริญญา ชุดซานตาคลอส ชุดเอลวิส เพรสลีย์ ชุดมิกกี้เมาส์ หรือแม้แต่ชุดไทย เป็นผ้าโจงกระเบนกับเสื้อราชปะแตน ก็ยังมี เสื้อผ้าเหล่านี้จะนำมาสวมใส่ให้กับรูปปั้นในเทศกาลต่าง ๆ ส่วนที่เหลือนำไปจัดเป็นนิทรรศการให้ผู้คนเข้าชมที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ในบริเวณ "แกรนด์เพลส"




ถ้าอยากซื้อของที่ระลึกเกี่ยวกับรูปปั้นนี้ ทั้งพวงกุญแจ เสื้อผ้า รวมทั้ง ช็อกโกแลตรูปแมนเนเก้น พิส ก็มีจำหน่ายอยู่ที่ร้านขายของที่ระลึก ใกล้บริเวณที่ตั้งของรูปปั้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อไปเป็นที่ระลึกถึงวีรกรรมของเด็กน้อย




เนื่องจากจะต้องเดินทางไปเมืองบรูจจ์ ตอนนี้ก็บ่ายมากแล้วคงต้องจากบรัสเซลส์เสียที ไปกันนะครับ

ขณะเดินทางออกจากเมืองบรัสเซลส์จะเห็นแม่น้ำเอสโก (Escaut) แม่น้ำสายหลัก หนึ่งในสองสาย ของเบลเยี่ยมที่ไหลผ่านตัวเมืองบรัสเซลส์




เริ่มเข้าสู่ตัวเมืองบรูจจ์แล้ว สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ดูสวยงามไปหมด แม้แต่โบสถ์นี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น หลังคาโบสถ์ที่เห็นเป็นสีเขียวเกิดจากสนิมทองเหลือง ที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ แต่ก็ดูสวยงามดี




ถึงแล้ว เมืองบรูจจ์ (Brugge หรือ Bruges ในภาษาอังกฤษ) เป็นเมืองที่สวยงาม และมีรูปแบบสถาปัตยกรรม ที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นเมืองที่ยังหลงเหลือสภาพบ้านเรือน ถนนหนทาง โบสถ์ และสิ่งปลูกสร้างเดิม ที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของยุโรปยุคกลาง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2000 เมือง Brugge ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก




จัตุรัสกลางเมือง“มาร์เก็ตสแควร์” ที่มีสิ่งก่อสร้างน่าสนใจหลายแห่งโดยเฉพาะตัวอาคารศาลาเทศบาลเมือง ซึ่งเป็นอาคารสไตล์โกธิคที่งดงาม




ลานเบิร์ก ลานกว้างอีกแห่ง อยู่หน้าวังเก่า เป็นศาลาว่าการเมืองปัจจุบัน มุมหนึ่งเป็นที่ตั้งของ บาซิลิกาแห่งพระโลหิต เป็นที่เก็บกระบอกที่เชื่อกันว่าภายในบรรจุหยดพระโลหิตพระเยซู ที่พวกครูเสดนำมาราวปลายศตวรรษที่ 12 (อยู่ทางด้านขวามือ มองไม่เห็นในภาพ)




ร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว เป็นตุ๊กตาแกะสลักจากไม้ ฝีมือประณีต สวยงามน่ารัก




บริเวณห้องรับแขกโรงแรมที่คณะของเราไปพักในเมืองบรูจจ์ เป็นปราสาทเก่าที่ได้รับการตกแต่งใหม่




อีกมุมหนึ่ง ดูเหมือนมีสายตาของเจ้าของภาพเขียนแอบมองเราอยู่ เอ...คิดมากไปหรือเปล่านี่




ห้องอาหารเช้าสำหรับแขกที่ไปพักที่โรงแรม ก็สวยงามไม่แพ้กัน




เมืองบรูจจ์ประกอบไปด้วยคูคลองเป็นจำนวนมาก จนได้รับการขนานนามว่า "เวนิชแห่ง ยุโรปเหนือ" ตอนกลางคืนจะมีสีสันสวยงาม เสียดายไม่มีภาพตอนกลางคืนมาให้ชมเพราะเผลอหลับไปเสียก่อน เลยได้แค่ภาพตอนเช้าบริเวณด้านหลังโรงแรมมาให้ชมแทน ขออภัยด้วยครับ




เนื่องจากกำหนดการเร่งรัด หัวหน้าคณะทัวร์เรียกขึ้นรถแล้ว เราคงจะจากเมืองบรูจจ์และประเทศเบลเยี่ยมกัน ด้วยภาพประติมากรรม ตั้งอยู่บริเวณจตุรัสทางออกจากเมือง ภาพนี้




ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม แล้วพบกันใหม่ในโอกาสต่อไปครับ.




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2554
0 comments
Last Update : 14 ธันวาคม 2561 21:34:43 น.
Counter : 3189 Pageviews.


ทองกาญจนา
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทองกาญจนา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.