ชีวิตคือการเดินทาง........
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
12 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 

อนัตตลักขณสุตตัง

อนัตตลักขณสุตตัง

เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ตัต์ระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ ฯ

..........รูปัง ภิกขะเว อะนัตตา ฯ รูปัญจะหิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ นะยิทัง รูปัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ รูเป เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อะโหสีติ ฯ ยัส์มา จะ โข ภิกขะเว รูปัง อะนัตตา ตัส์มา รูปัง อาพาธายะ สังวัตตะตินะ จะ ลัพภะติ รูเป เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มาอะโหสีติ ฯ

..........เวทะนา อะนัตตา ฯ เวทะนา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะกะวิสสะ นะยิทัง เวทะนา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะจะ เวทะนายะ เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา
อะโหสีติ ยัส์มา จะ โข ภิกขะเว เวทะนา อะนัตตา ตัส์มา เวทะนา อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ เวทะนายะ เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ ฯ

..........สัญญา อะนัตตา ฯ สัญญา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะกะวิสสะ นะยิทัง สัญญา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ ฯ
ยัส์มา จะ โข ภิกขะเว สัญญา อะนัตตา ตัส์มา สัญญา อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ ฯ

..........สังขารา อะนัตตา ฯ สังขารา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะกะวิสสะ นะยิทัง สังขารา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหตุ เอวัง เม สังขารา มา
อะโหสีติ ฯ ยัส์มา จะ โข ภิกขะเว สังขารา อะนัตตา ตัส์มา สังขารา อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ ฯ

..........วิญญาณัง อะนัตตา ฯ วิญญาณังจะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะกะวิสสะ นะยิทัง วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ ลัพเภถะ จะ วิญญาเณ เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง
มา อะโหสีติ ฯ ยัส์มา จะ โข ภิกขะเว วิญญาณัง อะนัตตา ตัส์มา วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตตะติ นะ จะ ลัพภะติ วิญญาณัง เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา
อะเหสุนติ ฯ

..........ตัง กิม มัญญะถะ ภิกขะเว รูปัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ ฯ อะนิจจัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส์มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ

..........ตัง กิม มัญญะถะ ภิกขะเว เวทะนา นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ ฯ อะนิจจัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส์มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ

..........ตัง กิม มัญญะถะ ภิกขะเว สัญญา นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ ฯ อะนิจจัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส์มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ

..........ตัง กิม มัญญะถะ ภิกขะเว สังขารา นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ ฯ อะนิจจัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส์มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ

..........ตัง กิม มัญญะถะ ภิกขะเว วิญญาณัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ ฯ อะนิจจัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ ฯ ทุกขัง ภันเต ฯ ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัส์มิ เอโส เม อัตตาติ ฯ โน เหตัง ภันเต ฯ

..........ตัส์มาติหะ ภิกขะเว ยังกิญจิ รูปัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หินัง วา ปะณีตัง วา ยันทูเร สันติเก วา สัพพัง รูปัง เนตัง มะมะ เนโสหะ- มัส์มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ

..........ยา กาจิ เวทะนา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หินัง วา ปะณีตา วา ยา ทูเร สันติเก วา สัพพา เวทะนา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส์มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ

..........ยา กาจิ สัญญา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หินัง วา ปะณีตา วา ยา ทูเร สันติเก วา สัพพา สัญญา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส์มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ

..........ยา กาจิ สังขารา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หินัง วา ปะณีตา วา ยา ทูเร สันติเก วา สัพเพ สังขารา เนตัง มะมะ เนโสหะมัส์มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ

..........ยังกิญจิ วิญญาณัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา หินัง วา ปะณีตัง วา ยันทูเร สันติเก วา สัพพัง วิญญาณัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัส์มิ นะ เมโส อัตตาติ ฯ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง ฯ

..........เอวัง ปัสสัง ภิกขะเว สุต์วา อะริยะสาวะโก รูปัส์มิงปิ นิพพินทะติ เวทะนายะปิ นิพพินทะติ สัญญายะปิ นิพพินทะติ สังขา-เรสุปิ นิพพินทะติ วิญญาณัส์มิงปิ นิพพินทะติ ฯ นิพพินทัง วิรัชชะติ ฯ วิราคา วิมุจจะติ วิมุตตัส์มิง วิมุตตะมีติ ญาณัง โหติ ขีณา ชาติ วุสิตัง พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ ฯ

..........อิทะมะโวจะ ภะคะวา ฯ อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขุ ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง ฯ

..........อิมัส์มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส์มิง ภัญญะมาเน ปัญจะ วัตติยานัง ภิกขุนัง อะนุปาทายะ อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสุติ ฯ






ปัญจวัคียสูตร ว่าด้วยอนัตตลักษณะ


ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์มาแล้วตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปมิใช่อัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็หากว่ารูปนี้จักเป็นอัตตาแล้วไซรื รูปนี้ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปราถนาในรูปว่า ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่รูปมิใช่อัตตา ฉะนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปราถนาในรูปว่า ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

เวทนามิใช่อัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็หากเวทนานี้จักเป็นอัตตาแล้วไซร้ เวทนานี้ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปราถนาในเวทนาว่า ขอเวทนานี้จงอย่าเกิดอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็เพราะเหตุที่เวทนามิใช่อัตตา ฉะนั้น เวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปราถนาในเวทนาว่า ขอเวทนาของเราจงเ ป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

สัญญามิใช่อัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็หากสัญญานี้จักเป็นอัตตาแล้วไซร์ สัญญานี้ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปราถนาในสัญญาว่า ขอสัญญานี้จงอย่าเกิดอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็เพราะเหตุที่สัญญามิใช่อัตตา ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปราถนาในสัญญาว่า ขอสัญญาของเราจงเ ป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย


สังขารมิใช่อัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็หากสังขารนี้จักเป็นอัตตาแล้วไซร์ สังขารนี้ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปราถนาในสังขารว่า ขอสังขารนี้จงอย่าเกิดอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็เพราะเหตุที่สังขารมิใช่อัตตา ฉะนั้น สังขารจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปราถนาในสังขารว่า ขอสังขารของเราจงเ ป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

วิญญาณมิใช่อัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็หากวิญญาณนี้จักเป็นอัตตาแล้วไซร์ วิญญาณนี้ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปราถนาในวิญญาณว่า ขอวิญญาณนี้จงอย่าเกิดอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็เพราะเหตุที่วิญญาณมิใช่อัตตา ฉะนั้น วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปราถนาในวิญญาณว่า ขอวิญญาณของเราจงเ ป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยง หรือไม่เที่ยง? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์พระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นไปไฉน เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์พระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นไปไฉน สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์พระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นไปไฉน สังขารเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์พระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นไปไฉน วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์พระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตหรือปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด ทรามหรือประณีต ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้ รูปทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา

เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตหรือปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด ทรามหรือประณีต ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้ เวทนาทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา

สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตหรือปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด ทรามหรือประณีต ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้ เวทนาทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา

สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตหรือปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด ทรามหรือประณีต ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้ เวทนาทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา

วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตหรือปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด ทรามหรือประณีต ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้ เวทนาทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ใดได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขาร ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในวิญญาณ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัดเพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้.....มิได้มี
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัส อนัตตลักขณสูตรนี้จบลงแล้ว ภิกษุปัญจวัคคีย์ ต่างมีใจชื่นชมยินดีด พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็และเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า กำลังตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ภิกษุปัจวัคคีย์ ก็มีจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น ดังนี้แล







 

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2553
0 comments
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2553 18:02:27 น.
Counter : 983 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แอมป้า
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add แอมป้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.