Group Blog
 
<<
กันยายน 2549
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
26 กันยายน 2549
 
All Blogs
 

Tuesdays with Morrie

กับ "ความหมายแห่งชีวิต" ที่ได้มา



มรณสติ เป็นคำพระที่นึกได้ทันทีที่เริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้ ทุกหน้ามีความหมายและคติเตือนใจอยู่ตลอด ผมเคยได้คำดีๆ เรื่องมรณสติ จำนวนหนึ่ง เช่น
• บทความของสตีฟ จ๊อบส์ เกี่ยวกับมรณสติ คือให้มองที่กระจกตอนเช้าและถามตัวเองว่า "หากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เราจะยังทำสิ่งที่เราจะทำนี้ไหม" หากตอบว่า "ใช่" ก็จงดำเนินชีวิตต่อ หากตอบว่า "ไม่ใช่" คงต้องคิดแล้วว่าเราจะทำอะไร หรือ อะไรที่เรายังไม่ได้ทำบ้าง
• อีกครั้งก็คืออ่านปกหลังของหนังสือในร้านหนังสือ เป็นของเพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย เขาบอกว่าการล้างจานก่อนนอนถือเป็นมรณสติอย่างหนึ่ง เพราะหากเราหลับแล้วไม่ตื่น จะได้ไม่ต้องมีใครมาล้างจานที่เราทานไว้ ในหนังสือเล่มนี้มีคำกล่าวให้ระลึกเรื่อง มรณานุสติ อยู่ตลอดเล่ม อีกทั้งมีแนวคิด หนทางแนะนำให้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตได้ดีทีเดียว
• พระอาจารย์วิชัย จากภาคเหนือเคยบอกไว้ว่า ให้เราเตรียมวีซ่าให้พร้อมที่จะเดินทางไกลอยู่เสมอ

ที่พบเห็นในหนังสือเล่มนี้คือ แนวคิดของครูมอร์รี ชวอตส์ (ที่คุยกับมิตซ์ อัลบอมนักข่าวกีฬาคนดัง) ซึ่งผมว่าเป็นแนวพุทธะมากทีเดียว เป็นพุทธะแบบลงลึก และเข้าใจความหมายแท้จริง โดยครูมีอุปกรณ์คือโรคเอแอลเอส ที่ไม่มีทางรักษา และ จะกินกล้ามเนื้อไปเรื่อยๆ จนเข้าปอดแล้วตาย โดยไม่กระทบสมอง ดังนั้นเราจะรู้ถึงความตายที่คืบคลานเข้ามาหาเราได้อย่างชัดเจน ผมจึงคิดว่าหนังสือเล่มนี้สามารถจัดอยู่ในหนังสือแนวพุทธได้เลย

วิธีอ่านหนังสือเล่มนี้ของผมคือต้องมี Marker สีเหลืองติดมือด้วย เพื่อจะได้ขีดแนวคิดดีๆ ได้อย่างทันท่วงที (ปกติจะไม่ทำเพราะเสียดายหนังสือ)

แนวคิดและสิ่งที่เรียนรู้ ที่ถูกใจและมีประโยชน์กับผมจากหนังสือเล่มนี้ มีดังนี้
1. ครูจะถามตัวเองหลังจากเป็นโรคเอแอลเอส ว่า ฉันจะปล่อยชีวิตให้เหี่ยวเฉาและตายจากไปหรือว่าฉันจะใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุด
2. ปรัชญาสั้นๆ เกี่ยวกับชีวิตใต้เงามรณะ
a. จงยอมรับในสิ่งที่คุณทำได้ และยอมรับในสิ่งที่คุณทำไม่ได้
b. จงยอมรับว่าอดีตคืออดีต โดยไม่ปฏิเสธหรือพยายามลืมอดีตนั้นเสีย
c. จงเรียนรู้ที่จะอภัยให้กับตัวเอง และอภัยให้กับผู้อื่น
d. อย่าด่วนสรุปว่าทุกอย่างมันสายเกินกว่าที่จะเข้าไปจัดการอะไรได้

3. การทดสอบปอดว่ายังแข็งแรงอยู่หรือไม่ โดยการหายใจออกให้นับเลขไปเรื่อยๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อนจะหายใจเข้าอีกครั้ง นับได้ประมาณเจ็ดสิบก่อนจะสุดลมหายใจถือว่าปกติ ครูมอร์รีนับได้แค่สิบแปดเท่านั้น
4. วัฒนธรรมของเราไม่ได้ทำให้เรามีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตัวเอง เธอต้องเข้มแข็งพอที่จะดูว่าหากวัฒนธรรมไหนไม่เข้าท่า ก็ไม่ต้องไปทำตาม
5. คนส่วนมากจะวนเวียนอยู่กับชีวิตที่หาแก่นสารอะไรไม่ได้ พวกเขาเหมือนกับคนครึ่งหลับครึ่งตื่นแม้ในขณะที่ยุ่งอยู่กับงานซึ่งตัวเองคิดว่าสำคัญ นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาวิ่งไล่ตามในสิ่งที่ผิด หนทางที่จะหาความหมายในชีวิตก็คือการมอบความรักให้แก่ผู้อื่นอย่างหมดหัวใจ ทุ่มเทตนให้กับชุมชนที่ตนอาศัยอยู่และอุทิศตเพื่อสรรค์สร้างบางสิ่งบางอย่างที่มีเป้าหมายและมีความหมายกับตัวเธอเอง
6. สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือ การเรียนรู้ที่จะแบ่งปันความรักให้แก่ผู้อื่น และการเปิดรับให้ความรักเข้ามา
7. ความรักเป็นการกระทำอย่างเดียวที่มีเหตุผล
8. ฉันจะทำอะไรถ้าเกิดวันนี้เป็นวันสุดท้ายของฉันในโลกนี้
9. วัฒนธรรมของเราไม่ได้ส่งเสริมให้เราคิดเรื่องพวกนี้จนกว่าจะถึงเวลาที่เราใกล้จะตาย เรามัวแต่วุ่นทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อเสริมความสำคัญให้แก่ตัวเอง
10. เรามัวแต่วุ่นทำอะไรจิปาถะไปวันๆ จนไม่เกิดนิสัยที่จะหยุดคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับชีวิตของเราเอง ลองทบทวนดูสิว่าชีวิตมันมีแค่นี้หรือ ฉันต้องการเพียงเท่านี้เองหรือ ยังมีอะไรอีกไหมที่ยังขาดหายไป
11. เมื่อเธอรู้แล้วว่าเธอจะต้องตาย เธอก็ควรเตรียมตัวให้พร้อมทุกขณะจิต ถ้าใช้วิธีนี้ เธอจะให้ความใส่ใจกับชีวิต มากขึ้น ในขณะที่เธอยังไม่ตาย
12. ทำอย่างที่ชาวพุทธเขาทำกันกันสิ ในทุกๆ วันจะมีนกตัวน้อยๆ เกาะอยู่บนบ่าและคอยถามเธอว่า "ใช่วันนี้หรือเปล่า ฉันพร้อมแล้วหรือยัง นี่ฉันทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำแล้วหรือ ฉันเป็นคนอย่างที่ฉันอยากจะเป็นแล้วหรือ"
13. ไม่มีใครหรอกที่เชื่อว่าตัวเองจะต้องตาย
14. เมื่อเธอรู้ว่าจะตายอย่างไร เธอก็จะรู้ว่าควรมีชีวิตอยู่อย่างไร
15. ไม่มีอะไรจะเป็นรากฐานหรือเป็นพื้นฐานอันมั่นคงให้คนเรายืนหยัดอยู่ได้ในทุกวันนี้ถ้าไม่ใช่ครอบครัว
16. "อย่าทิ้งชีวิตของลูกเพื่อพ่อ ไม่เช่นนั้นเจ้าโรคนี้มันจะทำลายชีวิตคนถึงสามคน แทนที่จะเป็นพ่อเพียงคนเดียว"
17. เคารพในโลกส่วนตัวของลูกๆ
18. ถ้าเธอต้องการประสบการณ์ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตมนุษย์อีกชีวิตหนึ่งอย่างสมบูรณ์ ต้องการเรียนรู้ที่จะรักและมีความผูกพันกันอย่างสุดซึ้งแล้วละก็ เธอก็ควรจะมีลูก
19. ปล่อยวาง จากทุกสิ่งที่ได้พานพบมา
20. ชาวพุทธเขาสอนกันไว้ว่าอย่างไร จงอย่าไปยึดติดกับสิ่งใด เพราะไม่มีอะไรที่ยั่งยืน
21. การปล่อยวางไม่ได้หมายความเธอจะไม่ยอมให้ประสบการณ์ ผ่านเข้ามา ในตัวเธอนี้ ตรงกันข้ามเธอยอมให้ประสบการณ์ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่าง เต็มที่ เมื่อทำเนนั้นแล้วเธอจึงสามารถละวางได้
22. ถ้าเธอปล่อยตัวเองให้ซึมซาบและรับรู้ความรู้สึกเหล่านี้อย่างเต็มที่แล้ว เธอจะรู้ว่าความเจ็บปวดเป็นอย่างไร ความรักเป็นอย่างไร ความชอกช้ำหรือความโศกาอาดูรนั้นเป็นอย่างไร เอาล่ะ ฉันได้เรียนรู้ความรู้สึกนั้นแล้ว ฉันรู้จักความรู้สึกนั้นดีแล้ว ฉันต้องละวางความรู้สึกเช่นนั้นเสียที
23. คนส่วนมากต้องการให้ใครสักคนสังเกตเห็นว่าเธอมีตัวตนอยู่ตรงนั้น
24. ความมั่งคั่งนั้นไม่อาจซื้อความสุขและความพึงพอใจให้พวกเขาได้เลย
25. ยิ่งเธอมีอายุมากขึ้น เธอก็จะได้เรียนรู้มากขึ้น
26. หากเธอรู้ว่าเธอกำลังจะตาย เธอก็จะใช้ชีวิตได้ดีกว่าเดิม
27. เมื่อเธอต้องการความรัก เธอไม่สามารถหาได้จากเงินทองหรืออำนาจได้เลย แม้ว่าเธอจะมีมันมากมายเพียงใดก็ตาม
28. จงอุทิศตนเพื่อมอบความรักแก่ผู้อื่น จงอุทิศตนให้กับชุมชนที่เธออาศัยอยู่ และจงอุทิศตนเพื่อสรรค์สร้างสิ่งที่จะนำเป้าหมายและความหมายมาสู่เธอ
29. ครูเชื่อในเรื่องการอยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริง หมายความว่าเธอจะต้อง อยู่กับ คนที่เธออยู่ด้วยตรงนั้น เช่น ครูกำลังคุยอยู่กับเธอ ครูก็จะคิดเกี่ยวกับเธอเท่านั้น
30. กฎที่ใช้กับความรักและการแต่งงาน
a. ให้ความเคารพอีกฝ่ายหนึ่ง
b. รู้จักวิธีประนีประนอมซึ่งกันและกัน
c. สามารถพูดอย่างเปิดอกระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างเธอสองคน
d. ค่านิยมของเธอทั้งสองคนต้องคล้ายคลึงกัน
e. ค่านิยมที่สำคัญที่สุด คือ ความศรัทธาใน ความสำคัญ ของการแต่งงาน

31. ถ้าไม่ลองลิ้มรสชาติของการแต่งงานแล้ว เธอจะพลาดอะไรต่อมิอะไรไปอีกมากทีเดียว
32. คนเราจะร้ายก็ต่อเมื่อถูกทำให้กลัว
33. ข้อบกพร่องที่สำคัญที่สุดของมนุษย์เราก็คือวิสัยทัศน์ที่คับแคบของเรานี่เอง เรามองไม่เห็นว่าตัวเราจะสามารถเป็นอะไรได้บ้าง เราควรทบทวนดูว่าเรามีศักยภาพนั้นเพื่อทำให้ตัวเราเป็นทุกอย่างที่เราเป็นได้
34. จริงๆ แล้วทุกคนเหมือนๆ กัน ถ้าเรามองเห็นว่าเราทุกคนก็เหมือนๆ กันแล้ว เราคงมีปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรวมโลกทั้งโลกให้เสมือนครอบครัวใหญ่เพียงครอบครัวเดียว และห่วงใยใส่ใจต่อกัน เหมือนอย่างที่เราห่วงใยใส่ใจคนในครอบครัวของเราเอง
35. เวลาเธอกำลังจะตาย เธอจะเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราทุกคนล้วนมีจุดเริ่มต้นที่ "การเกิด" เหมือนกัน และมีจุดจบที่ "ความตาย" เช่นเดียวกัน
36. จงลงทุนกับครอบครัวมนุษย์ ลงทุนกับคน สร้างสังคมกลุ่มเล็กๆ ซึ่งมีแต่คนที่เธอรักและคนที่รักเธอ
37. การมีชีวิตอยู่หมายถึงการที่สามารถตอบสนองผู้อื่น สามารถแสดงอารมณ์และความรู้สึกของตนเองได้ พูดคุยกับคนอื่นได้ และมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับพวกเขาได้
38. คาถาของครู "จงรักกันเอาไว้ หรือไม่ก็ดับสูญ"
39. จงให้อภัยตัวเองก่อนที่จะตายจากไป แล้วจงอภัยให้ผู้อื่น
40. เราต้องให้อภัยตัวเอง ให้อภัยสำหรับสิ่งที่ไม่ได้ทำ ให้อภัยสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่น่าจะได้ทำ อย่าไปยึดติดอยู่กับความเสียใจในสิ่งที่น่าจะเกิดแต่มันก็ไม่ได้เกิด มันไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลยเมื่อถึงเวลาที่เธอเป็นอย่างครูในตอนนี้ (กำลังจะตาย)
41. การตายเป็นเรื่องธรรมชาติ การที่เราทำราวกับว่าความตายเป็นเรื่องใหญ่โตก็เพราะเราไม่เห็นว่าตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราคิดว่าเพราะเราเป็นมนุษย์ เราเลยอยู่หนือธรรมชาติ
42. สิ่งที่มนุษย์มีเหนือกว่าพืชและสัตว์ คือ การยอมรับได้ว่าทุกสรรพสิ่งที่เกิดมาต้องดับสูญ
43. ความตายพรากได้เพียงแต่ชีวิต แต่ไม่อาจพรากความสัมพันธ์ไปได้
44. ความรักคิอการที่เธอใส่ใจต่อเรื่องราวในชีวิตของผู้อื่นเฉกเช่นเดียวกับที่เธอใส่ใจต่อเรื่องราวในชีวิตของเธอเอง
45. จงให้ความสนใจและใส่ใจในยามที่คนที่คุณรักมาคุยด้วย และจงตั้งใจฟังราวกับว่าคุณจะได้ยินเขาพูดเป็นครั้งสุดท้ายเลยทีเดียว
46. ไม่มีอะไร สายเกินไป ในชีวิต
ที่ชอบมากอีกอย่างคือ ผู้เขียน (มิตซ์ อัลบอม) ไม่ได้เรียกครูมอร์รี่ ว่าอาจารย์นะครับ เขาเรียกมอร์รี่ว่า "โค้ช" อ่านแล้วทำให้นึกถึงคำ "Oh captain, my captain" ในหนัง Dead Poets Society ขึ้นมาเลยครับ ดูแล้วใกล้ชิดและมีความหมายดีจัง




 

Create Date : 26 กันยายน 2549
6 comments
Last Update : 9 เมษายน 2554 22:15:00 น.
Counter : 4527 Pageviews.

 


ซื้อมาอ่านประมาณ2-3ปีได้แล้วค่ะ
ชอบมากๆ อ่านแล้วร้องไห้เลยค่ะ

เร็วๆนี้ได้ดูmini-serieที่ดัดแปลงมาจากหนังสือ
อ่านซึ้งกว่าเยอะเลยค่ะ

 

โดย: Only Bryan 26 กันยายน 2549 0:48:00 น.  

 

เป็นอีกเรื่องที่อยากอ่านแล้วไม่ได้อ่านค่ะ

กำลังจะยืมเพื่อนมาอ่านอยู่เหมือนกัน

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 26 กันยายน 2549 9:28:36 น.  

 

แนวนี้ไม่ค่อยได้อ่านเลย รู้สึกเป็นเรื่องที่หนักเกินไปสำหรับเรา

 

โดย: กระปุกกลิ้ง 26 กันยายน 2549 10:46:01 น.  

 

ดูแล้วเหมือนหนัก แต่เรื่องราวจะเป็นแบบสบายๆ นะครับ อ่านง่าย เห็นว่ามีฉายใน Hallmark คงต้องลองหาดูครับ

ตอนนี้ผมเริ่มเชื่อแล้วว่าหนังสือขายดี อ่านสนุกจริงๆ แต่ก็ยังควานหาหนังสือที่ไม่ติดอันดับมาอ่านเหมือนกัน เดี๋ยวนักเขียนหายหมด

 

โดย: คนขับช้า 26 กันยายน 2549 13:02:02 น.  

 

คนแต่งคนนี้ยังเขียนอีกเรื่องคือ Five People You Meet in Heaven มาอีกเล่มนะคะ แน่นอนว่ามีแปลแล้วเช่นกัน แต่มักวางขายเฉพาะในซีเอ็ด

เคยดูหนัง อ่านต้นฉบับ อ่านฉบับแปลของทั้งสองเรื่องแล้วค่ะ หนังเรื่อง Tuesday with Morrie ทำออกมาดีพอสมควรเลย แต่ Five People นี่น่าเบื่อเล็กน้อย--แต่เราคิดว่าก็ยังดูได้

 

โดย: ยาคูลท์ 27 กันยายน 2549 15:44:02 น.  

 

เล่มนี้..สุดยอดเช่นกัน...!!

ผมอ่านฉบับภาษาอังกฤษ...ตอนนั้นยังไม่ได้แปล
น้องสาวเอามาให้อ่าน...
ผมว่าอ่านภาษาอังกฤษได้อรรถรสมากกว่าภาษาไทยเยอะครับ
ก็ไม่ได้เก่งภาษาอะไร..แต่พยายามอ่าน..ใช้เวลานานมาก
แต่ก็อ่านจบ..ไม่เสียใจที่ได้อ่าน..

เป็นหนังสืออีกเล่มที่ซื้อแจกเพื่อนอยู่บ่อยๆ...
ดีจริงๆ...ชอบครับ

:)

 

โดย: booknotbite IP: 58.11.16.218 4 พฤศจิกายน 2552 0:16:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


คนขับช้า
Location :
นครศรีธรรมราช Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




ย้ายมาเป็นคนสระบุรี ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๖๖

เคยมาเป็นคนนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘

เคยมาเป็นคนสระบุรี ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗

เคยเป็นคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่ ๑ เมษายน ๒๕๕๒

ย้ายที่ทำงานในจังหวัดสระบุรี ตั้งแต่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๖
เคยเป็นคนสระบุรี ตั้งแต่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๕

เคยเป็นคนนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ ๑ สิงหาคม ๒๕๓๙

เคยเป็นคนระยอง ตั้งแต่ ๒๕๓๗
Friends' blogs
[Add คนขับช้า's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.