Love Letter (ญี่ปุ่น)

Love Letter

ชุนจิ อิวาอิ




        นวนิยายเล่มเล็กกะทัดรัดแต่หากเรื่องราวกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำจนล้นออกมานอกตัวเล่ม นวนิยายเรื่องนี้มีต้นเรื่องจากการเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศญี่ปุ่นในปีพ.ศ. 2538 จนชุนจิ อิวาอิผู้กำกับได้นำมาเขียนเป็นนวนิยายและสำนักพิมพ์ BLISS ได้แปลเป็นภาษาไทยในปีพ.ศ. 2547 และก็เป็นเรื่องบังเอิญที่ซื้อทั้งดีวิดีและหนังสือเรื่องนี้โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องเดียวกันผู้วิจารณ์ได้อ่านหนังสือก่อน แล้วถึงได้ดูภาพยนตร์ทีหลัง แม้ว่าจะได้อ่านนวนิยายก่อนที่จะได้ชมภาพยนตร์ก็ไม่ได้ทำให้การชมภาพยนตร์เรื่องนี้น่าเบื่อเลยแต่กลับยิ่งทำให้เข้าใจเรื่องได้มากยิ่งขึ้น

ในวันครบรอบการเสียชีวิต 2 ปีของ ฟูจิอิ อัทสึกิ จากอุบัติเหตุการปีนเขาได้เป็นจุดเริ่มต้นของการหวนระลึกความทรงจำของ ฟูจิอิ อัทสึกิ ที่มีต่อ ฟูจิอิอัทสึกิ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยเหตุบังเอิญอันเหลือเชื่อที่ทำให้วาตานาเบะ ฮิโรโกะแฟนสาวของฟูจิอิอัทสึกิผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้เข้ามาเป็นผู้เชื่อมความทรงจำของฟูจิอิอัทสึกิทั้งสองที่ได้เลือนหายไปในอดีตให้กลับมาชัดเจน โดยเป็นการเล่าเรื่องผ่านการเขียนจดหมายสนทนาระหว่างหญิงสาวสองคนคือฮิโรโกะ กับ อัทสึกิโดยที่ทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่หากหญิงสาวทั้งสองมีความทรงจำที่เกี่ยวชายหนุ่มฟูจิอิ อัทสึกิ ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ความทรงจำของหญิงสาวทั้งสองที่มีต่อ ฟูจิอิอัทสึกิ ได้เชื่อมต่อเข้าด้วยกันและได้สร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านได้อย่างมิอาจจะลืมเลือนไปได้

แนวเรื่องของนวนิยายเรื่องนี้อาจจะเป็นสูตรสำเร็จสูตรหนึ่งของการเขียนนิยายคือการได้หวนระลึกถึงความทรงจำของความรักครั้งแรกในวัยแรกรุ่น ซึ่งแม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยังคงประทับตราตรึงอยู่ในมุมหนึ่งของความทรงจำที่เมื่อได้ย้อนคิดถึงเมื่อใดก็ยังคงความประทับใจอย่างไม่เสื่อมคลาย นวนิยายเรื่องนี้เป็นการดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างราบเรียบไม่ได้มีการกระชากอารมณ์ของผู้อ่าน โดยการให้ตัวละครแสดงความรู้สึกเศร้า เสียใจดีใจ ผิดหวังหรือใช้เหตุการณ์บีบอารมณ์ของผู้อ่านให้รู้สึกตามแต่หากให้ผู้อ่านได้ซาบซึ้งไปกับตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์ที่ค่อยๆ เปิดเผยบุคคลิกผ่านการแสดงออกและความคิดของตัวละครในแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและการค่อยๆเปิดความทรงจำที่ตัวละคร ฮิโรโกะและอิทสึกิมีต่อ ฟูจิอิ อัทสึกิ โดยการที่ผู้เขียนได้วางโครงเรื่องหลักให้เป็นการเขียนจดหมายโต้ตอบระหว่างฮิโรโกะกับอัทสึกิที่เกี่ยวกับความทรงจำที่มีต่อฟูจิอิ อัทสึกิและยังได้วางโครงเรื่องรองเพื่อเป็นการให้ภูมิหลังของตัวละครหลักทั้งฮิโรโกะและอิสึกิจึงทำให้ผู้อ่านได้มองเห็นความเป็นมนุษย์และตัวตนในตัวละครทั้งสองตัวอย่างชัดเจนความประทับใจในนวนิยายเรื่องนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงการระลึกถึงความทรงจำของหญิงสาวทั้งสองที่มีต่อฟูจิอิ อัทสึกิผู้ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น หากยังมีความประทับใจที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในครอบครัวคนรัก เพื่อน ซึ่งทำให้นวนิยายเรื่องนี้สะท้อนภาพธรรมชาติของมนุษย์ถึงแม้ว่าจะเป็นการสะท้อนภาพมุมมองของชีวิตในด้านสวยงามเป็นส่วนใหญ่ก็ตามแต่หากก็เป็นสิ่งที่จะช่วยเพิ่มเติมพลังชีวิตได้เป็นอย่างดี

นวนิยายเรื่องนี้มีลักษณะของการเป็นบทภาพยนตร์โดยเฉพาะการตัดสลับฉากที่ผู้เขียนตัดจบฉากและขึ้นฉากใหม่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย (ซึ่งหากใครได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะเข้าใจได้ว่าเป็นการเปลี่ยนฉากของภาพยนตร์)จนทำให้เกิดความสับสนในการอ่านในหลายๆตอน ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่ผู้อ่านไม่คุ้นกับการใช้วิธีการเขียนแบบภาพยนตร์แม้ว่าผู้ที่อ่านนิยายหลังจากชมภาพยนตร์แล้วก็ยังเกิดความสับสนในการอ่านได้ลักษณะเด่นอีกอย่างของนวนิยายเรื่องนี้คือการสร้างบทสนทนาบทสนทนาของตัวละครในเรื่องนี้ส่วนใหญ่เป็นการสนทนาแบบตัวต่อตัว และตัวละครจะโต้ตอบด้วยประโยคสั้นๆโดยที่ผู้เขียนจะไม่มีการบอกว่าตัวละครตัวใดเป็นผู้กล่าวบทสนทนานั้นๆ ซึ่งคล้ายกับสคลิปของบทภาพยนตร์หรือบทละครดังนั้นผู้อ่านจะต้องจับให้ได้เองว่าบทสนทนาเป็นของตัวละครตัวใดแต่หากไม่ยากนักเพราะผู้เขียนให้ในแต่ละฉากมีตัวละครไม่มากและให้บทสนทนาเป็นการสนทนาระหว่างคนสองคนเป็นส่วนใหญ่จึงทำให้ผู้อ่านสามารถแยกบทสนทนาได้ผู้เขียนยังมีการใช้สัญลักษณ์แทนการบรรยายความรู้สึกของตัวละคร เช่นการใช้ “...”แสดงว่าตัวละครเงียบไม่ได้พูดอะไร หรือ “?” แสดงว่าตัวละครรู้สึกสงสัย งง ไม่เข้าใจ ซึ่งผู้เขียนสามารถทำได้ดีในการนำสัญลักษณ์เหล่านี้มาใช้เพราะสามารถที่จะสื่อสารไปยังผู้อ่านได้เข้าใจได้และไม่ได้ใช้สัญลักษณ์มากจนเกินไปซึ่งในส่วนแล้วตัวยอมรับที่ผู้เขียนเรื่องนี้ใช้สัญลักษณ์ของอารมณ์ที่เรียกกันว่า“อีโมติคอน emoticon” ได้ในระดับหนึ่งการใช้อิโมติคอนนับว่าเป็นรูปแบบการเขียนนวนิยายแบบใหม่ ซึ่งในปัจจุบันมีผู้เขียนนวนิยายนิยมการใช้อีโมติคอนในการแสดงความรู้สึกของตัวละครซึ่งมีทั้งที่สามารถสื่อความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ แต่บางครั้งก็ไม่สามารถสื่อความหมายให้ผู้อ่านส่วนใหญ่เข้าใจความหมายได้เนื่องจากเป็นความหมายที่รับรู้เฉพาะในกลุ่มเท่านั้น

แม้ว่า LoveLetter มีทั้งภาคที่เป็นภาพยนตร์และนวนิยายแต่ขอสปอยด์ไว้เลยว่า ทั้งสองภาคแทบจะไม่มีความแตกต่างกันดังที่ได้เขียนไว้ข้างต้นว่า นวนิยายเล่มนี้เป็นเหมือนบทภาพยนตร์ แต่เนื่องจากนวนิยายเขียนขึ้นหลังจากการทำเป็นภาพยนตร์แล้วจึงมีเนื้อหาในบางช่วงที่ผู้วิจารณ์เข้าใจเองว่าผู้เขียนในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องเดียวกันนี้ต้องการที่จะเพิ่มเติมในส่วนที่ภาพยนตร์ไม่สามารถจะนำเสนอได้เช่นในตอนที่ฮิโรโกะกับอาคิเบะ(แฟนใหม่ของฮิโรโกะซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับ ฟูจิกิอิทสึกิ) แอบเข้าไปในห้องเรียนเก่าที่ ฟูจิกิ อิทสึกิ ทั้งสองคนเรียนด้วยกันในสมัยมัธยมต้นและอาคิเบะได้เขียนชื่อ ฟูจิกิ อิทสึกิ และ ฟูจิกิ อิทสึกิภายใต้ร่มคันเดียวกันบนกระดานดำในห้องเรียน ซึ่งเป็นการแสดงว่าคนสองคนเป็นแฟนกันและได้บรรยายว่าชื่อของทั้งสองคนจะอยู่บนกระดานดำนี้ไปตลอดในช่วงปิดเทอมนี้ซึ่งฉากในภาพยนตร์ไม่อาจที่จะสื่อความหมายในตรงนี้ได้ แต่เมื่อได้อ่านในส่วนที่เป็นนิยายแล้วได้เพิ่มความประทับใจในฉากนี้เป็นอย่างยิ่ง

ปล. ส่วนตัว ที่อ่านนวนิยายจบแล้วมีความประทับใจทั้งโครงเรื่อง ตัวละครแต่ละตัวเป็นอย่างมาก แล้วเมื่อนึกได้ว่าเคยซื้อดีวีดีภาพยนตร์ที่มีชื่อเรื่องเดียวกันนี้แต่ดันจำไม่ได้ว่าไปเก็บที่ไหน เพราะว่าซื้อมาพร้อมกับดีวีดีที่ร้านเอามาลดราคาเลยซื้อมาเก็บดองไม่ได้ดูและเมื่อหาเจอและได้ดูก็ต้องยอมรับว่าชอบภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างมากทั้งการดำเนินเรื่อง การแสดงของตัวละคร ฉาก แสงภาพและดนตรีประกอบที่สร้างอารมณ์ในการชมได้อย่างลงตัว การชมภาพยนตร์ให้อารมณ์ที่แตกต่างไปจากการอ่านนวนิยายที่เป็นการเห็นด้วยภาพและการฟังเสียงแต่เนื่องจากนวนิยายแทบจะมีความเป็นบทภาพยนตร์ไปในตัวจึงทำให้ไม่มีประเด็นในการตีความนวนิยายเพื่อในการนำไปสร้างภาพยนตร์เหมือนกับที่นิยายหลายเรื่องที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์

คำแนะนำ สามารถที่จะอ่านนวนิยายก่อนแล้วชมภาพยนตร์หรือจะชมภาพยนตร์ก่อนแล้วมาอ่านนวนิยายก็ได้ แต่อาจจะมีปัญหาว่าหาซื้อหนังสือและแผ่นดีวีดีได้ยากสักหน่อยเพราะสำนักพิมพ์ปิดไปแล้ว และภาพยนตร์ก็เก่าพอสมควร ทั้งหมดทั้งมวลเราก็ซื้อมาตอนที่ลดราคา 70% ของถูกของดียังมีอยู่จริงๆ





Create Date : 17 มิถุนายน 2557
Last Update : 17 มิถุนายน 2557 13:41:56 น.
Counter : 1226 Pageviews.

5 comments
  
DVD หาซื้อง่ายมากค่ะ แผ่นละไม่ถึงร้อย เราชอบเรื่องนี้มาก ไปดูคนเดียวในโรงที่ลิโด้ ร้องไห้ใหญ่เลย
ชอบฉากจักรยาน กับ ฉากจบค่ะ น่ารัก
โดย: hiroko วันที่: 17 มิถุนายน 2557 เวลา:21:05:33 น.
  
รักเรื่องนี้มากค่ะ กว่าจะได้ดูหนัง เรียกว่า 15 ปี ยังไม่สาย สมคำร่ำลือ

ตอนที่ดูหนังนั้นเข้าใจว่า เพราะไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อน ก็เลยอินแบบอบอุ่นสุดๆ

มีร้องไห้เหมือนกัน กับบากฉาก (ซึ้งจัด)
โดย: prysang วันที่: 17 มิถุนายน 2557 เวลา:23:55:59 น.
  
ซื้อแผ่นหนังมาดูค่ะ ซึ้งมาก
ยังไม่เคยอ่านหนังสือเลยค่ะ
โดย: polyj วันที่: 18 มิถุนายน 2557 เวลา:7:59:34 น.
  
น่าอ่านมากค่ะ จดๆ/ ส่วนหนังต้องตามมาดูแน่ๆ
โดย: kunaom วันที่: 18 มิถุนายน 2557 เวลา:11:16:38 น.
  
หนังสือ....จะตามล่าหามาอ่านค่ะ

DVD นี่ไม่น่ายาก
โดย: Serverlus วันที่: 18 มิถุนายน 2557 เวลา:21:45:22 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เสี้ยวป่า
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]



New Comments
มิถุนายน 2557

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
17 มิถุนายน 2557
All Blog