อมตะมหานิพพาน ผู้เบิกบาน-ผู้รู้-และผู้ตื่น ไม่มีกลางวันและกลางคืน แสนสดชื่นบรมสุขอยู่ทุกยาม คิดดี-พูดดี-ทำดี สร้างบารมีให้งดงาม สดใสใต้ฟ้าคราม ทำหน้าที่ตราบวันตาย ฯ
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2548
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
30 ธันวาคม 2548
 
All Blogs
 
สติ-สมาธิ-ปัญญา-สตินทรีย์-สติวินโย-มหาปัญญา

กระบวนการเจริญสติสัมปชัญญะ-สมาธิ-ปัญญา ดำเนินไปจนถึงขั้นมหาสติ-มหาปัญญา เพื่อการตรัสรู้ หลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิงนั้น เป็นอย่างไรบ้าง ?


Create Date : 30 ธันวาคม 2548
Last Update : 30 ธันวาคม 2548 10:51:19 น. 7 comments
Counter : 1321 Pageviews.

 
ศีล=สติ+สัมปชัญญะ>สมาธิ>ปัญญา.......
สติ+สัมปชัญญะ= สมาธิ........
สติ>เจริญมากๆเข้าเกิดเป็นสตินทรีย์> พัฒนาเป็นสติวินโย>แล้วเป็นมหาสติ ........
แล้วปัญญาก็จะพัฒนาขึ้นไป>เป็นมหาปัญญาต่อไป.......


โดย: พุทธญาณbuddhayan@icqmail.com IP: 202.47.238.142 วันที่: 16 มกราคม 2549 เวลา:21:26:13 น.  

 

เคล็ดลับสำคัญ-คือ ศีล ต้องตั้งใจรักษาให้ดี ........
ศีล มี 3 ระดับ ศีล-อธิศีล-และปรมัตถศีล.......ขอแนะนำให้ทุกท่าน อาราธนาศีล 5ก่อนสวดมนต์ แล้วก็รับศีลด้วยตนเอง ขอเอง รับเอง แล้วตั้งใจรักษาศีลนี้ไว้จนตลอดชีวิต แล้วการปฏิบัติของท่านจะได้ผลดีขึ้นอย่างไม่คาดคิด.......สีเล นะ สุคติง ยันติ-ศีลนำพาความสุขมาให้ทั้งโลกนี้และโลกหน้า.......สีเล นะโภคสัมภทา - ศีล นำโภคทรัพย์(ทั้งทรัพย์ภายในและภายนอก)มาให้ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า.....สีเล นะ นิพพุติง ยันติ- ศีล นำทางไปสู่พระนิพพาน......ตัสสมา สีลัง วิโส ทะเย- ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าศีล.........ดังนี้แล ฯ......


โดย: พุทธญาณbuddhayan@thai.com (AmataMahaNippan ) วันที่: 17 มกราคม 2549 เวลา:18:19:26 น.  

 
พระพุทธองค์ท่านทรงสอนให้เราปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ แลปัญญา ซึ่งความจริง ไตรสิกขา เป็นกระบวนการเรียนรู้ แต่การปฏิบัติเป็นหนึ่ง ดังนี้:-
1. การรักษาศีล ย่อมเป็นของดีอย่างที่ทุกท่านที่อยู่ในที่นี้ทราบดีอยู่แล้ว เช่น ท่านพุทธญาณ ได้วิสัชชนาไว้ข้างต้น แต่การปฏิบัติ หรือที่เรียกว่ารักษาศีล ต้องตั้งใจรักษา(อธิษฐานบารมี) ค่อยรักษาไปเรื่อยๆ นึกได้(มีสติ)อยู่เสมอว่า "รักษาศีลอยู่" เมื่อจะกระทำสิ่งใดที่ก่อให้ศีลขาด หรือแม้แต่มัวหมอง ก็จะไม่ทำ ในที่สุดจิตที่ตั้งนั้นก็มั่นคง และเกิดเป็นอินทรียสังวร ที่บ้างท่านก็เรียกว่า สตินทรีย์ ซึ่งจะนำไปสู่การมีวินัยในชีวิต ที่บางคนก็เรียกว่า สติวินโย ได้ แต่บางคนก็ขาดสติกำกับ ศีลก็จะขาดอยู่เสมอ หากปฏิบัติได้เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่ามี สัมมาสติ หรือมีสติรอบคอบ
2. จิตที่ตั้งนั้นก็มั่นคงก็จะเกิดเป็น "สมาธิ" เป็นสมาธิที่มีสติอยู่เสมอ จึงเป็น "สัมมาสมาธิ(สมาธิ+สติ)" ส่วนสมาธิที่ได้จากสมถวิธีก็จะเป็น ก็จะเกิดเพียง "สมาธิ" เท่านั้น นำไปใช้ประโยชน์ในทางพ้นทุกข์ได้น้อย แต่มีโทษมากกว่า เพราะขาดสติคุม ตอนนี้อาจจะยังไม่เกิดสัมปชัญญะก็ได้ในบางท่าน จึงยังไม่เห็นธรรม แต่เห็นความเป็นไปของขันธ์ห้า และยังอาจยึดถือไว้ด้วย(อุปาทาน)
3. เมื่อเกิดสัมมาสมาธิแล้ว หากมีการตามรู้ในสิ่งที่รู้ตัว หรือสติเดือนไปเรื่อยๆ อย่างอดทน วิริยะ อุตสาหะ ก็จะมองเห็นความความแน่นอนของควาไม่แน่นอนของสิ่งต่างๆ ก็จะเกิดการเรียนรู้ อนิจจธรรม ซึ่งมันเป็นไปเช่นนั้นเอง ไม่มีใครบังคับควบคุมได้ ก็จะเกิดการเรียนรู้ อนัตตธรรม และที่สุดก็รู้ว่า อนิจจัง และอนัตตาที่เราหลงยึดว่า เป็นนิจจัง และเป็นอัตตา ก็จะนำพาเราไปสู่ความทุกข์ เมื่อเกิดเห็นธรรมจากสัมมาสมาธิ(สมาธิ+สัมปชัญญะ) ก็เกิดเป็นปัญญา การเห็นธรรมนั้นเรียกว่า "สัมมาปัญญา" เพราะเป็นไปโดยรวมของ สติ > สัมมาสมาธิ > +สัมปชัญญะ > สัมมาปัญญา
4. เมื่อรู้ธรรมอันเป็นไตรลักษณ์แล้ว ว่าหากเราเข้าไปยึดเกี่ยวไว้ก็จะเกิดความทุกข์ จากนั้นก็ใช้สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และสัมมาปัญญา ศึกษาทุกข์ต่อไปอย่างอดทน วิริยะ อุตสาหะแล้ว ก็จะพบทางออกจากทุกได้ อย่างชัดเจนแจ่มใส ก็จะเกิดปราโมทย์อย่างยิ่ง จนในที่สุดสามารถสิ้นทุกข์ได้ อริยสัจจะทั้ง 4 ก็จะเกิดขึ้นพร้อมกัน เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ก็จะเกิดเป็น มหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา ในที่สุด ซึ่งเป็น อริยสมบัติของพระอรหันต์ หรือผู้มีจิตพุทธะ นั่นเอง

ที่กล่าวมาอาจมีข้อคลาดเคลื่อ พลาดพลั้ง ได้โปรดอภัย ผู้ปฏิบัติได้ก็ทดลองปฏิบัติสอบทานดู แล้วนำมาเล่าสู่กันฟัง อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ยังต้องการฝึกฝนต่อไปเช่นข้าพเจ้าอย่างยิ่ง เพราะจะได้ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป

แต่ที่สำคัญ แนวทางที่พระพุทธบิดา ได้ทรงวางแนวทางไว้แล้วอย่างชัดเจน คือ มหาสติปัฏฐาน โดยเฉพาะ อานาปานัสสติ หากปฏิบัติได้ตามขั้นตอน ได้อย่างถูกต้อง ท่านก็จะพบเองว่า ที่ปฏิบัติมานั้นถูกต้องหรือไม่ หากเป็นไปตามที่พระองค์ท่านกล่าวไว้ก็ถูกต้อง นอกนั้นก็ไม่ใช่ และยังทำให้เข้าใจแนวทางที่พระพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย เหมือนคหบดีท่านหนึ่งกล่าวต่อพระพุทธองค์ว่า ภาษิตของท่านไพเราะยิ่งนัก ชัดเจนยิ่งนัก ประดุจเปิดของที่ปิดอยู่ออก หรือหงายภาชนะที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น เช่นนั้นเชียว

ขอโมทนากับผู้ตั้งกระทู้ด้วย


โดย: คนพุทธ IP: 125.25.58.46 วันที่: 28 มิถุนายน 2550 เวลา:10:27:39 น.  

 
จงแสดงความยินดีแก่เขาผู้ทำความดีและอย่าติเตียนแก่ผู้ที่ทำความผิด


โดย: บุรีปลายฟเ IP: 203.113.17.167 วันที่: 16 กรกฎาคม 2550 เวลา:10:35:08 น.  

 
เธอจงชอบทำความดีเถิด


โดย: เวียงวณาลัยณ์ IP: 203.113.17.167 วันที่: 16 กรกฎาคม 2550 เวลา:10:36:57 น.  

 
เขารู้ก็รู้ของเขา เรารู้ก็รู้ของเรา รู้นั้นย่อมแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา เราก็มีรู้ของเรา เชิญมาแบ่งปันกัน เข้าไปที่กูเกิ้ล แล้วหา spaceของwalai หรือเข้าไปที่

//cid-3bbff7e5594790ce.spaces.live.com/


โดย: walai IP: 124.120.243.6 วันที่: 24 มกราคม 2551 เวลา:18:13:54 น.  

 
ขอบคุฌครับ สาธุ มงคลชีวิตอันมิหาสิ่งใดเปรียบได้


โดย: แด็ก IP: 125.27.64.18 วันที่: 31 ธันวาคม 2552 เวลา:17:05:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

AmataMahaNippan
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อภิมหาอมตะนิพพาน เหนือวิมานพรหมสวรรค์ ณ ชั้นไหน ?
บรมสุขแห่งนิพพานเบิกบานใจ ไม่เหมือนใครไหนเลยที่เคยมี....

บัวบาน บางเขน
Buaban_Bangkhen@hotmail.com
New Comments
Friends' blogs
[Add AmataMahaNippan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.