อมตะมหานิพพาน ผู้เบิกบาน-ผู้รู้-และผู้ตื่น ไม่มีกลางวันและกลางคืน แสนสดชื่นบรมสุขอยู่ทุกยาม คิดดี-พูดดี-ทำดี สร้างบารมีให้งดงาม สดใสใต้ฟ้าคราม ทำหน้าที่ตราบวันตาย ฯ
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2549
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
หนทางพิศุทธิ์สู่เส้นทางสายเอก....ศุภรัตน์ ปรศุพัฒนา(ดร.ปุ๊กกี้)



**หนทางพิสุทธิ์สู่เส้นทางสายเอก**

ศุภรัตน์ ปรศุพัฒนา(เจ๊ปุ๊ก-ดร.ปุ๊กกี้)

ข้าพเจ้าอายุ 38 ปี เป็นชาวจังหวัดชัยภูมิ แต่เข้ามาเรียนหนังสือ และทำงานที่กรุงเทพฯ หลังจากเรียนหนังสือจบระดับปริญญาโท สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร จากประเทศออสเตรเลีย ก็ได้เข้าทำงานในบริษัทเอกชนเรื่อยมา เมื่อก่อนข้าพเจ้า ไม่เคยศรัทธาในพระพุทธศาสนาเลย เพราะมีความเชื่อว่า ศาสนามีไว้เพียงเพื่อสอนคน ให้อยู่ในวินัย และให้ประพฤติถูกต้องในสังคมเท่านั้น ถ้าเราไม่ทำอะไรขัดต่อวินัย และความถุกต้องของสังคมแล้ว ก้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีศาสนา ประกอบกับครอบครัวเป็นคนจีน ที่บ้านมีแต่ไหว้เจ้า จึงเห็นศาสนากิจน้อยมาก เมื่อเทียบกับชาวพุทธโดยทั่วไป จนกระทั่งคุณพ่อเสียชีวิตลง คุณแม่ต้องแบกภาระที่หนักมากแทนคุณพ่อ ต้องเลี้ยงดูลูกๆถึง 5 คน และดูแลกิจการค้าขายทางบ้าน คุณแม่ก็เริ่มหันหน้าเข้าหาธรรมะ โดยใส่บาตรทุกเช้า สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน อ่านหนังสือธรรมะ......

ข้าพเจ้า เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก แต่ยกเว้นหนังสือธรรมะ เพราะไม่ศรัทธาตั้งแต่ต้น เมื่อกลับไปบ้านที่ชัยภูมิ ก็หาหนังสือมาอ่าน พบว่าที่บ้าน มีแต่หนังสือธรรมะอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่นให้อ่านบันเทิงใจได้เลย ด้วยความที่อยากอ่านหนังสือมาก จึงหยิบมาอ่านอย่างเสียไม่ได้ น่าแปลกมาก ที่หนังสือธรรมะในห้องคุณแม่ มีหลายสิบเล่ม แต่เล่มแรกที่ข้าพเจ้าหยิบอ่าน โดยไม่สนใจว่าจะเป็นเล่มไหน? กลับเป็นหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อจรัญ เล่ม 1-2 เหมือนเป็นการชักนำให้ข้พเจ้า ได้มาปฏิบัติกรรมฐานกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ยิ่งอ่านก็ยิ่งน่าสนใจ จึงอ่านจนหมดเล่ม........

ก่อนหน้านั้น ข้าพเจ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับชีวิตมากมาย แต่ไม่เคยหาคำตอบให้กับตัวเองได้เลย ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ หนังสือสองเล่มนี้ ให้คำตอบเกี่ยวกับเริ่องต่างๆที่ข้าพเจ้าสงสัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ ความเคลือบแคลงในพระพุทธศาสนา จึงค่อยๆลดลง พร้อมกับศรัทธาที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญด้วย คืนหนึ่งคุณแม่ชวนไปใส่บาตรตอนเช้า ที่วัดแถวบ้าน ข้าพเจ้าก็ไป ภาพการถวายอาหารพระ พระสวดให้พร หลังจากฉันอาหารเสร็จ ท่านก็เทศน์นิดหน่อย ภาพเหล่านั้นประทับใจข้าพเจ้ามาก เกิดความศรัทธา และความปีติ เมื่อกลับมากรุงเทพฯ จึงขวนขวายหาหนังสือธรรมะมาอ่านเอง พร้อมกับลองหัดนั่งสมาธิดูเอง โดยไม่มีครูบาอาจารย์สอน.......

มีอยู่ช่วงหนึ่ง ข้าพจ้าลองนั่งสมาธิอยู่ที่บ้านทุกวัน ในเวลาเดียวกัน คือ ช่วงสี่ทุ่ม แต่เพียง 15 นาทีเท่านั้น หลังจากปฏิบัติติดต่อกัน จนกระทั่งวันที่ 7 ของการนั่งสมาธิ ช่วงประมาณสองทุ่ม สุนัขหลายตัว ก็ส่งเสียงหอนอย่างผิดปกติ อยู่บ้านนี้มานาน ไม่เคยได้ยินสุนัขหอนแบบนี้เลย จึงรู้สึกกลัว คิดว่าวันนี้จะไม่นั่งสมาธิ เมื่อคิดจบ สุนัขก็หยุดหอน ข้าพเจ้าก็ลืมไปเลย พอได้เวลาสี่ทุ่ม จึงปฏิบัติเหมือนเช่นเคย เมื่อนั่งไปได้ 5 นาทีเท่านั้น สุนัขก็ส่งเสียงหอนอีก ขานรับกันเป็นทอดๆ ทันใดนั้น ก็มีเสียงแหลมเล็ก กรีดร้องแทรกขึ้นมา เป็นเสียงที่โหยหวนจนเข้าไปถึงกระดูก ข้าพเจ้ากลัวจับใจ จึงเลิกนั่งสมาธิกลางคัน ล้มตัวลงนอนเลย ตอนนั้นยังแผ่เมตตาไม่เป็น ทำอะไรก็ไม่เป็น ระหว่างนอน ก็ครุ่นคิดว่า ที่คนโบราณบอกว่า มีเปรตนั้น ก็มีจริงน่ะซี ภพภูมิแห่งวิญญาณ และการเวียนว่ายตายเกิด ก็ต้องมี ถ้าข้าพเจ้าต้องตาย ข้าพเจ้าไม่อยากเป็นเปรตเลย เพราะดูเหมือน เขาจะทรมานมาก ข้าพเจ้าไม่อยากมีทุกข์อย่างนั้น ก็เคยคิดต่อว่า ถ้าไม่อยากเป็นอย่างนั้น อะไรที่จะช่วยให้เรา ไม่ไปอยู่ในภพภูมิแห่งความทุกข์ ก็ถามตัวเองต่อไปว่า แล้วอะไร ที่ทำให้เธอเห็นเขา คำตอบก็คือ เพราะเธอนั่งสมาธิ เธอจึงเห็น เพราะฉะนั้น การนั่งสมาธิ ต้องเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่แน่ๆ เธอควรฝึกตามเส้นทางนี้แหละ จะทำให้เธอพ้นทุกข์ได้ แต่ข้าพเจ้า ก็ยังไม่กล้านั่งสมาธิอีก เพราะกลัวเจอเปรต และยังไม่มีครูสอน จึงเลิกนั่งสมาธิไปประมาณ 6 เดือน......

วันหนึ่ง ปรารภกับคุณแม่ว่า อยากฝึกนั่งสมาธิ แต่ไม่รู้จะไปฝึกที่ไหน? คุณแม่จึงแนะนำให้มาที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ข้าพเจ้า จึงจัดกระเป๋าเสื้อผ้า มาวัดอัมพวันทันที มาปฏิบัติครั้งแรก ทรมานมาก ด้วยความที่เป็นคนใจร้อน ทำอะไรผลุบผลับ และมักตามใจตนเองเสมอ พอต้องมาทำอะไรช้าๆ กำหนดสติ และต้องอยู่ในระเบียบวินัย จึงแทบจะทนไม่ได้ แต่ก็อยู่จนครบ 7 วัน ไม่ได้อะไรเลย จำได้ว่า วันที่กลับบ้าน ข้าพเจ้าดีใจที่สุด คิดว่าจะไม่กลับมาปฏิบัติอีกแล้ว นอกจากจะมากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อเท่านั้น ก่อนกลับก็ซื้อหนังสือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ของอาจารย์สุจิตรา อ่อนค้อม มาอ่าน อ่านเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น ข้าพเจ้าก็กลับมาวัดอัมพวันใหม่ พร้อมกับขอหลวงพ่อบวชชีเลยทีเดียว แต่ท่านไม่อนุญาต ข้าพเจ้าก็ไม่บวช เชื่อฟังท่านแต่โดยดี และมีความรู้สึกอยากฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกซิษย์ท่าน หลวงพ่อท่าน อ่านใจข้าพเจ้าออก ท่าน จึงบอกว่า ต่อไปนี้ หนูเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ข้าพเจ้าก้มลงกราบท่าน น้ำตาซึมด้วยความปีติเป็นอย่างยิ่ง ท่านบอกว่า ไม่ต้องไปบวชชีหรอก มีพักร้อนปีละกี่วัน? เมื่อข้าพเจ้าตอบว่า มีพักร้อนปีละ 3 อาทิตย์ ท่านก็บอกว่า พักร้อนปีนี้ ไม่ต้องไปเที่ยว ให้มาปฏิบัติกรรมฐาน ข้าพเจ้ารับปากท่าน

หลังจากนั้นอีก 6 เดือน เมื่อเคลียร์งานได้ ก็มาปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันอีก เป็นเวลา 19 วัน ระหว่างปฏิบัติ เกิดเวทนาหนักมาก นั่งกรรมฐานทีไร ก็ร้องไห้เกือบจะทุกรอบ แต่ไม่ยอมแพ้ นั่งครบตามกำหนดเวลาทุกครั้ง จนข้าพเจ้ากลัวทุกครั้งที่จะเริ่มปฏิบัติ แต่ถึงกลัว ก็ปฏิบัติอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หลวงพ่อท่านก็ย้ำว่า ให้อดทนต่อไป อย่าเลิก จนวันที่ 7 ของการปฏิบัติ ข้าพเจ้าปวดขามากเช่นเคย หนนี้ปวดหนัก จนร้องไห้มากกว่าทุกครั้ง ปวดจนถึงขีดสุด ข้าพเจ้าก้บอกกับตัวเองว่า ตายเป็นตาย ให้มันตายไปเลย พอคิดได้ดังนั้น ความปวดก็ดับวูบลง พร้อมกับอาการที่ตา หูและกายไม่สัมผัส เหมือนเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ทันใดนั้น ก็ปรากฏภาพนิมิต เป็นเวิ้งทะเลใหญ่ ด้วยความสนใจ ข้าพเจ้า จึงจ้องมอง โดยลืมกำหนด"เห็นหนอ" ภาพนิมิตนั้น จึงเลือนหายไป พร้อมกับรู้สึกตัวกลับมาอีกครั้ง เห็นภาวะเกิดขึ้น-ตั้งอยุ่-ดับไปชัดเจน ตั้งแต่วันนั้น จนปฏิบัติครบ 19 วัน ข้าพเจ้าก็ไม่เกิดเวทนาที่ขาอีกเลย เมื่อสงบจากเวทนา จึงหันมากำหนดพอง-ยุบมากขึ้น กำหนดสติ ให้ละเอียดยิ่งขึ้น.........

ขณะเดินจงกรมในวันที่ 10กว่า ข้าพเจ้าเกิดคิดถึงคุณพ่อ ที่เสียชีวิตไปหลายปี ว่าตอนนี้ท่านไปอยู่ที่ไหน? ทั้งที่เมื่อก่อน ไม่เคยสนใจเลย เพราะคิดว่า คนที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็แล้วกันไป แต่ตอนนี้ คิดถึงท่านมาก ระลึกถึงบุญคุณที่ท่านเลี้ยงดูเรามา จนเติบใหญ่ ข้าพเจ้าหวนนึกถึงคำของหลวงพ่อว่า ที่ปฏิบัติรรม จะเป็นผู้มีความกตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณ มันเป็นเช่นนี้เองละหนอ ข้าพเจ้านึกเคารพบูชา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพรักพระกรรมฐาน และเคารพรักครูบาอาจารย์ คือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญมาก พร้อมกับคิดว่า เราได้ของดีจากพระกรรมฐานแล้ว แค่นี้ก็คุ้มเกินคุ้ม ยังไม่ได้นับอานิสงส์อื่นๆที่มีอีกมาก จนสุดประมาณได้......

ช่วงแรกๆ ของการปฏิบัติกรรมฐาน มารก็เริ่มผจญข้าพเจ้า เหมือนดั่งบททดสอบจิตใจทีเดียว ข้าพเจ้านึกถึงคำของหลวงพ่ออีกว่า "ยิ่งทำความดี มารก็ยิ่งผจญ มารมาทดสอบ มารมาเป็นครู" พอเริ่มสร้างความดี คือ ปฏิบัติกรรมฐาน เรื่องราวที่ก่อให้เกิดความทุกข์ ก็ประดังเข้ามาหลายเรื่องพร้อมๆกัน แต่ละเรื่องล้วนแล้ว แต่เป็นเรื่องใหญ่โต ที่ข้าพเจ้าไม่เคยประสบมาก่อน ทั้งการงาน การเงิน ปัญหาครอบครัวพี่น้อง จนข้าพเจ้าเครียดมาก ตั้งสติไม่ได้ กำหนดไม่ทัน รู้สึกหมดแรง ไม่อยากทำความดี ไม่อยากทำกรรมฐานอีกต่อไป จนวันหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกว่า สภาพจิตใจแย่เต็มทนแล้ว หมดกำลังใจมาก จึงมากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เมื่อมาถึงวัดหลวงพ่อ ท่านก็ลงมาเช่นเคย ท่านมองมาที่ข้าพเจ้า พร้อมกับเอ่ยว่า "จำไว้นะ ศุภรัตน์ เมื่อเรายังไม่มีความดี ยังไม่มีบุญนั้น เจ้ากรรมนายเเวรยังทวงเราไม่ได้ เพราะเราไม่มีอะไรจะให้ แต่เมื่อเราสร้างความดี ปฏิบัติกรรมฐานนั้น ก็เปรียบเสมือน ค้าขายจนมีเงินแล้ว เจ้ากรรมนายเวรเปรียบเหมือนเจ้าหนี้ เมื่อรู้ว่าเรามีเงิน ก็จะทวงเงินเรา เมื่อเป็นหนี้ก็ต้องใช้เขาไป เราต้องผ่านจุดนี้ให้ได้เสียก่อน เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้แล้ว ชีวิตของเราจะดีขึ้น ไม่มีอะไรรั้งไว้อยุ่ เปรียบเหมือนเส้นกราฟที่ลากผ่านจุดตั้งต้นก่อน แล้วค่อยพุ่งสูงขึ้น แต่คนส่วนใหญ่นั้น มักจะหยุดสร้างความดี หยุดปฏิบัติกรรมฐานกันที่จุดนี้ ชีวิตเลยไม่ไปถึงไหนกัน"......

ข้าพเจ้าได้ฟังคำเฉลยจากหลวงพ่อแล้ว โดยที่ยังไม่ได้ถามท่าน หลวงพ่อท่านหยั่งรู้ ช่วยสอนธรรมะครั้งยิ่งใหญ่ และสำคัญแก่ข้าพเจ้าอีกครั้ง ความเอิบอิ่มใจและกำลังใจ ที่เติมจนเต็ม ช่วยให้ข้าพเจ้าไม่ท้อถอย ต่อการสร้างความดีจนถึงทุกวันนี้........

ข้าพเจ้าเชื่อว่า คนเรานั้น เวียนว่ายตายเกิดมานานหนักหนา ในแต่ละภพแต่ละชาตินั้น ก็คงมีเจ้ากรรมนายเวร จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ให้เราได้มาชดใช้ ยิ่งทำไม่ดีกับใครไว้ ก็ยิ่งมีเจ้ากรรมนายเวรมาก เมื่อเกิดมาชาตินี้ ได้เกิดเป็นคน ได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีศรัทธาในการปฏิบัติ ได้มีครูบาอาจารย์ดี สั่งสอนถูกต้อง ตามเส้นทางที่สมเด็จพระบรมศาสดา ได้ทรงชี้แนะไว้ จึงเป็นโอกาสอันดี ที่จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แก้ปัญหาชีวิตของตน และสร้างบารมีให้ชีวิตสูงขึ้นไปเรื่อยๆ......

มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าทิ้งการปฏิบัติกรรมฐานและการสวดมนต์ไป ด้วยสาเหตุหลายๆอย่าง ขี้เกียจบ้าง สนุกสนานเฮฮาบ้าง ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้า ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย นิสัยที่ไม่ดี เช่น ขี้โมโห ใจร้อน เห็นแก่ตัว มีทิฐิมานะสุง ก็เลยกลับมาเหมือนเดิม เจออะไรในชีวิต ก็ลืมกำหนด ลืมการปฏิบัติ แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ เอาความรู้ทางโลก มาแก้ปัญหาทางโลกแบบผิดๆถูกๆ ก็เลยไปกันใหญ่ ไม่มีสติปัญญามองเห็นปัญหาและการแก้ปัญหา.......

......จนกระทั่ง วันหนึ่ง ไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีก ท่านชี้มาที่ข้าพเจ้า แล้วบอกว่า "ถ้าเราไม่ปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อยกชีวิตเราให้ดีขึ้นละก็ ชีวิตก็จะไปตามยถากรรม เหมือนที่มันเป็นอยู่นี่แหละ" หลวงพ่อช่วยเมตตาเตือนข้าพเจ้าอีกแล้ว หลายต่อหลายครั้ง ที่หลวงพ่อพยายามช่วยข้าพเจ้า รวมถึงการแผ่เมตตา ที่หลวงพ่อจะแผ่ให้กับลูกศิษย์ รวมถึงผู้ที่มีความทุกข์และต้องการความช่วยเหลือจากท่าน แต่เนื่องจากข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิบัติกรรมฐาน ทำให้การแผ่เมตตาของหลวงพ่อไม่เป็นผล เพราะการที่จะให้หลวงพ่อช่วยเหลืออะไรนั้น ตัวเราควรต้องช่วยเหลือตัวเองเสียก่อน ก่อนที่จะไปพึ่งพาผู้อื่น หลวงพ่อท่านสอนไว้ว่า เราต้องช่วยเหลือตัวเราเองให้ได้เสียก่อน ต่อไปจึงช่วยเหลือครอบครัว หลังจากนั้น ช่วยเหลือสังคม และประเทศชาติ การช่วยเหลือตนเอง ก็คือ การสร้างความดีให้กับตนเอง.......สร้างมนุษย์สมบัติ ดังที่หลวงพ่อได้กล่าวถึงเสมอๆ หลวงพ่อบกว่า ท่านแผ่เมตตาให้ แต่เพราะข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติธรรม ก็เหมือนคลื่นวิทยุสองคลื่น จูนไม่ตรงกัน หลวงพ่อแผ่เมตตาไปให้ จึงสะท้อนกลับ เพราะการทำกรรมฐานไม่ต่อเนื่อง ไม่สม่ำเสมอ ก็เปรียบเทียบเหมือนกับ ไม่ได้ทำเลย แก้ปัญหาชีวิตก็ไม่ได้ ชีวิตก็ไปตามยถากรรมเหมือนเดิม เมื่อช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ แล้วจะไปช่วยใครได้ จึงอยากฝากทุกท่านว่า อย่าได้ทิ้งกรรมฐานเหมือนที่ข้าพเจ้าทำ.....

หลังจากนั้น ข้าพเจ้ายังคงไปกราบหลวงพ่ออยู่เสมอๆ มีอยู่ช่วงหนึ่ง หลวงพ่อเรียกข้าพเจ้าว่า ดอกเตอร์ตลอด ข้าพเจ้าเรียนท่านว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นดอกเตอร์ ท่านจึงบอกว่า ก็ไปเรียนดอกเตอร์เสียซิ ข้าพเจ้าก็กลับไปคิดว่า จะเรียนต่อดีหรือไม่? เพราะตัวเอง เป็นคนที่ไม่ชอบเรียนเท่าไหร่ แต่ถ้าหลวงพ่อบอกละก็ ของนั้นต้องเป็นของดีแน่นอน ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเรียนต่อ หลวงพ่อท่านให้เหตุผลว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเรียนจบถึง 18 ศาสตร์ หรือ 18 ดอกเตอร์ เราเป็นลูกท่าน เราจะเรียนจบให้ได้สัก 1 ดอกเตอร์ไม่ได้เชียวหรือ? ท่านให้ปฏิบัติกรรมฐานทุกวัน และความรู้นั้นต้องคู่คุณธรรม เรียนหนังสือทางโลกแล้ว ให้เอาคุณธรรมเข้าไปประกอบ จึงจะสมบูรณ์ ปัจจุบัน ข้าพเจ้าเรียนระดับปริญญาเอก สาขาโภชนศาสตร์ ที่สถาบันวิจัยโภชนาการ และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ถ้าไม่ได้หลวงพ่อชี้แนะ ข้าพเจ้าคงจะไม่มีโอกาสเรียนต่อแน่นอน หลวงพ่อท่านสนับสนุนในเรื่องการศึกษา ท่านอยากเห็นเยาวชนไทยตั้งใจเรียนหนังสือ มีคุณธรรม เพื่อความเจริญก้าวหน้าทั้งทางสติปัญญา และจิตใจ เป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป ดังที่หลวงพ่อกล่าวอยู่เสมอๆว่า "ความรู้ต้องคู่คุณธรรม".........

หลังจากนั้น ข้าพเจ้าจึงหวนกลับมาปฏิบัติกรรมฐานใหม่ หนนี้อยากสนองคุณของบุพการี ผู้ให้กำเนิดและมีพระคุณอย่างยิ่ง หลวงพ่อบอกว่า ให้สนองคุณบิดามารดา โดยการพาท่านมาเข้ากรรมฐาน ข้าพเจ้าจึงชวนคุณแม่มาปกิบัติ ชวนอยู่หลายครั้ง คุณแม่ก็ไม่ยอมมา อ้างว่าไม่มีเวลาบ้าง ห่วงหลานบ้าง ห่วงบ้านบ้าง สุดท้ายข้าพเจ้าจึงพูดขอท่านตรงๆว่า ให้โอกาสข้าพเจ้าสนองคุณบ้างเถิด คุณแม่จึงยอมมาปฏิบัติ เนื่องจากบ้านอยู่ที่ชัยภูมิ เราจึงไปปฏิบัติที่ศูนยฺปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น ซึ่งท่านพระครูวินัยธรธีรวัฒน์ ฐานุตตโร ได้เมตตาช่วยสอนเป็นอย่างดี ปีนั้นทั้งปี คุณแม่ได้เข้ากรรมฐานถึง 4 ครั้ง กลับมาบ้านยังได้ปฏิบัติเองอีกด้วย......

เมื่อเดือนเมษายน 3546ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติธรรมในโครงการแสงธรรมนำชีวิต สำหรับประชาชนทั่วไป ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน จ.ขอนแก่น เป็นเวลา 7 วัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงวันที่ 4 ของการปฏิบัติ ข้าพเจ้ากำหนดสติได้ดีมาก เกิดปัญญาสอนว่า "กายนั้นอยู่ส่วนกาย จิตนั้นอยู่ส่วนจิต" จิตอิ่มเอิบมาก จึงแผ่เมตตาไปจนไพศาล เมื่อออกจากการปฏิบัติ กำหนดสติรู้ในอิริยาบถ 4 คือ ยืน-เดิน-นั่ง-นอน ก็ดีมาก เช้ามืดวันถัดมา ข้าพเจ้ากำลังเดินจงกรมอยู่ เกิดปวดท้องมาก จึงไปเข้าห้องน้ำ ก็ไม่หายปวด ปวดจนตัวงอไปหมด จึงลงนอนพัก ซึ่งตอนนั้น ทุกคนออกไปปฏิบัติกันหมด เหลือข้าพเจ้าคนเดียว พอกำลังเคลิ้มๆ ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาวประบ่า นุ่งขาวห่มขาว มายืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับพาข้าพเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น สถานที่ที่ไปนั้น ดูเป็นเมืองที่แปลกมาก ผู้คนขวักไขว่ แต่ไม่มีใครพูดจากันเลย ข้าพเจ้าก็เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบชายสูงอายุท่านหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เดินเข้าไปหา ชายสูงอายุท่านนั้นก็พูดกับข้าพเจ้าด้วยประโยคสั้นๆ แต่ข้าพเจ้าจำได้อย่างแม่นยำจนบัดนี้ว่า หนู หมั่นสร้างความดีนะ อย่าทิ้ง ข้าพเจ้ารับปาก สักครู่ไม่ทราบใครยื่นชามข้าวต้มให้ บอกให้ข้าพเจ้ารับประทาน ข้าพเจ้าจึงรับประทานจนหมด รสชาติหอมอร่อยมาก ทั้งๆที่เป็นเพียงข้าวต้มเปล่าๆ เมล็ดข้าวก็ดูแปลก เมื่อข้าพเจ้าทานหมด ก็มีคนชี้บอกทางให้เดินข้ามสะพานกลับ เมื่อข้ามสะพานพ้น ก็รู้สึกตัว เพราะมีคนเข้ามาในห้อง เอายามาให้ แต่ตอนนั้นหายปวดท้องแล้ว.....

ข้าพเจ้ารู้สึกถึงวาสนาในทางปฏิบัติธรรมของตนเองว่า คงจะมาในเส้นทางนี้ เพราะได้พบครูบาอาจารย์ที่เป็นเอกเป็นเลิศ คือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ พบคุณพ่อคุณแม่ที่ประเสริฐ ที่ให้การสนับสนุนการปฏิบัติธรรม นอกจากนี้ ท่านที่อยู่ในภพภูมิอื่น ก็ยังอุตส่าห์มากระตุ้นเตือน ให้ข้าพเจ้าอย่าทิ้งการปฏิบัติธรรมอีก นับว่าตนเองโชคดีมาก และรู้สึกเสียใจที่ทิ้งกรรมฐานไปหลายปี จึงบอกตัวเองว่า ต่อไปนี้ จะไม่ทิ้งกรรมฐานอีก เพราะโอกาสมีมาพร้อมมูลในชาติภพนี้แล้ว

เมื่อธันวาคม 2546 บุญวาสนาของข้าพเจ้ามาถึงอีกครั้ง เมื่อมีโอกาสได้รู้จัก คุณพี่พาณิชย์-คุณพี่ถวัลย์ สมาบุตร จากการแนะนำของพี่พรภักดี แซ่อึ้ง พี่ทั้งสองได้แนะนำเรื่องการปฏิบัติให้แก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าปรารภว่า อยากบรรลุธรรมในชาตินี้ อยากใช้เวลาที่ยังมีครูบาอาจารย์ คือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อคอยสั่งสอน เรื่องการปฏิบัติอยู่นั้นให้คุ้มค่าที่สุดที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พี่พาณิชย์แนะนำว่า จะต้องปฏิบัติทุกวัน เดิน 1 ชั่วโมง นั่ง 1 ชั่วโมง ถ้าเป็นคนโสดเดิน 3 ชั่วโมง นั่ง 3 ชั่วโมงได้จะเป็นการดี และสัมฤทธิ์ผลอย่างที่ต้องการแน่ ข้าพเจ้าจึงนำไปปฏิบัติ และไปเข้าโครงการวิปัสสนากรรมฐานเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต 25 ธันวาคม 2546-1 มกราคม 2547 ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน ข้าพเจ้าเดิน 3 ชั่วโมง นั่ง 3 ชั่วโมงได้ แต่ด้วยเวทนาที่มากที่สุดในชีวิต ท่านพระครูวินัยธรธีรวัฒน์ ได้เมตตาควบคุม และช่วยสอนการปฏิบัติอีกครั้ง.....

การเดินจงกรมนั้น สำคัญมาก เพราะถ้าสติ และสมาธิจากการเดินจงกรมดีแล้ว เวลานั่ง สติ และสมาธิ ก็จะดี และต่อเนื่องด้วย หลวงพ่อจึงให้เดินจงกรมก่อนนั่งสมาธิ หลังจากการปฏิบัติกรรมฐานทุกครั้ง ข้าพเจ้าจะมีอาการหนาว มือเท้าเย็น พี่พาณิชย์บอก ให้ไปอาบน้ำ จึงจะหายหนาว และว่าถ้าปฏิบัติกรรมฐานถูกวิธี มือจะเย็นเสมอ.....

ในระหว่างการปฏิบัติ ได้เกิดปัญญาขึ้นมากมาย และได้พิจารณาธรรม อย่างเช่น

*เพราะจิตนี้มีกายเป็นข้อต่อรอง ในการทำให้เกิดกิเลสต่างๆนานา กายเป็นทางเข้า-ออกของกิเลส โดยทางอายตนะภายในทั้ง6กายนี้ชักนำจิตให้เศร้าหมอง จิตก็ชักนำกายให้เศร้าหมอง ต่างฝ่ายต่างรวมหัวกันทำความไม่ดี แต่ถ้าเราสามารถควบคุมจิต ไม่ให้วิ่งเข้าสู่กิเลสต่างๆได้ จิตก็จะดีและชักนำกายให้ดีด้วย เพราะฉะนั้น ต้องหมั่นฝึกจิต ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน4*และ*ในระหว่างกำหนดสตินั้น ทุกๆลมหายใจเข้า-ออกนั้น เป็นบุญ เรากำลังสร้างความดี เรามิได้ทำความชั่วเลย ศีล5 มีครบถ้วน มิได้มีกิเลสโลภ-โกรธ-หลงในระหว่างนั้น ดังนั้น ถ้ายิ่งเจริญสติมากเท่าใด ก็ยิ่งสร้างความดีมากเท่านั้น เพราะเหตุนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ จึงสอนให้เรา เจริญสติตลอดเวลา ทุกวินาที เป็นเครื่องปิดกั้นความชั่ว เพื่อชีวิตนี้ จะได้มีความดีตลอดทั้งชีวิต เป็นมงคลแก่ตน ทั้งทางโลกและทางธรรม*

การปฏิบัติธรรมได้เปลี่ยนให้ชีวิตข้าพเจ้าดีขึ้น เช่นมีความกตัญญูรุ้คุณผู้มีพระคุณ ใจเย็นขึ้น การเรียนหนังสือของข้าพเจ้าราบรื่น มีแต่เพื่อนที่ดีไปมาหาสู่ ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น และค้าขายดี คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรงจนกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ดีขึ้นทั้งหมด จนเห็นได้ชัด ยิ่งปฏิบัติธรรมมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งพบความมหัศจรรย์แห่งพระธรรมมากขึ้นเท่านั้น ข้าพเข้า มีความแน่วแน่ในพระศาสนามากยิ่งขึ้น ความทุกข์ลดน้อยลงไปจากจิตใจ จริงๆแล้ว ความทุกข์ไม่ได้หายไปไหน แต่หลวงพ่อสอนให้กำหนดเอาสติรู้ แล้วหาเหตุแห่งทุกข์นั้น สุดท้ายก็จะพบว่า ทุกข์มันก็เป็นเช่นนั้นเอง นิสัยที่ไม่ดีของข้าพเจ้า เช่น ความใจร้อน ขี้โมโห เห็นแก่ตัว ลดลง จนคนรอบข้างสังเกตเห็นได้......

ที่สำคัญกว่านั้น คือ-ข้าพเจ้ารุ้หน้าที่ของตนว่า ควรจะต้องทำอะไร ให้คุ้มค่าที่สุด กับการได้เกิดเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้ามีจิตตั้งมั่น ที่จะดำรงชีวิต รับผิดชอบหน้าที่ทางโลกให้ถูกต้อง และตรง ส่วนในทางธรรม ข้าพเจ้าขอดำเนินรอยตามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆเจ้า และพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม สู่เส้นทางสายเอก คือ สติปัฏฐาน 4 ที่ท่านได้ปฏิบัติให้ดูเป็นแบบอย่างแล้ว หนทางพิสุทธิ์สู่เส้นทางสายเอกนี้ จะไม่แปรเป็นอื่น ข้าพเจ้าจะตั้งใจปฏิบัติธรรม เคารพเชื่อฟัง และดำเนินรอยตามครูบาอาจารย์ จนตราบเข้าสู่พระนิพพานในอนาคตกาล ไม่ว่าหนทางนั้น จะยาวไกล และลำบากเพียงใดก็ตาม.....

........จากหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติเล่ม 18 พระธรรมสิงหบุราจารย์(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)...

พุทธญาณ
Buddhayan@gmail.com





Create Date : 25 พฤษภาคม 2549
Last Update : 25 พฤษภาคม 2549 14:19:01 น. 9 comments
Counter : 691 Pageviews.

 
ศิษย์สำนักเดียวกัน


โดย: ปราโมทย์ IP: 58.9.235.96 วันที่: 24 มีนาคม 2550 เวลา:0:07:23 น.  

 
นับถืออนุโมทนาสาธุ ด้วยนะคะมีโอกาศจะขอนำไปปฏิบัติ


โดย: ผู้มาใหม่ IP: 222.123.67.233 วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:11:43:18 น.  

 
ขออนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ

นิพพานัง ปรมัง สุขัง
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ


โดย: หล้าสมชาย IP: 124.157.160.75 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:11:09 น.  

 
โมทนา สาธุ ด้วยนะคะ


โดย: อยากไปฝึกบ้าง IP: 118.172.70.195 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:30:02 น.  

 
เห็นความมีวินัย และอดทนต่อการฝึกฝนปฏิบัติธรรมของพี่ปุ๊กกี้แล้ว อยากทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง

การที่น้ำทิพย์ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพี่ปุ๊กกี้
ทำให้เห็นตัวอย่างในการทำความดี
ก็รู้สึกเป็นบุญวาสนามากแล้วค่ะ

น้ำทิพย์เป็นคนหนึ่ง ที่จิตฟุ้งซ่านง่ายมาก
เกิดความท้อแท้ เวลาฝึกปฏิบัติ
คงเป็นเพราะกิเลสในตัวมีมาก
ได้อ่านเรื่องของพี่ปุ๊กกี้แล้ว
คงต้องใช้ความพยายามให้มากกว่านี้

ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆ ของพี่ปุ๊กกี้
ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนนะคะ

ขอให้พี่ปุ๊กกี้เจริญในทางธรรมสมดั่งที่ตั้งใจนะคะ


โดย: น้ำทิพย์ IP: 202.28.181.7 วันที่: 19 พฤษภาคม 2551 เวลา:9:02:50 น.  

 
โมทนาบุญค่ะ เป็นเหมือนกันค่ะ ยิ่งทำความดีเท่าไรแต่มีความรู้สึกว่าชีวิตไม่ได้หลุดพ้นเลยค่ะ เหมือนกับยิ่งถูกทดสอบด้วยและก็เหมือนกับถูกเจ้าหนี้ถวงด้วยค่ะ แต่พอได้อ่านแล้ว รู้สึกว่ามีกำลังใจขึ้นมากเลยค่ะ ต้องขอบคุณมากจริง ๆ นะค่ะที่ให้ข้อคิดที่ดีมาก ๆ


โดย: บุณยวีร์ IP: 125.25.123.4 วันที่: 19 มิถุนายน 2552 เวลา:20:19:43 น.  

 
หนูก็เคยได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญฯ หนูขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ


โดย: นิด IP: 111.84.89.7 วันที่: 18 พฤษภาคม 2553 เวลา:12:49:46 น.  

 
ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ พี่ปุ๊ก ผมยังระลึกถึงพี่เสมอ จะเป็นกำลังใจให้นะครับ

bullsurf@yahoo.com


โดย: กิติสร IP: 203.146.226.98 วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:13:25:18 น.  

 
มีใครรู้ email หรือ เบอร์โทร ดร.ปุ๊กกี้ บ้างไหมคะ


โดย: nute IP: 118.173.249.198 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:13:54:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

AmataMahaNippan
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อภิมหาอมตะนิพพาน เหนือวิมานพรหมสวรรค์ ณ ชั้นไหน ?
บรมสุขแห่งนิพพานเบิกบานใจ ไม่เหมือนใครไหนเลยที่เคยมี....

บัวบาน บางเขน
Buaban_Bangkhen@hotmail.com
New Comments
Friends' blogs
[Add AmataMahaNippan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.