มิถุนายน 2555

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
20 มิถุนายน 2555
การเห็นโลกตามจริง

.การมองโลกตามจริง....

สมมุติเรากำลังดูทีวี ก็ให้มองว่าทีวีมันทำงานอย่างไร ที่มันมองดูสมจริงสมจังจนเราเคลิ้มตามไป แท้จริงมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็น ภาพที่เราเห็นว่ามันเคลื่อนไหวนั้น แท้จริงมันเป็นหลายภาพปรากฏต่อเนื่องกันอยู่ ช่วงที่มันเปลี่ยนภาพนั้นจอจะว่างแต่เรามีความรู้สึกที่หยาบกว่าเราจึงเห็นมันต่อเนื่องกลายเป็นภาพเคลื่อนไหว…..

และเสียงที่เราได้ยินนั้น มันดังออกมาจากลำโพง ไม่ได้ดังออกมาจากภาพ และความเป็นภาพนั้นมันเป็นเส้น สานกันอยู่และเป็นสีที่แตกต่างกัน ทำให้เราเห็นเป็นภาพเกิดขึ้น

........ถ้ามองตามความเป็นจริง มันจึงเป็นสิ่งที่ประกอบกันอยู่เท่านั้น เหมือนมันหลอกเรานั่นเอง แต่เราต้องมองที่ความรู้สึกของเรา ว่าเห็นความเป็นภาพมายาจากธรรมชาติ และเราก็คล้อยตามมัน ถ้ามองมันตามจริงเราจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะมันเป็นภาพหลอกอยู่เท่านั้น และเราก็สร้างภาพมายาขึ้นมาหลอกตนเองอีก

.............กลับมามองที่ตัวเรา ถ้ามองตามจริง เราก็จะเห็นความเป็นภาพมายาเหมือนกัน เพราะมันเป็นการรวมกันอยู่ของกลุ่ม เลือด เนื้อ หนัง กระดูก น้ำเลือดน้ำเหลืองฯ หรือโดยละเอียดก็คือความเป็นธาตุทั้งสี่หรืออนุภาค รวมตัวกันอยู่ มีความรู้สึกที่เป็นธาตุรู้ หรือพลังงานเราจึงรู้สิ่งต่างๆได้ โดยรวมมันก็เหมือนการรวมกันอยู่เช่นกัน แต่เรามองว่ามันเป็น "ตัวเรา" ถ้ามองตามจริงคือมันเป็นการทำงานของมวลสารกับพลังงาน ที่ทำให้เกิดเป็นตัวเราและทำให้เราเหมือนรู้สิ่งต่างๆได้ความจริงเรารู้สิ่งที่มากระทบเท่านั้น นอกนั้นเราคิดเอาเองซึ่งก็เหมือนกับเราหลงอยู่ในความเป็นมายาของธรรมชาติ ถ้าความจริงนี้สัมผัสขึ้นที่ความรู้สึก เราจึงจะเห็นการทำงานทางธรรมชาติของความเป็นตัวเรา ทำให้เรารู้สิ่งต่างๆได้ เราจะเห็นได้ว่ามันเป็นเพียงปรากฏการณ์ของธรรมชาติเท่านั้นที่แสดงเป็น “ตัวเรา”อยู่ การรู้ตามจริง จึงเห็นความหลง หรือการยึดมั่นเกิดอยู่...




Create Date : 20 มิถุนายน 2555
Last Update : 7 ธันวาคม 2555 7:22:34 น.
Counter : 1547 Pageviews.

11 comments
  
ตัวเราแท้ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ของเรา เราแค่ยืมเขามาใช้ ถึงเวลาก็ต้องคืนเขาไป
โดย: ความรักสีจาง วันที่: 20 มิถุนายน 2555 เวลา:19:04:09 น.
  


ครับ...ท่านบอกว่ามันเป้นการประชุมกันของธาตุทั่งสี่ การบอกว่าเป็นตัวเรา เหมือนเป็นการไปยึดอามาเป็นของตน ทึกทักเอาเหมือนขโมย ควรจะละอายที่ไปยึดธรรมชาติมาเป็นตนเอง.

ความรู้สึกแยกออกมาจากกาย....อย่างเจียมตน
โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.237.58 วันที่: 20 มิถุนายน 2555 เวลา:19:19:16 น.
  
สาธุ สาธุ สาธุ..



โดย: Pan (Pan@CA ) วันที่: 21 มิถุนายน 2555 เวลา:22:53:28 น.
  



ความรู้สึกที่เกิดเป็นตัวเรา คือ จิต+กาย =ความรู้สึกที่เป็นตัวเรา

..........มองจากเหตุ จึงเข้าใจผล มันคือพลังงานธรรมชาติทำงานอยู่
โดย: ปรมัตถธรรม IP: 101.108.98.93 วันที่: 22 มิถุนายน 2555 เวลา:21:27:00 น.
  
โดย: My dog Buddy วันที่: 22 มิถุนายน 2555 เวลา:23:28:27 น.
  



มันเป็นการทำงานของปรมัตถธรรมธาตุ มันจึงมีความเป็นธาตุธรรมชาติเท่านั้น

ปรมัตถธรรมธาตุคือ จิต รูป เจตสิก นิพพาน
โดย: เกิดเป็น "ตัวเรา" IP: 125.25.17.105 วันที่: 23 มิถุนายน 2555 เวลา:7:27:57 น.
  



..........ตัวเราคือการสมมุติอยู่ของธรรมชาติ การเข้าใจความจริงนี้ได้ จะเห็นได้ว่าเราสมมุติสิ่งต่างๆอยู่..........


ถ้าความจริงนี้สัมผัสขึ้นในใจได้ เราจะลดความจริงจังในตัวเราเพราะมันเหมือนสมมุติอยู่จริงๆ

โดย: ไพรสณฑ์ IP: 101.109.229.219 วันที่: 23 มิถุนายน 2555 เวลา:13:12:11 น.
  


........การเข้าใจว่าตัวเราเป็นการปรุงแต่งกันอยู่ของธาตุทั้งสี่ หรือเป็นการทำงานของปรมัตถธรรมธาตุ แม้ว่าเราจะเข้าใจได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่การที่จะเห็นได้อย่างนั้นจริงๆกลับเป็นเรื่องยากมาก เพราะเราก็ยังคิดว่ามันเป็นตัวเราอยู่นั่นเอง จึงทำให้ไม่สามารถเข้าใจได้.

.....แต่ถ้าเกิดเป็นความเข้าใจทางความรู้สึกได้ อาการยึดมั่นในตัวตนจะหยุดลง เพราะเป็นการหลงในความเป็นธรรมชาติอยู่นั่นเอง


....ถ้าเราต้องการจะให้เกิดเป็นความเข้าใจได้อย่างนั้นจริงๆ ก็ให้เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง หรือสมมุติว่ามันเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เราป้อนเข้าไปความรู้สึกของเราจะปรับตัวตาม แล้วเราก็จะเกิดการเห็นจริง เพราะมันมีความจริงที่จะให้เห็นนั่นเอง ไม่ใช่การสมมุติ แต่เรามัวสมมุติว่ามันเป็นตัวเองอยู่ เลยไม่เห็นความจริงของมัน
โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.32.129 วันที่: 24 มิถุนายน 2555 เวลา:7:54:00 น.
  






...........ว่าง สงบ คือบทสรุปของการแสวงหา การดิ้นรนอยู่จึงเป็นทุกข์ พอใจสิ่งที่มีอยู่ คือสุข ................
โดย: อยุ่ในปัจจุบันเสมอ IP: 125.25.28.195 วันที่: 6 กรกฎาคม 2555 เวลา:6:10:27 น.
  
ช่วยแก้อุปทาน ...แก้มาตลอดเส้นทาง
พอทำไป
1. ..มันชอบไปเกร็ง จนเย็น มารู้กล้ามเนื้อตึง ปวดหัว ...นิสัยเพ่ง มากจากมีฐานกสิณไฟ อากาศ อยู่แล้ว ...ตั้งใจนิดเดียว เบากว่าแต่ก่อนแล้ว ปรับลงมาเรื่อย ก็มีภาพซ้อน ภาพแวบ ทั้งที่เคลื่อนตัวเร็วแล้ว
2. ภาพเป็น ฉาก ก็เคยเห็น
3. หูเปิดปิดไม่เป็น
4. รู้รส รู้กลิ่น ดับ มี ดับ ก็เคยเห็น
....เห็นความคิดแล้วค่ะ
ข้าพเจ้า จะมีอุปทาน ตามตลอดไปเลย ใช่หรือไม่ เลี่ยงไม่พ้น หรือมีวิธีเลี่ยง หรือทำได้แค่ปรับตัว ทำใจ ได้ยินก็ได้ยิน ไม่ได้ยิน ทั้งที่ควรได้ยิน หูมันปิดเอง
dalinple@gamil.com
โดย: ดาลิน IP: 180.183.141.18 วันที่: 10 สิงหาคม 2555 เวลา:11:28:02 น.
  
....น่าจะเกิดจากความวิตกกังวล ความวิตกกังวลทำให้เกิดอุปาทาน ลองทำความรู้สึกให้สบายๆไม่วิตกกังวล มันจะเกิดก็ให้มันเกิด ไม่เกิดก็ไม่เกิด คืออย่างไปวิตกกังวล....


ไม่เคยเป็นอาการแบบนี้ แต่วิเคราะห์จากอาการว่าเกิดจากการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเคยชิน จนเกิดเป็นความวิตกกังวล แม้คนปกติก็เป็นอาการแบบนี้ เราจึงเป็นทุกข์เืนื่องจากความวิตกกังวลนั่นเอง ถ้าไม่วิตกกังวลมันก็ไม่เกิดอุปาทาน ก็ลองแก้ให้ตรงจุด
โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 13 สิงหาคม 2555 เวลา:6:20:16 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ไพรสณฑ์
Location :
อำนาจเจริญ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]



การปฏิบัติธรรม...
คือการมีสติรู้ความจริงของชีวิต

ชีวิตคือความเป็นธรรมชาตินั่นเอง
การมองชีวิตในมุมกลับจึงเห็นความจริงว่ามันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาตินั่นเองที่เป็นอยู่คือการยึดมั่น...

...การเห็นความจริงนี้จึงเป็นการเห็น"สัจจะธรรม"จึงพบคำตอบเกิดขึ้นว่าพวกเรามาทำธุระอะไรกันอยู่บนโลกใบนี้. แท้จริงมันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น...คือความจริงที่จะต้องทำความเข้าใจ เพราะการเข้าใจว่าเป็น "ตัวเรา"มันเป็นการหลงอยู่ในการปรุงแต่งของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น.


...การเข้าใจมันตามจริง.... จึงเห็นความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น..."ตัวเรา"เป็นเพียงการสมมุติของธรรมชาติเท่านั้น จึง เกิดความวิเวก วังเวง เพราะมันเป็นความจริงนั่นเอง
New Comments