Group Blog |
สติคือแสงสว่าง สติคือแสงสว่าง :
มากพอจึงจะเกิดได้อยู่ทุกขณะ จึงจะเกิดการเห็นความเป็น
ธรรมชาติภายในของตนเองได้ ทุกซอกมุมและการมีความรู้สึกที่ตื่น
อยู่ทุกขณะ จึงจะทำให้เกิดการตื่นขึ้นทางความรู้สึกได้ การมี สติ
รู้สึกตัวนำไปสู่การตื่นทางความรู้สึกอย่างแท้จริง ความรู้สึกตัวคือ
ความพยายามที่จะตื่นขึ้นนั่นเอง การปฏิบัติอยู่เสมอความรู้สึกจึงตื่นขึ้นได้จริง ไม่ใช่การอุปมา
ซึ่งจะต้องปฏิบัติอยู่เสมอให้เป็นปกติ มันจึงจะมีการพัฒนาตนเอง จากสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่งได้ เกิดผลทางการปฏิบัต คือการตื่นทางความรู้สึก การไม่เคลิบเคลิ้มอยู่ในสิ่งต่างๆไ
ปกติความรู้สึกของเรามีอาการเคลิ้มอยู่ในอารมณ์ที่สัมผัสและเป็นเหตุ
ให้เกิดการปรุงแต่ง เราจึงต้องมีสติกำกับความรู้สึกของเราอยู่เสมอ ให้
เปรียบเหมือนแสงสว่างที่ขับไล่ความมืด ส่องเห็นซอกหลืบ ภายในอยู่
เสมอ ถ้าไม่มีสติอยู่จะเปรียบเหมือนอยู่ในความมืด
สติจึงเป็นแสงสว่างที่ขับไล่ความมืดและนำไปสู่
การตื่นทางความรู้สึกได้อย่างแท้จริง...เป็น
อาภรณ์ประดับกาย!!! หัวข้อรายละเอียดการสั่งซื้อหนังสือทางวิเวกฯ
อยู่ในหัวข้อ การปฏิบัติธรรม โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 22 พฤษภาคม 2555 เวลา:7:12:37 น.
***ให้เปรียบสติเหมือนแสงสว่าง ที่ทำให้เห็นความรู้สึกของเรา ให้เห็นได้ว่าถ้าเราไม่มีสติอยุ่ จะเหมือนอยู่ในความมืด เราจึงจะเห็นความสำคัญของมัน และอยากให้มีอยู่เสมอ การฝึกให้ฝึกเล่นๆอย่าจริงจัง จะเห็นอาการที่เป็นธรรมชาติของมัน เราจะทำได้ง่ายขึ้น*** โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.16.239 วันที่: 22 พฤษภาคม 2555 เวลา:14:00:00 น.
.....ในรายละเอียด สติ กับ ความรู้สึกตัว ต่างกันไหมสติจะมีอาการเกิดทางความรู้สึก แต่ ความรู้สึกตัว จะเน้นไปทางกาย คือเอาความรู้สึกไว้ในกาย พระพุทธเจ้าก็ประทานโอวาทแก่พระมหากัสสปะ ให้เอาสติไว้ในกาย พิจารณากายเป็นอารมณ์ โดย: ไพรสณฑ์ IP: 101.108.104.147 วันที่: 23 พฤษภาคม 2555 เวลา:9:48:26 น.
และพิจารณากายเป็นอารมณ์ทำอย่างไร???? คือพิจารณาอาการของกายว่าเป็นอยู่อย่างไรนั่นเอง พระมหากัสสปะพิจารณาอยู่เจ็ดวันจึงเกิดความเข้าใจ.... ........จะเห็นว่ามันยังมีลำดับขั้นของความเข้าใจอยู่อีก คือต้องทำให้มากนั่นเอง.......... โดย: ไพรสณฑ์ IP: 101.108.104.147 วันที่: 23 พฤษภาคม 2555 เวลา:10:04:53 น.
มีกัลยาณมิตร ผู้มีเมตตาธรรมแจ้งให้ทราบว่า หนังสือทางวิเวกฯ อธิบายเหมือน ท่านโพธินันทะอธิบาย...ตามลิ๊งค์นี้.....
//www.youtube.com/watch?v=S5Nt8TehYvQ&feature=relmfu แต่การเข้าใจธรรม แม้จะพูดสิ่งเดียวกันแต่เข้าใจไม่เหมือนกัน ท่านแนะวิธีปฏิบัติเพื่อเห็นความจริง คือการละวางตัวตน หรืออัตตา จึงทำให้เกิดเป็นความว่าง ความเป็นอัตตาหรือตัวตนจึงไม่เกิด จึงนำไปสู่การรู้แจ้งหรือพุทธะ การดับทุกข์ขณะที่ใช้ความเพียรอยู่ ความทุกข์ยังมีอยู่ ลำดับขั้นการปฏิบัติจึงเป็นสิ่งสำคัญ ว่าแต่ละคนติดอยู่ในขั้นใด เมื่อเลื่อนระดับตัวเองได้ จึงเห็นวิธีดับ ความทุกข์เกิดจากการปรุงแต่งของจิตกับกาย เราต้องวิเคราะห์สาเหตุของมันให้พบ การปรุงแต่งของจิตกับกายเนื่องจากการไม่มีสติ จึงเห็นว่าการมีสติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและเปรียบเหมือนแสงสว่างที่ส่องให้เห็นความมืด คือความมืดในใจ การมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอพัฒนาขึ้นมาให้สามารถใช้งานได้รู้สึกตัวได้ทุกขณะ(ตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน) มันจึงจะรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง การที่มันเกิดผลได้ เราจึงจะเห็นความสำคัญของสติ และความรู้สึกตัว ดังที่ผมนำมาเสนอว่าให้เห็นความสำคัญของสติ และการมีความรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะ ทำให้มากมันจะเกิดเป็นความชำนาญ ความรู้สึกตัวจะทำให้เกิดการตื่นทางความรู้สึกในลำดับถัดไป และการปฏิบัติอยู่เสมอมันก็คืออันเดียวกับความว่างนั่นเอง ....สติ ความรู้สึกตัว การตื่นอยู่ ความว่าง จึงเป็นสิ่งที่เป็นอันเดียวกัน สามารถที่จะใช้แทนกันได้ การว่างอยู่ได้เสมอ จึงสามารถเห็นความจริงทางธรรมชาติได้ เห็นความหลงจากการปรุงแต่ทางความรู้สึก คือการยึดมั่น ให้เกิดเป้น "ตัวเรา" หรือ "อัตตา" นั่นเอง .........ผมได้นำลิ้งค์การสดงธรรมของหลวงพ่อโพธินันทะ ที่มีกัลยาณมิตรได้ส่งมาให้ทางอีเมล์ เพื่อว่าผู้สนใจที่จะแสวงหาทางดับทุกข์ จะได้มีทางเลือกซึ่งผมเห็นด้วยทุกประการ แต่การนำเสนออาจจะมีขั้นตอนต่างกัน ขออนุโมทนา ไพรสณฑ์ โทร.088 686 0586 โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 24 พฤษภาคม 2555 เวลา:15:30:30 น.
แนวทางของหลวงพ่อเทียน. //www.youtube.com/watch?v=eck4KNy5wyg โดย: ไพรสณฑ์ IP: 125.25.16.136 วันที่: 24 พฤษภาคม 2555 เวลา:21:00:15 น.
***ผู้ปฏิบัติธรรมที่เห็นทุกข์มากแล้ว ควรหยุดการวนเวียน และอยู่ในวิหารแห่งความว่าง
ส่วนผู้เริ่มต้นยังเห็นทุกข์น้อย ก็ให้ฝึกการมีสติ การรู้สึกตัวให้มาก... ..........จุดหมายคือการมีเพียง ความรู้สึกรู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ คือการเป็นผู้รู้เท่านั้น ไม่เป็นผู้กระทำ คือการเกิดเป็น ตัวตนหรือ อัตตา ............................................................................................................................ ***ธรรมะกำมือเดียว*** คือวิธีปฏิบัติในการแก้ไขอาการยึดมั่นในความเป็นตัวตนซึ่งมีอยู่ไม่มากนั่นเอง ปัจจุบันขณะ https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=amarasin สติคือแสงสว่าง https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=4 ตัวเราอยู่ตรงไหน https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&month=05-2012&date=11&group=4&gblog=6 รู้สึกตัวอยู่เสมอ https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&group=3 จิตเห็นอาการของจิต https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amarasin&month=05-2012&date=28&group=3&gblog=4 ***การพิจารณาให้เห็นความจริงของตนเองนำไปสู่การคลายการยึดมั่น การปฏิบัติเพื่อเข้าไปแทรกแทรงอาการปรุงแต่งของกายนั่นเอง การรู้จุดมุ่งหมายของการกระทำจะทำให้เห็นความเป็นเหตุผลได้ เราจะรู้ว่าเราทำเพื่ออะไร ในรายละเอียดได้อธิบายในหนังสือ "ทางวิเวกฯ" มันมีเรื่องที่ต้องท้าวความกันมากพอสมควรจึงได้เขียนเป็นหนังสือ*** โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 29 พฤษภาคม 2555 เวลา:5:16:36 น.
.....ปกติการที่เราบอกว่าเราเห็นธรรมหรือเข้าใจธรรมนั้น อาการทางธรรมชาติคือความรู้สึกของเราเปลี่ยนไป แต่ถ้าเราไม่เข้าใจในเหตุผลของจิตและกาย ความรู้สึกนั้นก็จะหายไป เพราะมันเป็นอาการที่เกิดทางกาย ที่มีผลทางความรู้สึก ถ้าเราจะเข้าถึงสภาวะนั้นได้ต้องฝึกเท่านั้น
เริ่มต้น ต้องฝึกการมีสติ และความรู้สึกตัว เมื่อมีมากพอมันจึงจะเปลี่ยนไปเป็นอาการตื่น และเป็นความว่าง ปกติเราสามารถที่จะทำความรู้สึกของเราให้ตื่น หรือว่างได้ แต่มันจะเกิดได้ชั่วคราว การฝึกอยู่เสมอมันจึงจะเกิดขึ้นได้จริงถาวร จะเห็นว่าเราไม่เข้าใจลำดับขั้นของความรู้สึก เราจึงล้มลุกคลุกคลานอยู่ ผู้ที่นำมาสอนส่วนใหญ่เอาผลบั้นปลายมาแนะนำกัน แต่ไม่ได้แนะนำเบื้องต้น คือปัญหาที่ตนเคยพบมาก่อน พอเกิดผลได้ก็บอกว่ามันมีอยู่แล้วในตัวเรา ความจริงมันก็มีอยู่แล้ว แต่มันมีไม่มากพอที่จะนำมาใช้งาน การทำให้มันมากพอนั่นเองคือสิ่งที่เราจะต้องใช้ความพยายามให้มันเกิดขึ้นได้ คือต้องฝึกปฏิบัติให้เกิดพละอินทรีย์ เช่นเดียวกับการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มันต้องออกแรงนั่นเอง เราต้องขัดเกลาอาการยึดมั่นในตน ปกติเรามักจะบอกว่ามันเป็นความหลง แต่ที่ถูกต้องเรียกว่าการยึดมั่น เราจึงต้องขัดเกลามัน ขูดมัน ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการเข้าใจเท่านั้นแต่ต้องออกแรงด้วย.......... โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 30 พฤษภาคม 2555 เวลา:5:31:43 น.
|
ไพรสณฑ์
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?] การปฏิบัติธรรม... คือการมีสติรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตคือความเป็นธรรมชาตินั่นเอง การมองชีวิตในมุมกลับจึงเห็นความจริงว่ามันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาตินั่นเองที่เป็นอยู่คือการยึดมั่น... ...การเห็นความจริงนี้จึงเป็นการเห็น"สัจจะธรรม"จึงพบคำตอบเกิดขึ้นว่าพวกเรามาทำธุระอะไรกันอยู่บนโลกใบนี้. แท้จริงมันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น...คือความจริงที่จะต้องทำความเข้าใจ เพราะการเข้าใจว่าเป็น "ตัวเรา"มันเป็นการหลงอยู่ในการปรุงแต่งของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น. ...การเข้าใจมันตามจริง.... จึงเห็นความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น..."ตัวเรา"เป็นเพียงการสมมุติของธรรมชาติเท่านั้น จึง เกิดความวิเวก วังเวง เพราะมันเป็นความจริงนั่นเอง
Friends Blog
Link |
***เรามักจะหวังผลทางธรรมะ คือการเกิดเป็นความเข้าใจ แต่เราอาจจะมองข้ามไปว่าการเข้าใจได้นั้นมันมีลำดับขั้น เช่นถ้าเราต้องการมีความรู้สึกที่ตื่นขึ้นได้จริง เราต้องสร้างความมีสติรู้สึกตัวให้เกิดขึ้นก่อน มันจะพัฒนาไปสู่ความรู้สึกที่ตื่นได้ คือการมีความรู้สึกตัวต่อเนื่องอยู่นั่นเอง.
..........หรืออาจจะต้องท้าวความไปก่อนหน้านั่นอีกก็ได้ ว่าทำไมเราจึงมาสนใจเรื่องนี้ ความสนใจนี้จึงจะทำให้เกิดความพยายามที่จะออกจากกองทุกข์
ความจริงอาจจะมีหลายประเด็นที่จะต้องท้าวความ ให้เกิดเป็นความเข้าใจก่อน เพื่อการไม่ติดอยู่ในความเห็นที่ไม่ลงตัว เช่นเดียวกับการที่เราอยากเป็นหมอ หรือวิศกร ถ้าไม่รู้อะไรเลยก็ต้องเริ่มตั้งแต่การหัดเขียน หัดอ่าน นั่นเอง.........