พฤศจิกายน 2560

 
 
 
1
2
3
4
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
การ “สมมุติ” กับ “ความจริงทางธรรมชาติ


มารู้จักการ “สมมุติ” กับ “ความจริงทางธรรมชาติ”

          จากปรัชญาทางศาสนาพุทธที่กล่าวว่า “ตัวเรา” คือการรวมกันอยู่ของ “ธาตุทั้งสี่” ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “อนุภาค” หรือ “พลังงาน”ที่ก่อตัวเป็น “มวลสาร” นั่นคือการให้คำาจำากัดวามที่แสดงความเป็นจริงทางธรรมชาติ ดังนั้น “ตัวเรา” จึงเป็นการรวมกันอยู่ของธาตุสี่ ,อนุภาค หรือ พลังงาน นั่นเอง ไม่เว้นแม้แต่ความรู้สึกของเราที่ก่อตัวเกิดเป็นอาการต่างๆอยู่. 

          เมื่อพิจารณาการเกิดเป็นรูป(ร่าง) ตัวเรา คือ กองกระดูก , เลือด , เนื้อ , น้ำเลือด , นำาเหลือง , และความรู้สึกที่สมมุตเป็นตัวเองอยู่เท่านั้น มีกายและความรู้สึก (ธาตุรู้) คือสมบัติที่แท้จริงคือเป็นธรรมชาติ การปรุงแต่งทางความรู้สึกทำให้มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้น ความรู้สึกของเราสมมุติสิ่งต่างๆขึ้นมา โดยที่มันไม่มีจริงในทางธรรมชาติจึงเรียกว่าเป็นการสมมุติ คือการเกิดภาพหรือเกิดอาการทางความรู้สึก จึงทำให้มีเรา , มีเขา , มีสิ่งนั้น,สิ่งนี้เกิดขึ้น มันเป็นการสมมุติขึ้นมาทางความรู้สึกนั่นเอง พิจารณาให้ถ่องแท้จึงจะเห็นได้ว่าเราหลงสมมุติทางความรู้สึกของตนเองอยู่ ถ้าจะให้เข้าใจได้ ต้องไล่เรียงมาจากสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน เช่น การเป็นสามี-ภรรยา , บุตร , พ่อ -แม่, พี่ , น้อง , ญาติ- มิตร ไม่มีอยู่จริงในธรรมชาติเพราะมันเป็นการสมมุติทางความรู้สึก ดังนั้นเราจึงต้องแยกให้ออกระหว่างการเป็นสิ่งสมมุติ กับความจริงทางธรรมชาติ ดังนั้นตัวเราก็เป็นการสมมุติทางความรู้สึกเช่นกันเพราะแท้จริงมันคือธาตุสี่ อนุภาค หรือพลังงานนั่นเอง.และการปรุงแต่งทางความรู้สึกทำให้เกิดภาพสมมุติต่างๆได้อีกมากมาย นั่นคือโลกของการปรุงแต่งทางความรู้สึกจึงทำให้มีตัวตน,มีภพหรือ มิติ เกิดขึ้น   การเข้าใจความเป็นธรรมชาติของ "ตัวเรา"   ต้องคอยสังเกตุอาการของจิตอยูเสมอ   คือเรียกรู้จากจิตของตนเองนั่นเอง  ซึ่งมันเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา   ไม่อยู่นิ่งนั่นคือธรรมชาติของจิต  นั่นเอง.

****แต่ถ้าเราไม่ปรุงแต่งทางความรู้สึก เราจึงจะเห็นภาพมายาที่เกิดจากความรู้สึกของเราได้ นั่นจึงเป็นที่มาของการเรียนรู้ ความเป็นธรรมชาติของตัวเราเอง จึงจะเข้าใจ “การสมมุติ กับ ความจริงทางธรรมชาติได้”   ****
..............................................................................................................................................

           ****ดูกรภิกษุทั้งหลาย ... เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่ พยับแดดย่อมเต้นระยิบระยับในเวลาเที่ยง บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่งพิจารณา พยับแดดนั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่งพิจารณาอยู่โดยแยบคาย พยับแดดนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า ฯลฯ
สาระในพยับแดดนั้นพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด. สัญญา อย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล.
...........................................................................



Create Date : 05 พฤศจิกายน 2560
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2560 7:41:55 น.
Counter : 939 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ไพรสณฑ์
Location :
อำนาจเจริญ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]



การปฏิบัติธรรม...
คือการมีสติรู้ความจริงของชีวิต

ชีวิตคือความเป็นธรรมชาตินั่นเอง
การมองชีวิตในมุมกลับจึงเห็นความจริงว่ามันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาตินั่นเองที่เป็นอยู่คือการยึดมั่น...

...การเห็นความจริงนี้จึงเป็นการเห็น"สัจจะธรรม"จึงพบคำตอบเกิดขึ้นว่าพวกเรามาทำธุระอะไรกันอยู่บนโลกใบนี้. แท้จริงมันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น...คือความจริงที่จะต้องทำความเข้าใจ เพราะการเข้าใจว่าเป็น "ตัวเรา"มันเป็นการหลงอยู่ในการปรุงแต่งของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น.


...การเข้าใจมันตามจริง.... จึงเห็นความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น..."ตัวเรา"เป็นเพียงการสมมุติของธรรมชาติเท่านั้น จึง เกิดความวิเวก วังเวง เพราะมันเป็นความจริงนั่นเอง
New Comments