สำหรับเรื่องราวของชาวเคิร์ดในหนังมีให้รับรู้พอสมควร มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป เช่นในหนังอิหร่านเรื่อง The Wind Will Carry Us (1999) อับบาส เคียรอสตามี ผู้กำกับฯรุ่นใหญ่พาตัวละครและผู้ชมไปหยุดนิ่งยังหมู่บ้านชาวเคิร์ด เพื่อสัมผัสกับวิถีชีวิตของคนชายขอบชาติพันธุ์นี้
Crossing the Bridge : The Music of Istanbul (2005) หนังสารคดีว่าด้วยความหลากหลายของดนตรีแห่งเมืองอิสตันบุล ตุรกี โดย ฟาติห์ เอคิน ผู้กำกับฯชาวเยอรมันเชื้อสายตุรกี สีสัน-ความครึกครื้นรื่นเริงในจังหวะและท่วงทำนองกลับกลายหม่นเศร้าลงทันทีเมื่อหนังพาไปสัมผัสกับเสียงร้องโหยไห้ของนักร้องสาวชาวเคิร์ด
แง่มุมเรื่องราวของชาวเคิร์ดในหนังเหล่านี้เดินทางสู่การรับรู้ของผู้ชมมาแล้วมากมาย แม้แต่ในประเทศไทยซึ่ง Crossing the Bridge กับ Vodka Lemon เคยมาฉายในบางกอกฟิล์ม แต่ถ้ากล่าวเจาะจงถึงหนังว่าด้วยชาวเคิร์ดที่สร้างโดยชาวเคิร์ดเอง และที่สำคัญคือใช้ภาษาคุรดิชหรือภาษาเคิร์ดเป็นหลัก หนังเรื่องแรกที่ถูกบันทึกไว้คือ A Song for Beko (1992) โดย นิซาเมตติน อาริค ชาวตุรกี-เคิร์ดที่เคยติดคุกในข้อหาใช้ภาษาเคิร์ดในที่สาธารณะ ก่อนจะเนรเทศตนเองมาอยู่ในเยอรมนี
ส่วนหนังคุรดิชที่โด่งดังและได้รับเสียงชื่นชมในวงกว้างเป็นเรื่องแรกน่าจะเป็น A Time for Drunken Horses (2000) โดยนักทำหนังชาวอิหร่าน-เคิร์ด ชื่อ บาห์มัน กอบาดี (Bahman Ghobadi)
กอบาดีเกิดในบาเนห์ เขตพื้นที่ของชาวเคิร์ดทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่าน เขาเรียนภาพยนตร์ในเตหะราน ทำหนังสั้นระดับรางวัลหลายเรื่อง ก่อนจะได้โอกาสขอเป็นผู้ช่วยให้อับบาส เคียรอสตามี เมื่อเคียรอสตามียกกองมาถ่ายหนังเรื่อง The Wind Will Carry Us ในเคอร์ดิสถาน รวมทั้งได้แสดงบทสำคัญในเรื่อง The Blackboard ของ โมห์เซน มัคห์มัลบาฟ ผู้กำกับฯชั้นนำของอิหร่านอีกคนหนึ่ง ซึ่งถ่ายทำในเคอร์ดิสถานเช่นกัน
A Time for Drunken Horses เป็นผลงานหนังยาวเรื่องแรกของกอบาดี ส่วนหนังของเขาที่นักดูหนังบ้านเราน่าจะรู้จักมากที่สุดคือ Turtles Can Fly (2004) ซึ่งเคยเข้าฉายและยังหาซื้อได้ทั่วไปในรูปแบบดีวีดี
A Time for Drunken Horses เล่าถึงครอบครัวชาวเคิร์ดในหมู่บ้านบริเวณพรมแดนอิหร่าน-อิรักที่ปกคลุมด้วยหิมะ ผ่านคำบอกเล่าของเด็กหญิงอายุราว 10 ขวบ ชื่ออามีเนห์ เธอเล่าว่าเธอและอายุบ พี่ชาย รวมทั้งเด็กๆ ชาวเคิร์ดมักจะเดินทางมายังเขตเมืองในอิหร่านเพื่อรับจ้างทำงานจิปาถะ ขณะที่พ่อเป็นคนลอบขนของเถื่อนระหว่างพรมแดนอิหร่าน-อิรัก อามีเนห์เป็นห่วงพ่อเพราะคนขนของเถื่อนในหมู่บ้านเหยียบกับระเบิดตายไปแล้วหลายคน แม่ของอามีเนห์เสียชีวิตหลังจากคลอดน้องคนสุดท้อง เธอยังมีพี่สาวอีกคนชื่อ โรจิน และพี่ชายคนโตชื่อ มาดี ซึ่งป่วยเป็นโรคร้าย มีร่างกายและพฤติกรรมเหมือนเด็กเล็ก และคงอยู่ได้อีกไม่นานถ้าไม่ได้รับการผ่าตัด
รูปแบบการนำเสนอของ A Time for Drunken Horses ไม่แตกต่างจากหนังเรียลิสม์ของผู้กำกับฯอิหร่านคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ไม่ซ้ำเติมเรื่องราวที่ค่อนข้างกดดันบีบคั้นให้หนักไปกว่าเดิม ไม่ปรุงแต่งฉากและองค์ประกอบต่างๆ ใช้นักแสดงสมัครเล่นจากคนในชุมชน ทั้งนี้ เพื่อให้หนังดูสมจริงและใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด
ฉากจบของ A Time for Drunken Horses จึงถูกเลือกให้เป็นแบบปลายเปิด ไม่มีข้อสรุปให้ผู้ชมว่าตัวละครจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็ตรงกับความจริงที่ว่าเรื่องราวชะตากรรมของชาวเคิร์ดยังคงมีอยู่...และยังดำเนินต่อไป
พื้นที่ปัญหาในกรณีนี้ก็คือฉากหลังในเรื่อง Turtles Can Fly (มีขายที่ร้านแมงป่อง) ช่วงต้นของหนังจึงมีฉากที่ตัวละครตะโกนด่าทหารตุรกีที่ยืนเฝ้ายามอยู่ตรงพรมแดน เพียงแต่ใน Turtles Can Fly เป็นเรื่องของชาวอิรัก-เคิร์ดที่หนีภัยซัดดัมมาอยู่ที่นี่ ส่วนเหตุการณ์ในข่าวเป็นกบฏชาวเคิร์ดในตุรกีที่ก่อตั้งพรรคแรงงานแห่งเคอร์ดิสถาน (พีเคเค) และใช้พรมแดนตอนเหนือของอิรักเป็นฐานที่มั่น สำหรับฉากหลังของ A Time for Drunken Horses เป็นพรมแดนอิรัก-อิหร่าน นั่นคืออยู่ฝั่งตะวันออกของอิรัก
ไฮเนอร์ ซาลีม (Hiner Saleem) ผู้กำกับฯชาวอิรัก-เคิร์ดอพยพ เคยกล่าวว่า "I was born an adult, because we Kurds didn't have a childhood."
หนังของกอบาดีทั้ง A Time for Drunken Horses และ Turtles Can Fly ยืนยันคำพูดของซาลีมได้อย่างดี