Vodka Lemon เมียงมองหนังอาร์เมเนีย



Vodka Lemon
เมียงมองหนังอาร์เมเนีย


พล พะยาบ
คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 5 กุมภาพันธ์ 2549


เคยเขียนถึงหนังจากชาติที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้นั่นคือ Angel on the Right จากทาจิกิสถาน

คราวนี้เขยิบจากทาจิกิสถานในเอเชียกลางมาทางตะวันตกสู่ประเทศอาร์เมเนีย ซึ่งอยู่ในเขตเทือกเขาทรานส์คอเคซัส ร่วมกับอีกสองประเทศคือ จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจาน

หนังอาร์เมเนีย...น่าสนใจไม่น้อยใช่ไหม?

ก่อนอื่นมารู้จักอาร์เมเนียกันสักนิด...อาร์เมเนียประกาศเอกราชจากโซเวียตเมื่อวันที่ 21 กันยายน 1991 มีพรมแดนติดกับจอร์เจีย อาเซอร์ไบจาน อิหร่าน และตุรกี ไม่มีทางออกทะเล เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรราว 4 ล้านคนเท่านั้น กว่า 95% เป็นชาวอาร์เมเนียน นอกนั้นเป็นชาวเคิร์ด ยิว อัสซีเรียน และชาวกรีก นับถือศาสนาคริสต์นิกายอาร์เมเนียออร์ทอดอกซ์

ความเป็นมา-เป็นไปของอาร์เมเนียนับว่าลำบากรันทดพอสมควร ต้องตกเป็นสมบัติผลัดกันชมของอาณาจักรใหญ่ๆ แถบนั้นโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นอิหร่าน โรมัน ไบแซนไทน์ อาหรับ มองโกล และเปอร์เซีย จนอยู่ในสภาพง่อยเปลี้ยเสียขา กระทั่งถูกแบ่งเค้กโดยอาณาจักรออตโตมานและเปอร์เซีย สุดท้ายถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ทั้งด้านการปกครองและวัฒนธรรม

เคราะห์กรรมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของอาร์เมเนียมีอยู่ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือถูกพวกเติร์กสังหารหมู่กว่า 1.5 ล้านคนระหว่างปี 1915-1922 เพื่อขจัดเสี้ยนหนามในการปกครอง อีกครั้งเป็นแผ่นดินไหวใหญ่ปี 1988 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 45,000 คน

นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตการณ์สงครามแย่งดินแดนระหว่างชาวคริสต์และชาวมุสลิมอาเซอร์ไบจานที่นากอร์โน-คาราบาฮ์ยืดเยื้อนานหลายปี

เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดนี้เป็นพื้นหลังสำคัญให้เราดูหนังเรื่อง Vodka Lemon(2003) จากอาร์เมเนียในแง่มุมที่ลึกยิ่งขึ้น

หนังดึงดูดความสนใจตั้งแต่เริ่มต้นด้วยภาพน่าฉงนภาพเดียวกับที่เห็นบนใบปิด เตียงเหล็กคนไข้วิ่งมาบนถนนหิมะ ภาพต่อมาจึงรู้ว่าเตียงถูกลากโดยรถตู้มายังสุสาน คนที่อยู่บนเตียงเป็นนักดนตรีบรรเลงในงานศพ ใกล้ๆ กันนั้น ฮาโม ชายสูงวัย อดีตทหารในกองทัพแดงของโซเวียต นั่งอยู่หน้าหลุมศพภรรยาของตนเอง

นี่คือกิจวัตรประจำวันของฮาโม เช่นเดียวกับนิน่า หญิงม่ายผู้สูญเสียสามีไปในสงครามก็เดินทางมาที่สุสานทุกวัน


เรื่องราวต่อมาทำให้ทราบว่าฮาโมอาศัยอยู่อย่างข้นแค้นตามลำพัง ลูกชายคนหนึ่งย้ายไปอยู่ที่ซามาร์คันด์ ในอุซเบกิสถาน ส่วนอีกคนไปไกลถึงฝรั่งเศส ฮาโมเฝ้ารอการติดต่อกลับมาจากฝรั่งเศสเป็นพิเศษ เพราะหวังว่าลูกจะส่งเงินมาให้บ้าง ขณะที่ลูกอีกคนที่ยังอยู่ละแวกนั้นก็เป็นพวกไม่เอาถ่าน เอาแต่เมาไปวันๆ

ความยากจนทำให้ฮาโมต้องทยอยนำข้าวของเครื่องใช้ในบ้านไปขาย แม้กระทั่งเครื่องแบบทหารที่เขาภาคภูมิใจ

ขณะที่นิน่า ชีวิตของเธอไม่ต่างจากฮาโมเท่าไรนัก เธอทำงานเป็นคนขายเครื่องดื่มวอดก้า เลมอน ในร้านริมถนน ฐานะขัดสนจนต้องขอติดค้างค่ารถโดยสาร ลูกคนหนึ่งแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่คาซักสถาน ส่วนลูกสาวอีกคนทำงานตอนกลางคืนให้แก่มี “ผู้อุปการะพิเศษ”

สภาพชีวิตที่คลับคล้ายของฮาโมและนิน่า ชาย-หญิงต่างวัยที่เดินทางร่วมกันทุกวัน จึงมีเส้นทางมาบรรจบพบกันในที่สุด

เป็นเรื่องงดงามที่เกิดขึ้นท่ามกลางความแร้นแค้นยากลำบากและความเหน็บหนาวขาวโพลนของหิมะ

หนังมาในแนวทางคอมมิดี้ มีแง่มุมให้อมยิ้มเป็นระยะ แต่ภายใต้รอยยิ้มนั้นมีเรื่องราวให้ขบคิดตีความตลอดเวลา เช่นฉากที่ฮาโมกับเพื่อนนั่งคุยกันริมถนนหลังจากมอเตอร์ไซค์เสีย ฮาโมถามขึ้นว่าคิดถึงสมัยรัสเซียยังอยู่ที่นี่หรือเปล่า เพื่อนตอบว่ามีรัสเซีย แต่ไม่มีเสรีภาพ แล้วจู่ๆ มอเตอร์ไซค์เจ้ากรรมก็แล่นผ่านหน้าไปเองจนต้องวิ่งไล่ตาม

เสรีภาพบางทีก็ต้องวิ่งไล่ตามกันเหนื่อยเหมือนกัน...


หรือฉากที่ดิโลวาน ลูกชายของฮาโมซื้อวอดก้า เลมอน เขาถามนิน่าว่าทำไมเรียกเลมอน ทั้งที่รสเหมือนอัลมอนด์ นิน่าตอบว่ามันเป็นภาษาอาร์เมเนีย

...ความเข้าใจในตัวเองคือช่องว่างที่เกิดขึ้นที่นี่ หลังจากโดนคนต่างชาติครอบงำมาโดยตลอด

ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นคำบอกเล่าว่าคนในท้องถิ่นย้ายไปอยู่ต่างเมือง นอกจากลูกๆ ของฮาโม ของเพื่อนฮาโม และของนิน่าที่ย้ายไปอยู่ต่างแดนแล้ว ยังมีคนเดินทางผ่านที่พลาดตกรถโดยสารบอกว่ากำลังไปอุซเบกิสถาน

กระทั่งผู้เขียนมองว่าสารเกี่ยวกับการทิ้งถิ่นฐานของชาวอาร์เมนียดูจะเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้สร้างต้องการบอกเล่าแก่ผู้ชมทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนจบ หนังบอกกับเราอีกประการว่าเราควรจะมองโลกอย่างมีความหวัง เช่นเดียวกันหิมะขาวโพลนที่ค่อยๆ ละลายลงทุกวัน ผลิเผยความมีชีวิตชีวาให้เราได้สัมผัส

ประเด็นเล็กๆ อีกอย่างที่น่าสนใจคือ ผู้กำกับฯ ไฮเนอร์ ชาลีม เป็นชาวอิรัก-เคิร์ดอพยพ เคิร์ดคือชนกลุ่มน้อยที่ต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากอิรักเพื่อก่อตั้งรัฐเคอร์ดิสถาน แต่โดนอิรักปราบปรามอย่างเหี้ยมโหด

ในฉากที่ดิโลวานเปิดจดหมายจากฝรั่งเศสออกอ่าน กระดาษห่อจดหมายเผยให้เห็นตัวหนังสือขนาดใหญ่เขียนว่า “Kurdistan”

จะแปลว่าอย่างไร...ถ้าไม่ใช่นายชาลีมแอบใช้พื้นที่สื่อ(ของตนเอง) ประชาสัมพันธ์แคมเปญเรียกร้องเสรีภาพกับชาวโลก(หนังได้ฉายหลายประเทศ รวมทั้งในเทศกาลบางกอก อินเตอร์ฯ ฟิล์ม เมื่อ 2 ปีก่อน)

นับว่าร้ายไม่ใช่เล่นเลยหมอนี่!!




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2549
7 comments
Last Update : 21 สิงหาคม 2549 2:30:00 น.
Counter : 3158 Pageviews.

 

มาแปะโป้งไว้ก่อนค่ะ

แล้วจะมาอ่าน

ปล. แป๊บเดียว สนุกครบทุกลูกเล่นเลยนะคะ คริคริ

 

โดย: ทะเลอาบแสงจันทร์ 21 พฤษภาคม 2549 1:04:14 น.  

 

หนังน่าสนใจค่ะ
คงต้องหามาดูมั่งละ
...

 

โดย: octavio 21 พฤษภาคม 2549 16:29:15 น.  

 

 

โดย: สาวอึ่ม IP: 222.123.104.57 8 มีนาคม 2551 23:37:54 น.  

 

ดีมาก

 

โดย: ฟ้า IP: 118.173.52.101 9 มีนาคม 2551 23:35:14 น.  

 

 

โดย: anna IP: 118.172.65.176 20 มีนาคม 2551 9:22:22 น.  

 

 

โดย: สื IP: 124.120.52.30 18 เมษายน 2551 11:07:46 น.  

 

เคยไปเที่ยวประเทศนี้นะ ความเป็นอยู่ของเขาดูเหมือนสมัยก่อนบ้านเรา แต่การพัฒนาการศึกษา เขาก็ดีนะ เด็กๆ สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีที่เดียว ถ้ามีโอกาสก็ว่าจะกลับไปเที่ยวอีกสักครังหนึ่ง

 

โดย: ok IP: 119.42.67.116 31 ตุลาคม 2551 19:26:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แค่เพียงรู้สึกสุขใจ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน
ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549

..............................








พญาอินทรี




ศราทร @ wordpress
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2549
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 พฤษภาคม 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แค่เพียงรู้สึกสุขใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.