Lights in the Dusk โลกย้อนเวลาของเคาริสมากิ กับเรื่องเล่าคนชายขอบ
Lights in the Dusk โลกย้อนเวลาของเคาริสมากิ กับเรื่องเล่าคนชายขอบพล พะยาบ คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 7 และ 14 ตุลาคม 2550 โคยสติเนน ชายร่างเล็กผู้เงียบขรึม ทำงานเป็นพนักงานของบริษัทรักษาความปลอดภัยยักษ์ใหญ่ กิจวัตรประจำวันคือเดินตรวจตรายามค่ำคืน และตรวจสอบระบบรักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ เขาอาศัยในห้องพักตามลำพัง ไม่มีเพื่อน นอกจากเพื่อนร่วมงานที่ชอบมองเขาเป็นตัวตลก เขาไม่รู้วิธีหาผู้หญิงมาเคียงข้าง จะมีก็แต่คนขายอาหารในเพิงข้างถนนซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาพูดคุยด้วย เขามีแผนทำธุรกิจ แต่ไม่มีทางที่ธนาคารจะปล่อยเงินกู้ให้คนอย่างเขา ดูเหมือนชีวิตของโคยสติเนนจะไม่มีความดีงามเลยสักอย่าง นอกจากจิตใจของเขาเอง วันหนึ่งโดยไม่คาดคิด มีหญิงสาวเข้ามาพูดคุยกับเขา เธอเปรียบเหมือนแสงสว่างยามค่ำคืนที่เขารอคอยมานาน ความเหงาเปิดพื้นที่ว่างให้โคยสติเนนรับหญิงสาวเข้ามาอย่างเต็มใจ โดยหารู้ไม่ว่าหญิงสาวเป็นนางนกต่อให้กับแก๊งมิจฉาชีพที่วางแผนปล้นร้านอัญมณี เพื่อให้สามารถผ่านระบบรักษาความปลอดภัยได้โดยสะดวก ดูเหมือนชีวิตของโคยสติเนนจะไม่มีความดีงามเลยจริงๆ... Lights in the Dusk หรือชื่อดั้งเดิมว่า Laitakaupungin valot เป็นผลงานล่าสุดของ อากิ เคาริสมากิ (Aki Kaurismaki) ผู้กำกับฯที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติสูงที่สุดของฟินแลนด์ นับแต่ผลงานเรื่อง Leningrad Cowboys Go America(1989) ต่อด้วย Drifting Clouds(Kauas pilvet karkaavat - 1996) และ The Man Without a Past(Mies vailla menneisyytta - 2002) ซึ่งได้รางวัลสูงสุดลำดับสองที่เมืองคานส์ หนังถูกจัดเป็นภาคสุดท้ายของ ไตรภาคคนแพ้ หรือ Loser Trilogy ตามหลัง Drifting Clouds ซึ่งว่าด้วยคนตกงาน และ The Man Without a Past ว่าด้วยคนไร้บ้าน ส่วน Lights in the Dusk เป็นเรื่องของความโดดเดี่ยว ก่อนหน้านี้งานของเคาริสมากิเคยถูกจัดกลุ่มเป็นไตรภาคมาแล้วชุดหนึ่ง เรียกว่า ไตรภาคชนชั้นแรงงาน หรือ Working-class Trilogy กับเรื่อง Shadows in Paradise(1986) เกี่ยวกับคนเก็บขยะ Ariel (1988) คนงานเหมือง และ The Match Factory Girl(1990) สาวโรงงาน แม้จะแยกกันเป็น 2 ไตรภาค แต่หากมองภาพรวมของหนังทั้ง 6 เรื่อง ไม่ยากที่จะเห็นจุดร่วมอยู่พอสมควร โดยเฉพาะตัวละครซึ่งล้วนแต่เป็นคนชั้นล่าง หรือคนชายขอบในสังคมสมัยใหม่ นอกจากจะมีจุดร่วมเรื่องฉากหลังของตัวละครแล้ว หนังของเคาริสมากิมีความโดดเด่นเป็นพิเศษตรงบุคลิกของหนังที่เรียบๆ เรื่อยๆ ตัวละครไร้อารมณ์ สอดแทรกตลกร้าย องค์ประกอบงานสร้างต่างๆ ทั้งงานกำกับศิลป์ดูย้อนยุค ใช้สิ่งของสีสดตัดกับการถ่ายภาพโทนมืด ใช้แสงน้อย องค์ประกอบภาพเรียบง่าย ใช้ช็อตพื้นฐาน ไม่หวือหวา การตัดต่อเชื่องช้า ไปจนถึงเพลงประกอบซึ่งมักจะเป็นร็อคแอนด์โรลยุค 60 หรือก่อนหน้านั้น ที่สำคัญ แม้เนื้อหาจะลำบากยากแค้นทุกข์ตรมเพียงใด หนังของเคาริสมากิยังส่งมอบแง่มุมการมองโลกในแง่ดีให้ผู้ชมเสมอ ความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่ปรากฏในหนังทุกเรื่องดังกล่าว ทำให้ไม่อาจแยกตัวเคาริสมากิกับผลงานของเขาได้ พูดให้ชัดขึ้นได้ว่าถ้าต้องการรู้จักงานของเคาริสมากิ ควรทำความรู้จักเคาริสมากิเสียก่อน นอกจากจะมีชื่อเสียงในฐานะนักทำหนังผู้มีความโดดเด่นแล้ว ชื่อเสียงอีกด้านหนึ่งที่มาพร้อมกันคือความเป็นคนตรง กล้าวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะการแสดงออกในเชิงต่อต้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ตัวอย่างวีรกรรมของเคาริสมากิเช่นเมื่อปี 2006 ทันทีที่รู้ข่าวว่า Lights in the Dusk ได้รับเลือกเป็นตัวแทนฟินแลนด์ชิงรางวัลออสการ์หนังภาษาต่างประเทศ เขารีบต่อสายไปยังฝ่ายคัดเลือกว่าตนเองไม่อนุญาต แม้จะระงับการส่งชื่อไม่ทัน แต่ทางออสการ์ก็ยอมถอนหนังออกจากโผชิงรางวัลตามคำขอของผู้กำกับฯ หรือเมื่อปี 2003 คราวที่ The Man Without a Past เข้ารอบสุดท้ายออสการ์สาขาเดียวกัน เคาริสมากิปฏิเสธไม่ไปร่วมงานเลี้ยง และประกาศไว้ล่วงหน้าว่าถ้าได้รางวัลก็จะไม่ไปรับ วีรกรรมที่โด่งดังที่สุดเกิดขึ้นในปีเดียวกันนั้นเอง ขณะกำลังเตรียมตัวเดินทางไปสหรัฐตามคำเชิญของเทศกาลภาพยนตร์นิวยอร์ค เขาได้ข่าวว่า อับบาส เคียรอสตามี เพื่อนผู้กำกับฯซึ่งได้รับเชิญไปร่วมในงานเดียวกัน ถูกปฏิเสธวีซ่าเข้าสหรัฐเนื่องจากเป็นคนอิหร่าน เคาริสมากิยกเลิกการเดินทางทันที พร้อมกับกล่าวประณามสหรัฐเสียยกใหญ่ ถ้ารัฐบาลสหรัฐไม่ต้องการคนอิหร่าน พวกเขาคงไม่เห็นประโยชน์อะไรจากคนฟินแลนด์ เพราะเราไม่มีน้ำมัน... ส่วนหนึ่งของถ้อยแถลงเผ็ดร้อนของเคาริสมากิ ครั้งหนึ่งเคาริสมากิเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวเนื่องในประเด็นนี้ว่าเขาไม่ได้จงเกลียดจงชังสหรัฐ อันที่จริงเขาชอบสหรัฐ แต่เป็นสหรัฐยุครุสเวลท์(แฟรงคลิน ดี. รุสเวลท์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ปี 1933-1945) ไม่ใช่ยุค ตัวตลกบุช ที่มี ลูกเสือแบลร์ เคียงข้าง ด้านบุคลิกนิสัยและไลฟ์สไตล์ส่วนตัว เคาริสมากิเคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 2003 ว่าเขาไม่ดูหนังใหม่ๆ มานานมากแล้ว หนังใหม่เรื่องสุดท้ายที่ได้ดูคือ Riff-Raff (1990) ของ เคน โลช ผู้กำกับฯชาวอังกฤษที่มักจะทำหนังเกี่ยวกับคนชั้นล่างเหมือนกับเคาริสมากิ แต่ต่างสไตล์กันโดยสิ้นเชิง เขาไม่ชอบฮอลลีวู้ดแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ชอบฮอลลีวู้ดในอดีต มีความสุขกับการดูหนังเก่า เช่นหนังของลอเรลกับฮาร์ดี้ คู่หูนักแสดงตลก และบอกว่านิยายที่มีตัวละครเป็นคนหนุ่มสาวสมัยใหม่เรื่อง High Fidelity ของ นิค ฮอร์นบี้ (เคยสร้างเป็นหนังปี 2000 แสดงโดย จอห์น คูแซ็ก) เป็นหนังสือที่น่าเบื่อที่สุดเท่าที่เคยอ่าน นอกจากนี้ เขายังสะสมรถเก่าไว้หลายคัน คันที่เก่าที่สุดคือเชฟโรเล็ตลีมูซีนปี 1967 จากความนิยมชมชอบเรื่องราวในอดีตด้วยมองว่ามีคุณค่ากว่าสิ่งที่เป็นไปในปัจจุบัน หนังทุกเรื่องของเคาริสมากิจึงสะท้อนตัวตนด้านนี้ออกมาอย่างเด่นชัด ลักษณะย้อนยุคในหนังเห็นได้จากสิ่งของเครื่องใช้ที่ไม่ใช่แบบสมัยใหม่ รวมทั้งรถยนต์ซึ่งตัวละครใช้จะเป็นรถรุ่นเก่าเสมอ การถ่ายภาพและการเซ็ตฉากเหมือนกำลังดูละครโทรทัศน์ยุค 50 บทสนทนาเชยๆ ดนตรีประกอบรวมถึงเพลงและดนตรีที่ปรากฏในหนังส่วนใหญ่เป็นเพลงรุ่นเก่า ตั้งแต่ร็อคแอนด์โรลยุค 50 ไปจนถึงเพลงสะวิงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีโทรศัพท์มือถือให้เห็นในหนังของเคาริสมากิ ทั้งที่ฟินแลนด์เป็นแหล่งนวัตกรรมการสื่อสาร และบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดของประเทศคือ โนเกีย ใน Drifting Clouds ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกของ ไตรภาคคนแพ้ เคาริสมากิให้ตัวละครสามี-ภรรยาต่างเป็นส่วนประกอบของผลผลิตพ้นสมัย โดยภรรยาเป็นหัวหน้าบริกรของภัตตาคารยุคสงครามโลกและกำลังถูกแทนที่ด้วยเครือข่ายร้านอาหารขนาดใหญ่ ฝ่ายสามีเป็นคนขับรถรางซึ่งหลงเหลือในฟินแลนด์แค่ที่เฮลซิงกิแห่งเดียว และถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายรถรางไฟฟ้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เขาถูกให้ออกจากงานเพราะรถรางต้องลดเส้นทาง เนื่องจากชาวเฮลซิงกิเลือกเดินทางด้วยขนส่งมวลชนทันสมัยอย่างรถไฟและรถไฟใต้ดินมากกว่า สำหรับเนื้อหาเรื่องราวแบบเมโลดราม่าว่าด้วยความยากลำบากและการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ก่อนลงท้ายด้วยความสุขเปี่ยมหวัง ชวนให้นึกถึงหนังมองโลกในแง่ดีของผู้กำกับฯนักอุดมคติยุคทศวรรษ 30-40 อย่าง แฟรงค์ คาปรา เช่นเรื่อง Its a Wonderful Life(1946) ใน The Man Without a Past หนังลำดับต่อมา ชุมชนคนยากซึ่งตัวละครความจำเสื่อมหลงมาอาศัยอยู่ มีการพึ่งพาและทำกิจกรรมร่วมกันราวกับชุมชนก่อนเก่าซึ่งหลงเหลือให้เห็นในยุคบุปผาชน ส่วนผู้มาเยือนนิรนามผู้มอบสิ่งดีๆ ให้แก่ชุมชนก็คลับคล้ายพระเอกขี่ม้าขาวในหนังตะวันตกหลายต่อหลายเรื่อง องค์ประกอบเก่าๆ เชยๆ มากมายเหล่านี้ เมื่อถ่ายทอดผ่านภาพในหนังซึ่งส่วนใหญ่ถ่ายทำในฉากที่เซ็ตไว้ ไม่มีฉากภายนอกให้สังเกตยวดยานพาหนะหรือตึกรามบ้านช่องได้มากนัก อาจชวนให้สงสัยว่าแท้แล้วหนังไม่ได้ใช้ฉากหลังเป็นเวลาปัจจุบัน แต่ย้อนไปสัก 10-20 ปี หรือไกลกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางองค์ประกอบย้อนยุคมากมาย ยังมีองค์ประกอบปลีกย่อยที่เคาริสมากิตั้งใจใส่ไว้เพื่อบอกว่าหนังดำเนินเรื่องราวในเวลาปัจจุบัน ไม่ได้ย้อนยุคแต่อย่างใด เช่นใน Drifting Clouds หนังปี 1996 มีเสียงจากข่าวโทรทัศน์เกี่ยวกับพายุไต้ฝุ่นแอนเจล่าถล่มฟิลิปปินส์ช่วงปี 1995 ขณะที่ข่าวต่อมาเกี่ยวกับการประหารชีวิต เคน ซาโร-วีว่า นักเขียน-นักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมชาวไนจีเรีย ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1995 เช่นกัน ส่วนเนื้อหาว่าด้วยคนตกงานก็ตรงกับภาวะการว่างงานที่พุ่งขึ้นสูงสุดในปี 1994 หลังจากฟินแลนด์ประสบวิกฤตการเงินปี 1991 หรือช่วงท้ายของ The Man Without a Past หนังปี 2002 ชายผู้ล้มเหลวในธุรกิจถือปืนบุกปล้นเงินจากธนาคารท้องถิ่นที่กำลังปิดตัว อาจเป็นความต้องการของเคาริสมากิ ผู้ไม่ปลื้มกับความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน เพื่อสื่อถึงการที่ฟินแลนด์ยกเลิกเงินสกุลฟินมาร์ก แล้วใช้เงินยูโรแทน โดยเริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ปี 2002 มาดู Lights in the Dusk หนังเรื่องล่าสุดกันบ้าง... องค์ประกอบเก่าๆ เชยๆ ยังมีอยู่ในหนังเช่นเคย ทั้งสิ่งของเครื่องใช้ รถยนต์ของตัวละครนำ เพลงประกอบ ขณะที่การถ่ายภาพและการเซ็ตฉากเห็นชัดว่าจงใจจัดวางยิ่งกว่าหนังเรื่องก่อนๆ เช่นฉากในห้องจะประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์ 1-2 ชิ้น แจกันดอกไม้บนโต๊ะ และรูปภาพบนผนัง พร้อมทั้งเน้นด้วยสีและแสงจนโลกย้อนเวลาสไตล์เคาริสมากิมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นไปอีกแม้ตัวละครนำอย่างโคยสติเนน จะไม่ได้เป็นส่วนประกอบของผลผลิตพ้นสมัย เพราะเป็นพนักงานของบริษัทรักษาความปลอดภัยขนาดใหญ่ที่ใช้อุปกรณ์ไฮเทค แต่บุคลิกโดดเดี่ยว ไม่เข้ากับสังคมรอบข้าง จิตใจดี ไม่ยี่หระต่อโชคชะตาและความลำบาก อีกทั้งไม่แยแสต่อเงื่อนไขที่สังคมตัดสิน โดยเฉพาะฉากที่โคยสติเนนแสดงความใจใหญ่ท้าต่อยกับชายร่างใหญ่ 3 คน อย่างไม่เกรงกลัว เพราะทนไม่ได้ที่คนกลุ่มนั้นทรมานสุนัข กับฉากยืนคอยให้ตำรวจจับอย่างไม่สะทกสะท้าน ชวนให้นึกถึงหนังฮอลลีวู้ดยุค 50 และภาพของพระเอกอย่าง พอล นิวแมน และมาร์ลอน แบรนโด แม้ว่าตัวละครโคยสติเนน ใน Lights in the Dusk จะไม่มีลักษณะของ ขบถ ต่อต้านสังคมตามแนวทางของหนังยุคดังกล่าวก็ตาม ฝ่ายผู้ร้ายซึ่งเป็นแก๊งมิจฉาชีพก็เป็นโจรในชุดสูทที่ไม่มีอุปกรณ์ไฮเทค(แม้แต่มือถือ) ราวกับหนังแก๊งสเตอร์ย้อนยุค ขณะที่หญิงสาวผู้เป็นนางนกต่อมีผมสีบลอนด์ตามแบบ หญิงร้าย ในหนังฟิล์มนัวร์ เรียกได้ว่า Lights in the Dusk หยิบยืมคาแร็กเตอร์ของตัวละครในหนังฮอลลีวู้ดยุคเก่า ทั้งพระ นาง และตัวร้าย มาใส่ไว้ในเรื่องเดียวกัน ส่วนที่ต่างออกไปจาก Drifting Clouds และ The Man Without a Past คือ แม้จะมีองค์ประกอบเก่าๆ เชยๆ เหมือนกัน แต่ Lights in the Dusk ไม่ก่อให้เกิดความสงสัยว่าหนังไม่ได้ใช้ฉากหลังเป็นช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ใช่เพราะบทสนทนามีการเอ่ยถึงเงินสกุลยูโรชัดเจน หรือเพียงเพราะมีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยไฮเทค แต่เพราะหนังใช้ภาพทิวทัศน์สิ่งปลูกสร้างหรูหราบริเวณ รัวโฮลาห์ติ ในเฮลซิงกิซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ปีที่ผ่านมาใส่กำกับไว้ตลอด กระทั่ง Lights in the Dusk เป็นหนังของเคาริสมากิที่ใช้ภาพทิวทัศน์ระยะไกลสุดบ่อยครั้งที่สุด ท่ามกลางเรื่องราวเลวร้ายที่ตัวละครต้องพบเผชิญ ทั้งการถูกปฏิเสธจากสังคมรอบข้าง ถูกปฏิเสธด้วยถ้อยคำเย้ยหยันจากธนาคารเมื่อขอกู้เงินทำธุรกิจ ผู้คนจิตใจแข็งกระด้าง และการตกเป็นเหยื่อของแก๊งอาชญากรรม ภาพสิ่งปลูกสร้างหรูหราที่เห็นบ่อยครั้งจึงน่าจะถูกใส่เข้ามาเพื่อสื่อถึงโลกสมัยใหม่ซึ่งสวยงามเพียงแค่เปลือกนอกนั่นเอง จากหนังเรื่องก่อนๆ ซึ่งเคาริสมากิเล่าเรื่องด้วยแง่มุมการมองโลกในแง่ดี ผ่านสไตล์ย้อนยุคซึ่งเขาหลงใหล โดยมุ่งนำเสนอชีวิตของคนชายขอบ หรือคนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีปากมีเสียงในสังคม พร้อมกับกระทบกระเทียบภาครัฐที่ปล่อยปละละเลยคนเหล่านี้ (ตัวละครของเขามักถูกกระทำหรือเอาเปรียบจากเจ้าหน้าที่รัฐ) ทั้งที่ฟินแลนด์เป็นรัฐสวัสดิการซึ่งได้ชื่อว่ามีคุณภาพชีวิตติดอันดับสูงสุดลำดับต้นๆ ของโลกในทุกด้าน มาถึง Lights in the Dusk แก่นสารที่กล่าวมายังมีอยู่ครบถ้วน ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือเคาริสมากิไม่เพียงสะท้อนความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลงในสังคมฟินแลนด์(โดยเฉพาะเฮลซิงกิ) เท่านั้น แต่เขากำลังชี้ว่าความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลงนั้นกำลังก่อปัญหาโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะมัวหลงกับภาพลวงตาอันสวยงาม ถ้าเคาริสมากิต้องการสื่อเช่นนี้จริง อาจมีคนถามกลับว่าผู้ต่อต้านโลกสมัยใหม่อย่างเขากำลังมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือไม่ อย่างน้อยบทลงท้ายในหนังคงพอจะแปลความหมายแทนคำตอบนี้ได้ว่ามีแสงสว่างแท้จริงรอเราอยู่เสมอ แม้ในภาพลวงตาอันมืดมิด...
Create Date : 01 มีนาคม 2551
12 comments
Last Update : 1 มีนาคม 2551 1:53:51 น.
Counter : 2376 Pageviews.
โดย: nanoguy IP: 125.26.132.160 1 มีนาคม 2551 3:58:48 น.
โดย: nanoguy IP: 125.26.132.160 1 มีนาคม 2551 4:02:23 น.
โดย: ม่วน. IP: 125.24.186.243 1 มีนาคม 2551 8:21:25 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549 ..............................select movie / blog ....... --international-- ....... The Walking Dead I Wish I Knew 127 Hours The Expendables vs. Salt No puedo vivir sin ti Bright Star The World is Big and Salvation Lurks Around the Corner Sin Nombre Invictus Afghan Star Moon Gigante The Promotion An Education Up in the Air Snow (Snijeg) Liverpool Tahaan Lion's Den Tulpan Everlasting Moments Absurdistan Topsy-Turvy Ramchand Pakistani The Pope's Toilet Antonio's Secret พลเมืองจูหลิง Flashbacks of a Fool And When Did You Last See Your Father? The Boy in the Striped Pyjamas Gran Torino Departures Gomorra Abouna + Daratt Grace Is Gone The Road to San Diego Into the Wild Slumdog Millionaire The Silly Age The Year My Parents Went on Vacation It's Hard to Be Nice Ben X Caramel The Class Kings จาก Kolya ถึง Empties The Unknown Woman Dokuz Heima Cocalero The Blood of My Brother & Iraq in Fragments 12:08 East of Bucharest Rescue Dawn Mongol 6 : 30 Something Like Happiness To Each His Cinema The Counterfeiters ข้างหลังภาพ Lions for Lambs + Michael Clayton Father and Daughter Possible Lives กอด The Buried Forest รัก-ออกแบบไม่ได้ Lights in the Dusk The Piano Teacher Do You Remember Dolly Bell? Sisters in Law Al Otro Lado A Time for Drunken Horses Zelary Bug The Invasion The Science of Sleep Paris, I love you Still Life The Lives of Others Heading South Renaissance ABC Africa The Death of Mr. Lazarescu Maria Full of Grace The Last Communist Eli, Eli, lema sabachthani? 4 : 30 Late August, Early September The Circle The Cave of the Yellow Dog Italian for Beginners Love/Juice Your Name is Justine The Syrian Bride Dragon Head Reconstruction Eros The Scarlet Letter The Night of Truth Familia Rodante Bonjour Monsieur Shlomi Lantana Flanders Tokyo . Sora The World Whisky Buffalo Boy S21 : The Khmer Rouge Killing Machine Fire, Earth, Water C.R.A.Z.Y. All about My Mother Jasmine Women Battle in Heaven The Day I Became a Woman Man on the Train CSI : Grave Danger Innocence Life Is a Miracle Drugstore Girl Der Untergang The Bow Happily Ever After The Wayward Cloud The House of Sand Or, My Treasure Janji Joni Moolaade Vodka Lemon Angel on the Right Twentynine Palms The Taste of Tea ....... --independent-- ....... Goodbye Solo The Hurt Locker (500) Days of Summer Towelhead Kabluey Three Burials of Melquiades Estrada Titus Chuck & Buck The Woodsman Pollock Last Days The Limey Inside Deep Throat Coffee and Cigarettes Garden State My Name is Joe Sexy Beast Real Women Have Curves The Brown Bunny Before Sunset Elephant Bubble You Can Count on Me 9 Songs ....... --classic-- ....... Memories of Underdevelopment (1968) The Last Laugh The Snows of Kilimanjaro The Cabinet of Dr.Caligari Nanook of the North The Apu Trilogy ....... --หนังมีไว้ให้คิด-- ....... The Schoolgirl's Diary Long Road to Heaven The Imam and the Pastor Maquilapolis ....... --what a film!-- ....... Kabuliwala (1956) Macunaima (1969) Kozijat rog (1972) The Girl and the Echo (1964) Fruits of Passion (1981) Happy Gypsies (1967) ....... --introducing-- ....... Death Race 2000 (1975) ซอมบี้ปากีฯ+ผีดิบมาเลย์+ซูเปอร์แมนตุรกี Zinda Muoi Father and Daughter ....... --directed by-- ....... Ouran (1968) Pierwsza milosc (1974) Salome (1978) 4 หนังสั้น เคียรอสตามี recommended ....... - 'รงค์ วงษ์สวรรค์ กับภาพยนตร์ - เทมาเส็ก พิคเจอร์ส - Heading South - Still Life - The Apu Trilogy - The Day I Became a Woman - จาก Fire, Earth สู่ Water พญาอินทรี ศราทร @ wordpress
1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30 31