Cosmetic addict
|
|||||||||||||||
เรื่องสิวๆ, การรักษาสิวตาม Guideline และความสำคัญของงานวิจัย สวัสดีค่ะวันนี้เราจะมาพูดถึงการรักษาสิวตามแนวทางการรักษา หรือ Guidelineนั่นเอง กระทู้วันนี้อาจจะยาวหน่อยเพราะมีสิ่งที่อยากจะแชร์ให้เพื่อนๆได้รู้เยอะมาก เราขอแบ่งออกเป็น 2พาร์ทหลักๆที่จะมาพูดกันในวันนี้นะคะ 1. Guidelineและความสำคัญของงานวิจัย 2. เรื่องสิวและการรักษาสิวตาม Guideline ก่อนอื่นต้องขอแนะนำก่อนว่า Guidelineเนี่ย จะเป็นคล้ายๆกับคู่มือแนะนำในการทำอะไรซักอย่างซึ่งมีบทบาทค่อนข้างสำคัญมากในทางการแพทย์ เนื่องจากเจ้า Guideline เป็นสิ่งที่คอยรวบรวมข้อมูลและผลงานวิจัยต่างๆมาวิเคราะห์-สังเคราะห์ พิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูลและตีสรุปออกมาเป็นแนวทางการรักษาให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ใช้กันค่ะ ซึ่งในทางการแพทย์แน่นอนว่าสิ่งที่จะนำมาทำไกด์ไลน์ก็มักจะเป็นแนวทางการรักษาโรคต่างๆทั้งโรคเรื้อรัง ไม่เรื้อรัง แม้กระทั่งโรคผิวหนังหรือการรักษาสิวนี่ก็มีไกด์ไลน์เหมือนกัน ทีนี้สิ่งที่อยากจะเกริ่นก่อนคือความสำคัญของงานวิจัยค่ะ ทำไมงานวิจัยถึงเป็นสิ่งที่ทางการแพทย์ให้ความสำคัญมากขนาดนั้นกันนะ? เนื่องจากว่า ในการทำงานวิจัยแต่ละครั้งผู้วิจัยจะต้องมีการควบคุมหลายอย่างค่ะ ทีนี้เราก็เห็นแล้วนะคะกว่าจะออกมาเป็นงานวิจัยหนึ่งตัว รึการจะบอกว่าอะไรซักอย่างดีจริงๆสำหรับทางการแพทย์ถือว่ายากมากกกกกกดังนั้นไกด์ไลน์ที่รวบรวมงานวิจัยเหล่านี้ไว้และสรุปผลออกมาเป็นแนวทางการรักษาให้เราๆได้ใช้กันจึงถือว่าสำคัญมากค่ะแต่ไกด์ไลน์ที่ดีเองก็ต้องมีการอัพเดทอยู่สม่ำเสมอ ตามงานวิจัยที่ออกใหม่เพราะบางงาน บางยา เคยศึกษาไว้ว่าดี แต่พอ 20 ปีต่อมาอาจไม่ดีเหมือนเดิมหรือบางทียาเดียวกัน แต่คนทำวิจัยคนละคน ผลออกมาแตกต่างกันก็มี นอกจากนี้ไกด์ไลน์ยังให้ระดับความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลด้วยเช่น ข้อมูลยา ก. มีงานวิจัยสนับสนุนเยอะมากกกกกกว่ามันดี แถมผลดียังเห็นชัดเจนเขาจะให้ความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ระดับ lA เลยค่ะ ในขณะที่แหล่งข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ เช่นแพทย์เฉพาะทาง หรือ Experts opinion มีความน่าเชื่อถือที่ระดับE เท่านั้น เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงการรักษาที่เห็นตามเว็บบางเว็บหรือการแชร์ในบางเพจ บางข้อมูลนี่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงและน่ากลัวมากบางอย่างที่เขาแนะนำก็ดีในระยะสั้นๆ แต่ผลเสียร้ายแรงในระยะยาว หรือบางอย่างก็ดีแค่ในคนที่แนะนำคนเดียวเพราะฉะนั้นก่อนจะปักใจเชื่อข้อมูลด้านสุขภาพใดๆควรพิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูลให้รอบคอบนะคะ สุขภาพเราเอง ร่างกายเราเองเราต้องดูแลให้ดีที่สุดค่ะ ทีนี้ก็มาถึงส่วนไฮไลท์ของเรากันเลย เรื่องสิวๆและการรักษาสิวตาม Guideline Guideline ในการรักษาสิวเองมีหลายเล่มมากค่ะทั้งฝั่ง US UK EU แล้วแต่จะเลือกใช้แต่ที่เราจะหยิบมาพูดถึงวันนี้คือตัวที่อัพเดทใหม่ล่าสุด หรือ AmericanAcademy of Dermatology 2016 นั่นเอง กลไกการเกิดสิว การเกิดสิวจะแบ่งได้จากกลไกลหลักๆ5อย่างค่ะ 1. ต่อมไขมัน(Pilosebaceousgland) : เป็นต่อมไขมันที่อยู่ตรงรูขุมขนบนผิวเราเองค่ะจะพบมากในวัยรุ่น และเริ่มลดลงหลังอายุ 25 ปี ส่วนมากพบในเด็กผู้ชายเนื่องจากต่อมนี้ถูกควบคุมการทำงานโดยฮอร์โมนเพศชายค่ะ (อ๊ะๆถึงจุดนี้ผู้หญิงอย่างงนะคะ ผู้หญิงแบบเราๆก็มีฮอร์โมนเพศชายเหมือนกัน)หน้าที่ของต่อมนี้คือสร้างไขมันเพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวหน้าของเรานั่นเองค่ะถ้าใบหน้าของเราแห้ง ขาดน้ำ เจ้าต่อมนี้ก็จะทำงานมากขึ้น โดยไขมันชนิด linoleicที่เจ้าต่อมนี้สร้างจะทำให้เชื้อแบคทีเรียบนผิวหน้าเราเจริญได้มากขึ้นด้วย 2. การที่เคราตินบนผิวหน้าแบ่งตัวมากเกินไป(Hyperkeratinization) : เคราตินเนี่ย เป็นชั้นบางๆบนผิวของเราเองค่ะในบางคนจะมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ตัวนี้มากเกินไปทำให้เกิดการทับถมและอุดตัน กลายเป็น comedone 3. เชื้อP.acne ที่เราๆรู้จักกัน เป็นเชื้อแกรมบวกที่ไม่ชอบอากาศซึ่งเจ้าเชื้อตัวนี้เป็นตัวที่ทำให้เกิดสิวอักเสบมีหนองนั่นเอง 4. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย(immunesystem) : สารอักเสบในร่างกายเราเองนี่แหละค่ะถูกหลั่งเข้ามาที่ผิวเรา 5. Steroid: หรือสิวสเตียรอยด์ยอดฮิตของสาวๆที่เคยพลาดพลั้งมีลักษณะเป็นสิวเม็ดเล็กๆเท่ากันทั้งหน้า ตัวสเตียรอยด์เนี่ยจะเข้าไปมีผลต่อการทำงานของไขมันค่ะพอใช้แรกๆผิวเราจะฟู ฉ่ำ รู้สึกผิวดี เห็นผลไว ทำให้สาวๆหลายคนเคยพลาดไปใช้ครีมที่แอบใส่สเตียรอยด์ ผลสุดท้ายคือแหก ในไกด์ไลน์ตัวนี้ เดิมที (ปี 2009) เขาแบ่งความรุนแรงของสิวออกเป็น 4 ระดับค่ะ คือ Grade I (mild) สิวเล็กน้อย,Grade II (moderate) สิวปานกลาง, Grade III (moderate tosevere) สิวปานกลางถึงมาก, Grade IV (severe) สิวรุนแรง โดยเกณฑ์การแบ่งความรุนแรงของเขาจะอยู่ที่จำนวนและชนิดของสิวค่ะเช่น มีสิวชนิด papule หรือ pustuleน้อยกว่า 10 จุด จัดเป็นแบบ mild, มีสิวหัวช้าง จัดเป็น moderate-severe แต่ในฉบับล่าสุด 2016เหลือแค่ 3 ระดับคือ เล็กน้อย (mild), ปานกลาง (moderate) และ รุนแรง (severe) ค่ะ โดยแนวทางการรักษาของเขาเป็นแบบนี้
ทีนี้เรามาทำความรู้จักยารักษาสิวกันเถอะค่ะ 1. กลุ่มTopicalretinoids หรือพวกอนุพันธ์วิตามินเอชนิดทา Retinoid หรืออนุพันธ์วิตามินเอที่เราพบเห็นได้ตอนนี้มีหลายชนิดค่ะโดยที่เรามักจะพบเห็นในไทยมีดังนี้ - retin-A ตัวยาคือ tretinoinหรือ trans-retinoic acid โดยในไทยเรามักจะพบ 2ความแรงคือ 0.01% (หลอดสีเทา) และ 0.05% (หลอดสีฟ้า) ราคาอยู่ที่ 100 160 บาท ปริมาณ 20g - Differin ตัวยาคือ Adapaleneในไทยเรามีความเข้มข้นเดียวคือ 0.1% ราคาอยู่ที่ประมาณ450 บาท ปริมาณ 15g ตัวนี้จะมีข้อดีเหนือRetinA คือมีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าค่ะ นอกจากนี้ยังไม่เกิดการตีกันกับ Benzoylperoxide ที่เป็นยาทาที่มักจะใช้คู่กันซะด้วย ดังนั้นจึงมียาบางตัวที่นำadapalene ไปผสมกับ benzoyl peroxide หรือที่เรารู้จักกันในชื่อการค้าEpiduo นั่นเอง *Epiduo เป็นยาที่ผสมadapalene 0.1%+Benzoyl peroxide 2.5% ราคาประมาณ 750บาท ปริมาณ 15g*
กลไก :ช่วยทำลาย Comedone, ลดการอักเสบ ข้อบ่งใช้ของยา :ใช้รักษาสิว ป้องกันสิวอักเสบและสิวเกิดใหม่ วิธีใช้ :ทาบางๆที่ผิวหน้า วันละ 1 ครั้งก่อนนอนควรเริ่มที่ความเข้มข้นต่ำๆก่อน ผลข้างเคียง :อาจทำให้เกิดการระคายผิว ทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้นดังนั้นควรทาก่อนนอน (แบบทาแล้วปิดไฟนอนเลย) และใช้ครีมกันแดดในตอนกลางวันอาจทำให้สิวเห่อในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก (อย่าตกใจนะคะหลายๆคนเลิกใช้เพราะตกใจที่สิวเห่อ)
2. กลุ่มยาทาฆ่าเชื้อหรือ Antimicrobials ยาทาที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อมีหลายตัวยามากเลยค่ะซึ่งแต่ละตัวยาก็จะมีกลไกในการฆ่าเชื้อที่ต่างกัน - Benzoyl peroxide หรือที่เรามักจะรู้จักกันในชื่อการค้าBenzac ยอดฮิตนั่นเอง ความแรงของยาที่พบในไทยมีตั้งแต่ 2.5%, 5% หรือ 10% เลยค่ะ ราคาของหลอดใหญ่อยู่ที่ประมาณ 200 บาท ปริมาณ60g
กลไก :ตัวยามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ลดการอักเสบ และสามารถสลาย comedone ได้ (แต่ฤทธิ์การสลายมีน้อยกว่า retinoid ค่ะ) วิธีใช้ :ทาบางๆทั่วใบหน้า เช้า-เย็น โดยอาจเริ่มจากความเข้มข้นต่ำทาทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วจึงล้างออก *ทั้งนี้ยังพบงานวิจัยอื่นๆที่ระบุว่าหากผิวหน้าของเราทนได้ การทา benzoyl peroxide เป็นระยะเวลานานๆจะมีประสิทธิภาพในการรักษาสูงกว่าดังนั้นหากในทนได้ แนะนำให้ทาตัวนี้ทิ้งไว้เลยค่ะ* *แต่ยาตัวนี้ไม่ควรทาร่วมกับretin-A เนื่องจากตัวยาจะต่อต้านกัน ดังนั้นถ้าใช้ retin-Aด้วย ควรทา benzoyl peroxide ก่อนล้างหน้าแล้วทา retin-A ก่อนนอน หรือไม่ก็ใช้ differin แทน เนื่องจากไม่มีปัญหายาต้านฤทธิ์กัน* ผลข้างเคียง :อาจระคายเคือง และเกิดรอยด่างตามเสื้อผ้า (หลายๆคนใช้แล้วอาจรู้สึกว่าผิวขาวขึ้น)
- Azelaic acid หรือที่มักพบกันในชื่อการค้า Skinorenค่ะ ความแรงของยาที่ใช้คือ20%ราคาประมาณ 400 บาท ปริมาณ 30g
กลไก :ตัวยามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ลดการอักเสบ และสามารถสลาย comedone ได้ คล้ายๆ Benzoyl peroxide แต่ความแรงของยาจะน้อยกว่ามักใช้รักษาเสริมค่ะ วิธีใช้ :ทาบางๆทั่วใบหน้า เช้า-เย็น ผลข้างเคียง :อาจระคายเคืองได้
- ยาทาปฏิชีวนะ (Topicalantibiotic) ยาทาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาสิวมีตัวยา2ชนิดค่ะ คือ Clindamycin และ Erythromycin ตัวอย่างยาทา Clindamycinมีความแรง 1% เท่ากันราคาแตกต่างกันไปตามยี่ห้อและเภสัชภัณฑ์
ตัวอย่างยาทา Erythromycinความเข้มข้นที่ใช้คือ 4% ตัวนี้เราไม่ทราบราคานะคะ
กลไก :แน่นอนว่ากลไกหลักของเขาคือใช้ฆ่าเชื้อค่ะ วิธีใช้ :เนื่องจากยามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อเท่านั้น ดังนั้นยาทาเหล่านี้จึงใช้ยาเฉพาะสิวที่อักเสบอยู่เท่านั้นแหละควรใช้ทาเฉพาะที่ โดยทาวันละ 2-3 ครั้ง/วัน ค่ะ ผลข้างเคียง :บางยี่ห้ออาจทำให้ผิวแดงและแสบจากการระคายเคืองสารที่ใช้ทำละลายยาได้ค่ะ *ไม่ควรใช้ยากลุ่มนี้รักษาเดี่ยวๆนานกว่า3-4 สัปดาห์ เนื่องจากเชื้อจะดื้อยา ข้อนี้สำคัญมากเนื่องจากเคยเห็นหลายๆคนใช้ยากลุ่มนี้แต้มสิวเดี่ยวๆเยอะมาก ที่จริงควรใช้ร่วมกับ Benzoylperoxide หรือ retinoid นะคะ*
3. สารอื่นๆที่ใช้ในการรักษาสิว นอกจากยายังมีสารอื่นๆที่ไม่ใช่ยา แต่มีฤทธิ์ในการรักษาสิว ซึ่งใน Guidelineให้เป็นทางเลือกเสริม เนื่องจากสารเหล่านี้มีประสิทธิภาพที่อาจไม่ดีมากหรือจำนวนงานวิจัยรับรองผลที่ยังน้อย เช่น Salicylic acid เป็นตัวหลักหรือตัวชูโรงในยาแต้มสิวหลายๆยี่ห้อนอกจากนี้ยังเป็นส่วนสำคัญในน้ำตบป้าพอลล่าที่หลายๆคนนิยมด้วยค่ะ
ส่วนอื่นๆ เช่นยาคุม ยากินปฏิชีวนะสำหรับรักษาสิวหรือยากินอนุพันธ์วิตามินเอ (ที่เรารู้จักกันในนามแอคโนติน)ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนเริ่มใช้ยาเสมอ เนื่องจากบางคนอาจไม่เหมาะกับยาบางตัวหรือในยาบางตัวส่งผลเสียต่อตับมาก ต้องทานภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ทีนี้หวังว่าหลายๆคนจะได้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางในการรักษาสิวที่เพิ่มขึ้นนะคะรายละเอียดค่อนข้างจะเยอะแยะมากมายก่ายกอง พิมพ์เองยังรู้สึกเหนื่อยเองเลยค่ะ 5555
ขอบคุณและสวัสดีค่า |
โลกของไดโนเสาร์
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?] Group Blog All Blog
Link |
||||||||||||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |