เลรอย ซาเน่ ปีกทีมชาติเยอรมนี ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับคืนสู่การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก อีกครั้งหลังจากโชว์ฟอร์มหรูและยังสวมบทฮีโร่ซัดประตูชัยให้ทีมเฉือน ลิเวอร์พูล 2-1 ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่าน รวมทั้งยัดเยียนพ่ายแพ้เกมลีกนัดแรกให้ "หงส์แดง" ในซีซั่นนี้ สำหรับประตูที่ ลิเวอร์พูล เสียต้องยอมรับว่าเป็นการทำเกมที่ดุดันของเจ้าบ้าน แต่น่าเสียดายตรงนี้ เดยัน ลอฟเรน ดันแจกความสดใสให้กับคู่แข่ง เมื่อเสียสมาธิปล่อยให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ วิ่งแซงหน้า ก่อนจะตะบันเต็มข้อบอลพุ่งราวจรวดชนิดที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ไม่มีทางป้องกันได้เลย บอลวันนี้ ที่สำคัญแมตช์นี้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาต้องพัฒนาฝีเท้าอีก เพราะการเจอกับผู้เล่นระดับโลกอย่าง ซาเน่ ที่มีทั้งเทคนิค และความเร็ว ทำให้เขาไม่สามารถจัดการ ดาวเตะทีมชาติเยอรมนี ได้เลย นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลือกที่จะเจาะทางฝั่งขวาคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ เป็นเพียง 1 แมตช์ที่ ลิเวอร์พูล เสีย 3 คะแนน แต่ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออันดับของพวกเขา และสิ่งสำคัญที่นักเตะ "หงส์แดง" ต้องจดจำเอาไว้ก็คือพวกเขายังนำอยู่ 4 คะแนน ฉะนั้นแค่ประครองตัวเอง และทำให้ดีที่สุดในเกมของตัวเอง แค่นั้นก็พอ 1. ซาเน่เล่นงานยับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับทัศนคติของ เลรอย ซาเน่ ในบางครั้ง แต่ ปีกทีมชาติเยอรมนี ยังคงตั้งหน้าตั้งตาสร้างผลงานดีมีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และในเกมพบ ลิเวอร์พูล คงทำให้ กุนซือชาวสแปนิช เห็นแล้วว่าเขาขาดนักเตะรายนี้ไม่ได้จริงๆ อดีตสตาร์ลูกหนังชาลเก้ 04 ที่จะอายุครบ 23 ปีในสัปดาห์หน้า โชว์สเต็ปกระชากลากเลื้อยจนทำให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ต้องปั่นป่วนเอาไม่อยู่ เช่นเดียวกับ เดยัน ลอฟเรน ที่ไม่สามารถรับมือกับความรวดเร็วของปีกหัวฟูได้เลย และเขาก็มีส่วนในจังหวะสำคัญก่อนที่ อเกวโร่ จะซัดประตูสุดสวยให้เจ้าบ้านขึ้นนำ แน่นอนว่าเอกลักษณ์ที่แสนโดดเด่นของ ซาเน่ ก็คือการเลี้ยงบอลครองเท้าและยังรวดเร็วอีกต่างหาก ทำให้เขาสามารถขู่แนวรับกองหลังได้ตลอด ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของแบ็กขวา "หงส์แดง" ว่าหากเจอผู้เล่นที่มีความคล่องตัว โอกาสจะโดนเจาะก็มีเยอะมาก ที่สำคัญการเติมเกมที่รวดเร็วเวลาที่ทีมมีโอกาสสวนกลับเป็นจุดเด่นของ ซาเน่ อยู่แล้ว และประตูชัยของ แมนฯ ซิตี้ ก็มาจากจังหวะดังกล่าว ก่อนจะจับด้วยการยิงที่เฉียบคมของ ดาวเตะเลือดด๊อยท์ช 2. เทคโนโลยีช่วยได้เยอะ ต้องยอมรับว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้ในวงการฟุตบอลถือว่าเป็นเรื่องดีมากๆ และสามารถช่วยให้การตัดสินของกรรมการมีความเที่ยงตรงยิ่งขึ้น เหมือนกับการใช้เทคโนโลยีที่เส้นประตู หรือ "โกลไลน์" เพราะหากไม่มีระบบนี้แน่นอนว่าสถานการณ์ของเกมอาจจะเปลี่ยนไป ในนาทีที่ 19 จากจังหวะที่ จอห์น สโตน เตะบอลอัด เอแดร์สัน ผู้รักษาประตูชาวบราซิเลียน ลูกบอลลอยหมุนติ้วบินถลาแล่นลมเข้าไปในประตู แน่นอนว่าหากใช้สายตามนุษย์ ท่านเปาแอนโทนี่ย์ เทย์เลอร์ คงเป่านกหวีดดังลั่นให้ลูกนี้เป็นประตูขึ้นนำของ "เดอะ เร้ดส์" อย่างไรก็ตาม ด้วยการมี โกลไลน์ ทำให้ทุกอย่างมีความเที่ยงตรง เนื่องจากเมื่อได้ดูจากภาพช้าเห็นได้ชัดว่าลูกบอลลอยข้ามเส้นไปเกือบเต็มใบแล้ว โดยน่าจะประมาณ 99.99 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังถือว่าไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้ "เรือใบสีฟ้า" ไม่เสียประตู ลองคิดดูเล่นหากจังหวะนั้นเป็นประตูขึ้นนำของทีมเยือน งานนี้เกมจะออกมาเป็นแบบไหน งานนี้แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนก็แล้วกัน 3. อเกวโร่คมกว่า ซาลาห์ เซร์คิโอ อเกวโร่ ทำผลงานได้เฉียบคมเหนือกว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในเกมนี้ หลังจากที่เขาโชว์ฟอร์มให้เห็นถึงจังหวะการยิงประตูที่เด็ดขาด รวมทั้งการมีส่วนร่วมกับเกม ทำให้ แมนฯ ซิตี้ สามารถไล่กดดัน ลิเวอร์พูล ได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเกมจนกระทั่งหมดเวลา หัวหอกชาวอาร์เจนไตน์ ยิงประตูในเกมพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 250 ประตู โดยแมตช์นี้ "กุน" แสดงให้เห็นถึงพลังการทำลายล้างในการตะบันลูกหนังเต็มข้อ แถมที่เด็ดกว่านั้นก็คือเจ้าตัวยิงประตูทั้งๆ ที่มีมุมเหลืออยู่นิดเดียว แน่นอนว่านี่คือศักยภาพชั้นยอดของกองหน้าระดับโลกจริงๆ นอกจากจะยิงประตูได้แล้ว อดีตสตาร์ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด ยังสามารถสร้างความวุ่นวายให้กับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ และแนวรับของ "หงส์แดง" ได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะ ลอฟเรน ที่ดูเหมือนจะเอา อเกวโร่ ไม่อยู่ และแน่นอนประตูที่เสียก็มาจากการขาดสมาธิของ แนวรับเลือดโครแอต เต็มๆ ที่ปล่อยให้คู่แข่งวิ่งตัดหน้าเข้าไปยิงประตู 4. โรเบิร์ตสัน พิสูจน์คุณค่าได้อีกครั้ง เห็นได้ชัดเลยว่า แมนฯ ซิตี้ ที่มีนักเตะซูเปอร์สตาร์ค่าตัวแพงระยับอยู่เต็มทีม แต่ไม่สามารถเอาชนะ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายจอมขยันของ ลิเวอร์พูล ได้เลย แน่นอนว่า ดาวเตะเลือดสกอตติช แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไม เจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงเลือกเขาลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ดาวเตะค่าตัวแค่ 8 ล้านปอนด์ (ราว 344 ล้านบาท) ที่ย้ายมาจาก ฮัลล์ ซิตี้ เมื่อ 18 เดือนก่อน สามารถเล่นได้ดีเยี่ยมไม่ต่างจาก ฟาน ไดค์ ที่ย้ายมาอยู่กับ "หงส์แดง" ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ (ราว 3,225 ล้านบาท) และเจ้าตัวมีส่วนทำให้เกมรับของทีมแข็งแกร่ง เรื่องพละกำลังและความขยันไม่ต้องพูดถึง โรเบิร์ตสัน สามารถวิ่งได้ไม่มีหมด โดยเฉพาะในเกมนี้การต้องสู้กับผู้เล่นที่มีความเร็วสูงอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง เจ้าตัวทำได้ดีมากๆ และจัดการ ปีกทีมชาติอังกฤษ อยู่หมัด ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจทำไม "เป๊ป" ถึงเลือกบุกทางฝั่งซ้ายของทีมเยือน เพราะ ซาเน่ จัดการ อาร์โนลด์ ได้สบายๆ 5. ลิเวอร์พูล ยังได้ถือความได้เปรียบ ความพ่ายแพ้ในเกมนี้อาจจะทำให้แฟนบอลแท้และเฉพาะกิจของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้เฮสนั่น เพราะทำให้พวกเขากลับขึ้นมาเป็นอันดับ 2 และมีแต้มไล่บี้ ลิเวอร์พูล จ่าฝูงเหลือ 4 คะแนนเท่านั้น แถมยังจัดการลบสถิติไร้แพ้ในเกมลีกฤดูกาลนี้ของพวกเขาลงได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม "หงส์แดง" ยังคงถือความได้เปรียบเพราะพวกเขามีแต้มนำอยู่ ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องกลับมารวบรวมสมาธิ และมองไปที่เกมลีกแมตช์ต่อไป รวมทั้งลืมเกมที่แพ้ในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม ไปให้หมด แต่ที่สำคัญสิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" หวั่นใจก็คือการแพ้คู่แข่งชิงแชมป์ลีก จะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ และทำให้นักเตะ "หงส์แดง" เกิดอาการเป๋หรือเปล่า ต้องลองดูกันไปยาวๆ
Create Date : 04 มกราคม 2562 |
|
0 comments |
Last Update : 4 มกราคม 2562 14:41:34 น. |
Counter : 560 Pageviews. |
|
|
|