" การเป็นผู้ให้ ย่อมสุขใจ กว่าการเป็นผู้รับ "
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
7 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 
ร่วมแบ่งปันน้ำใจ ให้กับเด็กๆ รร.บ้านสิวาเดอ จ.แม่ฮ่องสอน กันนะคะ : )

สว้สดีค่ะ : )
พอดีนิวได้อ่านเรื่องราวนี้ จากคุณ natashi หรือ คุณ นัท
ซึ่งได้ตั้งกระทู้ ในห้องสยามค่ะ
//www.pantip.com/cafe/siam/topic/F8826411/F8826411.html


เป็นเรื่องราวของรร.บ้านสิวาเดอ ที่รร.นี้มาเด็ก จำนวน 182 คน ค่ะ
เป็นเด็กชาวไทยภูเขา เผ่ากะเหรี่ยงสกอร์ ค่ะ
ทั้งนักเรียนที่ไปกลับ และนักเรียนที่นอนที่โรงนอนของโรงเรียน
เด็กนักเรียนที่มานอนที่โรงนอนของโรงเรียนส่วนใหญ่
เป็นเด็กชาวเขาในหมู่บ้านห่างไกล ที่ไม่มีโรงเรียน
หรือมีโรงเรียนแต่ไม่มีบุคลากรที่รองรับการเรียนการสอน
น้องๆ ตั้งแต่ชั้น ป 1ต้องเดินทางจากหมู่บ้านห่างไกล
มาเรียนที่โรงเรียนบ้านซิวาเดอ มาพักนอนที่โรงนอน
น้องบางคน ต้องมาอยู่คนเดียว ทั้งที่ยังเด็ก
หรือมีบางคน ที่มีพี่ หรือน้องมาเรียนด้วย
ทุกคนต้องดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ การกินข้าว
การทำอาหาร การซักผ้า รวมไปถึงตัดฟืน
หรือรับจ้างทำงานที่พอจะหาได้เพื่อมีรายได้บ้างในช่วงวันหยุด
ความเป็นอยู่ของเด็กๆ ทีนี่ค่อนข้างลำบากค่ะ


นิวก็เลยขออีเมล์ ผอ.รร.บ้านสิวาเดอ กับคุณต้น
และได้เมล์ไปคุยค่ะ
ว่ามีสิ่งใดที่ยังขาดเหลือ และจำเป็นสำหรับรร.บ้าง
ทางผอ.ได้ตอบกลับมาค่ะว่า

อยากได้เป็นอาหารแห้ง ที่เก็บไว้ได้นานๆ
เช่น ปลาแห้ง ปลาเค็ม ทุกชนิด หรือ หัวไชโป๊ย , ไข่เค็ม ฯลฯ
- เครื่องบดทำน้ำเต้าหู้ ที่สามารถทำเต้าหู้แผ่นได้ด้วย
แม่พิมพ์ทำเต้าหู้่ เพื่อเพิ่มโปรตีนอย่างหลากหลายให้กับนักเรียน
- เมล็ดพืชที่หลากหลาย ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วอื่น ๆ จำนวนมาก
ที่ใช้ทำเมล็ดงอก เพิ่มโปรตีน
- อุปกรณ์ดักแมลงกินได้ ได้แก่ ไฟสีม่วง หรืออุลตร้าไวโอเลต จำนวน 10 หลอด สายไฟ กะลามัง

นิวเลยขออนุญาต ช่วยประชาสัมพันธ์นะคะ
เผื่อจะมีท่านใด สามารถช่วยเหลือ เด็กๆ ได้ค่ะ : )


สามารถส่งไปได้ที่
ผอ. วัฒนา คุณประดิษฐ์
โรงเรียนบ้านสิวาเดอ
100 ม.3 ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย
จ.แม่ฮ่องสอน 58110

ขอขอบคุณทุกคนด้วยนะคะ



ข้อความของคุณ natashi หรือ คุณ นัท นะคะ
----------------------------------------------------------------------------
อยากเป็นสื่อกลางในการนำเสนอถึงเรื่องราวบางอย่าง
ที่เกิดขึ้นอยู่ในสังคมไทย
ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
และโอกาสที่เลือกเกิดไม่ได้ เลือกที่ทำตามความฝันที่ตนเองฝันไม่ได้

ไม่ได้มาใคร่ครวญอะไร แค่อยากให้ พี่ๆ น้อง ๆ ตั้งใจเรียน
เพราะมีอีกหลายชีวิตที่ขาดโอกาส
แต่เขาก็พยายามที่จะไขว่ขว้ามัน
แม้ว่าโอกาสนั้นมันจะเลือนลางมากก็ตาม


เริ่มเรื่องเลยแล้วกัน
ตอนนี้ผม เรียนวิศวะ อยู่ ปี 4 มหาลัยรัฐบาล(พระจอม)
การเรียนก็ไมjได้ดีอะไรมาก แค่สองนิดๆเท่านั้น
หลายคนอาจว่ามันน้อยไปเกรดเท่านี้
แต่ผมทำได้แค่เท่านี้จริงๆ แล้วผมก็ไม่เสียใจที่ได้เท่านี้

ก่อนหน้านี้ผมก็เรียนเรื่อยๆ เล่นบ้างตามประสาชีวิตวัยรุ่น
มีกินเหล้า มีเที่ยวเตร่ตามแบบฉบับของเด็กวิศวะ
กิจกรรมก็ทำบ้าง แต่เน้นเฮฮามากกว่าที่จะมีประโยชน์
ก็พวก กีฬา พวกกิจกรรมรับน้อง เป็นต้น

จนมาถึงตอนนี้ ผมเรียนใกล้จบแล้ว
ประกอบกับมีเพื่อน มีพี่ที่รู้จัก
กันจากเวปท่องเที่ยว ได้มาชักชวนทำค่ายอาสา

ค่ายอาสา ผมเคยได้ยินแต่ไม่คุ้นเคยกับมันเท่าไหร่
จะว่าไปที่มหาลัยที่ผมเรียนก็มีทำค่ายอาสานะ
แต่การออกค่ายอาสาแต่ละครั้งไปกันร่วมเดือน
ผมเลยไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับมันแน่ๆ
มันคงนานไปสำหรับผม

ผมทบทวนอีกที ก่อนที่จะรับปากว่าจะทำค่ายอาสาด้วย
ความคิดในตอนนั้นคือ การสร้างอาคาร
การไปช่วยสอนหนังสือน้อง การได้ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม
จุดมุ่งหมายของผมคือ อยากเรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม
เพื่อเรียนจบไปจะได้สามารถทำงานได้อย่างไม่มีปัญหา



โครงการแรกที่ผมไปทำ คือที่โรงเรียนบ้านซิวาเดอ
อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ทุกอย่างถูกเตรียมไว้หมดแล้ว ทั้งการสำรวจโรงเรียน
สิ่งที่เราจะไปทำ รวมถึงปัจจัยพื้นฐานที่โรงเรียนต้องการ

ในระหว่างการจัดค่าย ผมเรียนรู้มันได้อย่างดีกับการทำงานเป็นกุล่ม
มีการกระทบระทั่งกันบ้าง มีการแสดงความคิดเห็น
มีการคัดค้านความคิดเห็น
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา มันอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล
ซึ่งผมได้เรียนรู้อย่างเข้าใจ
ตรงกับความต้องการที่ผมตั้งไว้ตั้งแต่แรก

รวมทั้งยังได้รู้จักคนในวงกว้างขึ้น
จากที่ต่างๆ ที่มาด้วยใจที่ต้องการที่จะทำเพื่อสังคม

ผมถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก กับสิ่งที่ผมได้รับมา
แม้ว่ามันจะเหนื่อยบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับมามันคุ้มมาก

โรงเรียนบ้านซิวาเดอ ที่ผมได้ไปทำค่าย
เป็นโรงเรียนขนาดกลาง มีการเรียนการสอนตั้งแต่ อนุบาล - ชั้น ม 3
มีนักเรียน 180 คน มีทั้งนักเรียนที่ไปกลับ และนักเรียนที่นอนที่โรงนอนของโรงเรียน
ฟังแล้วมันคงจะดูดีมาก ที่โรงเรียนมีโรงนอนให้นักเรียนด้วย
แต่หาใช่อย่างที่คิดเลย เด็กนักเรียนที่มานอนที่โรงนอนของโรงเรียนส่วนใหญ่
เป็นเด็กชาวเขาในหมู่บ้านห่างไกล ที่ไม่มีโรงเรียน
หรือมีโรงเรียนแต่ไม่มีบุคลากรที่รองรับการเรียนการสอน

ลองนึกสภาพของตัวเราเองตอนสัก ป 1 ป 2 นะครับ
ว่าตอนนั้นเราทำอะไรกันอยู่ นึกไม่ออกไม่เป็นไรครับ

น้องๆตั้งแต่ชั้น ป 1ต้องเดินทางจากหมู่บ้านห่างไกล
มาเรียนที่โรงเรียนบ้านซิวาเดอ มาพักนอนที่โรงนอน
น้องบางคน ต้องมาอยู่คนเดียว ทั้งที่ยังเด็ก
หรือมีบางคน ที่มีพี่ หรือน้องมาเรียนด้วย
ทุกคนต้องดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ
การกินข้าว การทำอาหาร การซักผ้า รวมไปถึงตัดฟื้น
หรือรับจ้างทำงานที่พอจะหาได้เพื่อมีรายได้บ้างในช่วงวันหยุด

มันอาจจะดูหนักไปหน่อยสำหรับเด็กเล็กๆ
ชั้น ป 1 ป 2 ที่ต้องแบกความรับผิดชอบมากมายขนาดนี้

แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อน้องๆเขาไม่มีโอกาสเลือกมากนัก
แค่ได้มีโรงเรียนให้เรียน น้องก็ดีใจมากแล้ว





เคยถามน้องๆ ว่าคิดถึงบ้านไหม
คิดถึงพ่อแม่ไหมที่ต้องมาอยู่ไกลๆ แบบนี้
.....คิดถึงครับ แต่อยู่บ้านไม่มีที่เรียน....

น้องเล่าว่า ปิดเทอมจะได้กลับบ้านครั้งนึง
น้องต้องใช้เวลาตลอดทั้งเทอมอยู่ที่โรงนอนและโรงเรียน
ปิดเทอม พ่อแม่จะเดินจากหมู่บ้านที่ห่างไกล
ซึ่งใช้เวลาเดินว่า 10 ชั่วโมงเพื่อมารับกลับบ้าน

.........................................................

ในช่วงเวลาที่อยู่บนดอยซิวาเดอ
ได้มีโอกาสเข้าไปสอนน้องๆชั้น ป 6
น้องผู้ชายคนนั้นที่นั่งหลังห้องทำไมดู น้องเงียบๆ
ไม่พูดไม่จากับใคร แต่น้องตั้งใจเรียน
และก็ทำงานที่สั่งไปได้ดี

หลังจากสอนจบ ก็เลยได้พูดคุยกัน
ได้รู้ว่าน้องเขาเป็นเด็กที่อยู่โรงนอน
มาอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว
อย่างที่บอก น้องมาอยู่ตลอดทั้งเทอม
จะกลับบ้านก็ตอนปิดเทอมใหญ่
ต้องรอพ่อเดินมารับจากจังหวัดตาก
คำถามเดิมก็ถูกถามอีกครั้ง
น้องคิดถึงบ้านไหมมาอยู่ไกลๆแบบนี้
น้องดูเหมือนหน้าจะเสียไปนิดหน่อย
น้องได้แต่พยักหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดว่า
อยู่ที่นี่เหงามากครับพี่
บางทีเห็นเพื่อนเขาได้นั่งกินข้าวกับครอบครัว
แต่ผมต้องนั่งกินในโรงอาหารทุกวัน เช้าเย็น

บางทีปากกาหมึกหมด แต่ไม่มีเงินซื้อ
ผมไม่รู้จะไปขอใคร
วันหยุดอยากรับจ้างทำงาน เก็บพริก
จะได้เอาเงินไว้ใช้ซื้อเครื่องเขียนบ้าง
แต่ไม่มีงานให้ผมทำเลย ขนมอยากกินก็ไม่ได้กิน แต่ก็ไม่เป็นไร
แค่มีข้าวกินผมก็อยู่ได้แล้ว

นานๆจะมีคนใจบุญมาทำค่ายแบบพี่ๆ
เอาของมาบริจาคให้พวกผม ผมถึงจะได้กินขนมบ้าง
อาหารที่กินอยู่ทุกวันก็เหมือนเดิมครับ
เส้นหมี่แกงกับปลากระป๋อง

ผมนึกภาพไม่ออกหรอกว่ามันเป็นอย่างไร
แกงที่น้องบอก
ก็เลยได้ตามไปกินกับน้องตอนมื้อเย็น

ภาพที่เห็นมันคือการเอาปลากระป๋อง
ผมไม่รู่ว่ากี่กระป๋องแต่รู้ว่า มันแทบไม่มีเนื้อปลาเลย เทลงในหม้อใบใหญ่ๆ สำหรับเด็กโรงนอน 40 ชีวิต
ใส่เส้นหมี่ลงไป เครื่องปรุงใดๆไม่มีเลย
มีแต่พริกเพิ่มรสชาติเผ็ด
เพราะที่นั่นปลูกพริกกันเยอะ

นี่คือแกงที่น้องบอกมัน
บางคนที่ไม่อิ่มก็เอาข้าวเปล่ามากินแกล้มไปด้วย

ความอร่อยแทบไม่ต้องพูดถึงเพราะมันไม่มีรสชาติอะไรเลย
น้องบอกว่าผมต้องกินแบบนี้ทุกวัน

ผมเห็นแล้วก็เข้าใจถึงความรู้สึกที่น้องๆ ทุกคนต้องเจ
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมก็ไม่สามารถที่ทำอะไรได้มากนัก
เพราะด้วยน้องจำนวนมาก บนนั้นก็ใช่ว่าจะมีของให้ซื้อให้หากันได้มาก
เลยจัดไข่มาต้มให้น้องๆคนละฟอง ตามกำลังของพี่




แม้ว่ามันจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่สนุกและมีความสุขสำหรับผมเท่าไหร่นัก
เพราะเรื่องที่ผมพบเจอ มันคือความทุกข์ของน้องๆ
แต่เวลามันก็ผ่านไปเร็วอย่างบอกไม่ถูก

โรงเรียนที่นี่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้
ต้องใช้แผงโซล่าเซลที่แบตเสื่อมใช้งานได้ไม่นานก็ไฟหมด
น้องๆที่กลับถึงโรงนอนต้องรีบอาบน้ำ
ทำอาหาร ทำการบ้าน ก่อนที่แสงของวันจะหมดลง

ภาพข้องน้องๆที่นั่งมุงกันเป็น 20 -30 คน
มุงหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่คุณครูจะเปิดหนังให้ดูบ้างงนานๆครั้ง
นั่งดูด้วยความตั้งใจ
มันคงจะเป็นความสนุกที่หาไม่ได้บ่อยๆ สำหรับเด็กดอย
แต่เวลาของความสุขมันก็มีได้ไม่นาน
เมื่อแบตของเจ้าโน๊ตบุ๊คหมดลง

น้องๆต่างต้องแยกย้ายกันไปนอน

ทุกเช้าผมจะเดินไปดูการใช้ชีวิตของน้องๆที่โรงนอน
มันคือภาพเดิมๆ ที่ผมเห็นตั้งแต่แรก
น้องต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยกันทำอาหาร
นั่นคือแกงเส้นหมีปลากระป๋อง กินกับข้าว

รวมถึงเอาข้าวเปล่ายัดใส่ถุงเส้นหมี่ที่แกงไปแล้ว
เพื่อเอาไปกินเป็นอาหารกลางวันที่โรงเรียน

ข้าวเปล่า ..... ยัดกันจนแน่นถุง.....
น้องบอกต้องยัดไปเยอะหน่อย กลัวมันจะหิวตอนกลางวัน


.....................................

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายชุดนักเรียนที่เด็กตัวเล็กๆ
ต้องรับผิดชอบกันเองไม่ต้องพูดถึงเลยครับ
สภาพมันดูไม่ได้เลย บางคนใส่กางเกงนอนไปเรียน
บางคนใส่ชุดซ้ำกันสองสามวัน
เพรากางเกงมีตัวเดียว ซักแล้วมันยังไม่แห้ง
หรือ ใส่จนมันขาดแล้ว
แต่ยังไม่มีเกางเกงตัวใหม่
รองเท้านักเรียนที่มีกันน้อยมาก ถุงเท้าคงไม่ต้องพูดถึง

มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
..............................................................

และแล้วมันก็ถึงเวลาที่ผมต้องกลับ จากที่นั่น
น้องๆที่เราเริ่มคุ้นเคยกัน เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น
บอกว่า พี่อยู่ต่อได้ไหม
ยังไม่อยากให้พี่กลับ
แต่ทำยังไงได้ เมื่อพี่ต้องกลับไปทำหน้าที่ของพี่

ดูเหมือนน้องจะไม่พอใจเท่าไหร่
น้องคงไม่อยากให้เรากลับจริงๆ
ผมถามน้องว่า จบ ป 6 จะเรียนต่อไหม

น้องบอกว่าอยากเรียนครับ อยากเรียนต่อสูงๆ
แต่ไม่รู้จะมีโอกาสได้เรียนไหม
น้องบอกว่า...............

....................พี่สัญญากับพวกเราได้ไหมว่าพี่จะไม่ลืมพวกผม
พี่ต้องกลับมาเยี่ยมพวกผมนะ พวกผมรักพี่.................

ทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะ ก็เลยให้สัญญากับน้องๆและบอกไปว่า

ว่าพี่รักพวกเรามาก ยังไงพี่ก็ต้องกลับมาอีกแน่ๆ พี่สัญญา

และ ....สัญญากับพี่ได้ไหม ว่าถ้ามีโอกาสเรียนต่อ
น้องต้องเรียนต่อนะ
แม้ว่ามันจะลำบากแค่ไหน ต้องอดทน
เพื่ออนาคตและพ่อแม่ของน้องเอง

น้องก็ยินดีสัญญาครับ
............................................................

ก่อนจะลงจากดอย ถามน้องๆว่าอยากได้อะไรไหม
ถ้าพี่ขึ้นมาจะซื้อขึ้นมาฝาก
คำตอบที่ได้รับกลับมา มันมีค่ามากสำหรับผม น้องบอกว่า

................ผมไม่อยากได้อะไรเลยครับ
แค่พี่ๆกลับมาเยี่ยมพวกเรา ก็พอแล้ว ..........

มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีค่าสำหรับน้องๆ
แม้เราจะรู้จักกันได้ไม่กี่วัน
แต่สิ่งที่ผมได้รับมันยิ่งใหญ่กว่าจะบรรยายได้เป็นคำพูด



ภาพรอยยิ้มของน้อง ที่พี่ๆ อยากเห็นให้น้องมีรอยยิ้มตลอดไป



คุณ natashi เล่าว่า

" แค่ไข่ฟองเล็กๆ

ก็สร้างรอยยิ้มให้น้องได้ๆ ครับ

น้องกินข้าวจนหมด แต่เก็บไข่ไว้กินเป็นอย่างสุดท้าย

รอยยิ้ม แววตาที่ใสซื่อ ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้วครับ "





พี่ชั้นโตๆ ต้องช่วยดูแลน้องในบางเรื่อง
ที่น้องยังไม่สามารถทำเองได้




นิวขอขอบคุณทุกๆ คนที่ได้เข้ามาอ่านนะคะ
และขอขอบคุณ คุณ natashi สำหรับเรื่องราวดีดี ด้วยค่ะ


Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 1 มีนาคม 2553 11:50:48 น. 10 comments
Counter : 1720 Pageviews.

 
ได้อ่านเรื่องราวดีๆ แล้วชื่นใจ
งานอาสาสมัครเหมือนเติมกำลังใจให้ตนเองดีนักแล

ขอบคุณที่นำเรื่องราวดีๆ นี้มาเล่าสู่กันฟังนะ


โดย: faisai วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:10:18:55 น.  

 
ขอบคุณ คุณ faisai ด้วยนะคะ ^__________^


โดย: อลิซ ในดินแดนไม่มหัศจรรย์ วันที่: 29 มีนาคม 2553 เวลา:21:25:44 น.  

 
สนใจอยากส่งของไปอ่าาาา ขอรายละเอียดหน่อยได้ไหมคะ ขอบคุณค่ะ cutenatty@hotmail.com


โดย: นัท IP: 58.9.10.240 วันที่: 2 กันยายน 2553 เวลา:16:44:30 น.  

 
ขอบคุณคุณ นัท ด้วยนะคะ

นิวส่งรายละเอียดไปทางเมลล์ที่ได้ให้ไว้แล้วนะคะ


โดย: อลิซ ในดินแดนไม่มหัศจรรย์ วันที่: 2 กันยายน 2553 เวลา:18:29:57 น.  

 
ได้รับข้อมูลแล้วนะคะ อยากรู้ว่าเค้าอยากได้อารายบ้างอ่ะ แล้วมีเด็กเยอะมากไหม อายุประมาณเท่าไหร่คะ อยากส่งไปแล้วเค้าได้ใช้กันจริงๆอ่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ


โดย: นัท IP: 58.9.10.240 วันที่: 3 กันยายน 2553 เวลา:12:00:29 น.  

 
มีเด็ก 182 คนใช่ไหมคะ เน้นเป็นอาหารแห้งที่เก็บได้นานๆ แล้วพวกเครื่องเขียนต้องการหรือป่าวคะ แล้วปกติต้องส่งไปรษณีย์เท่านั้น หรือใช้บริการขนส่งอื่นได้คะ เพราะนัทม่ายแน่ใจว่าจะถึงไหมอ่ะคะ



โดย: นัท IP: 58.9.10.240 วันที่: 3 กันยายน 2553 เวลา:12:03:45 น.  

 
ขอบคุณคุณ นัทอีกครั้งด้วยนะคะ ^^
เป็นพวกเครื่องเขียนก็ได้ค่ะ ส่วนอาหารแห้งนั้น
จะให้เด็ก ๆ ได้เก็บไว้ทานได้นาน ๆ อ่ะค่ะ
ตอนที่นิวส่งไป ตามที่อยู่ที่ได้แจ้งไว้นั้น
ถึงนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ^^
อาจจะลงทะเบียนนิดนึงก็ได้ค่ะ
เพื่อตรวจสอบได้ค่ะ


โดย: อลิซ ในดินแดนไม่มหัศจรรย์ วันที่: 4 กันยายน 2553 เวลา:16:35:40 น.  

 
ปายมีผ้าห่มอยู่หลายสิบผืน ตั้งใจจะไปบริจาคตอนสิ้นปีค่ะ แต่คงจะไปไม่ได้ในปีนี้ ไม่แน่ใจว่าทางชมรมยังสนใจอยู่ไม๊ค่ะ เป็นผ้าห่มใหม่นะค่ะ ไม่ใช่ผ้าเก่า (อาจจะมีเก่าปนนิดหน่อย) / ปาย 02 518 2722 ต่อ 681 / yaninja_n@hotmail.com


โดย: ดอกไม้เมือง IP: 124.157.253.86 วันที่: 17 กันยายน 2553 เวลา:8:35:21 น.  

 
คิดถึงน้องๆทุกคน


โดย: ฟาง IP: 61.7.174.109 วันที่: 22 มกราคม 2554 เวลา:17:51:44 น.  

 
คุณ ฟาง:


โดย: อลิซ ในดินแดนไม่มหัศจรรย์ วันที่: 22 มกราคม 2554 เวลา:23:29:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

อลิซ ในดินแดนไม่มหัศจรรย์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




การเป็นผู้ให้ ย่อมสุขใจกว่าการเป็นผู้รับ : )
Friends' blogs
[Add อลิซ ในดินแดนไม่มหัศจรรย์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.